ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 45 วิญญาณกลับสู่มาตุภูมิ (2)
วันที่ยี่สิบเดือนสี่ ตำราหลายร้อยคันรถที่หนานฉู่ตกลงจะมอบแก่ยงอ๋องเดินทางเข้ามาในดินแดนของต้ายง แม่ทัพใหญ่สองคนที่ยงอ๋องส่งเดินทางไปรับตำรา อารักขามาส่งมอบที่ฉางอันด้วยตนเอง สองคนนี้ผู้หนึ่งนามว่าจ่างซุนจี้ ฉายาศรทองจ่างซุน ฝีมือยิงธนูไร้ผู้เทียมทาน เป็นมือธนูอันดับหนึ่งแห่งกองทัพ เขาถือกำเนิดในครอบครัวยากจน เป็นทหารตั้งแต่เล็ก ฝึกปรือในกองทัพจนฝีมือล้ำเลิศ เขาฝึกฝนวิชาธนูผ่านสนามรบ ปลิดชีวิตคนห่างห้าร้อยก้าวประหนึ่งหยิบของในกระเป๋า ศรทองที่อยู่ไม่ห่างกายเขาคือสิ่งที่ยงอ๋องประทานให้ หากใช้ลูกศรที่ทำขึ้นพิเศษยังสังหารแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ไกลพันก้าวได้ อีกผู้หนึ่งนามว่าจิงฉือ คนผู้นี้นิสัยมุทะลุอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครสู้ได้หากเป็นเรื่องสังหารแม่ทัพชิงธงศัตรู เขาเป็นแม่ทัพชาญศึกอันดับหนึ่งใต้บัญชาของยงอ๋อง งานเล็กน้อยเช่นการคุมขบวนส่งมอบตำราเช่นนี้จะใช้งานพวกเขาได้เช่นไร ผู้ใดมีตามองปราดเดียวย่อมรู้ว่าเป้าหมายของยงอ๋องคือการเรียกพวกเขาเข้าเมืองหลวง
วันที่ยี่สิบห้าเดือนสี่ คณะราชทูตจากหนานฉู่อารักขาอดีตเจ้าแคว้นและขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยที่ไถ่กลับมาออกเดินทางกลับบ้าน ต้ายงปฏิบัติอย่างให้เกียรติยิ่งนัก รัชทายาทหลี่อันมาส่งแทนจักรพรรดิถึงสามสิบลี้นอกเมือง องค์หญิงฉางเล่อรินสุราส่งจ้าวเจียที่ศาลาริมทาง แต่จักรพรรดิต้ายงหลี่หยวนมีราชโองการว่าองค์หญิงฉางเล่อจากบ้านไปนานหลายปี จึงให้นางอยู่ต่อสักระยะ ทว่าทุกคนต่างรู้ว่าจักรพรรดิต้ายงไม่มีทางปล่อยให้องค์หญิงฉางเล่อกลับหนานฉู่ เพราระหว่างการเจรจา คณะทูตหนานฉู่เคยเสนอว่าเจ้าแคว้นหนานฉู่จ้าวหล่งยินดียกย่องอดีตพระมเหสีเป็นพระชนนี แต่ถูกเหวยกวนปฏิเสธ ทว่ายามนั้นพวกเขาย่อมไม่สนใจเรื่องนี้ ถึงอย่างไรการรับเชื้อพระวงศ์กับขุนนางของหนานฉู่กลับไปก็เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของการเดินทางครั้งนี้
วันที่มาส่งขบวนเดินทาง มีคนอีกผู้หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนยิ่งนัก เขาก็คือซือหม่าเจียงเจ๋อ ขุนนางประจำจวนแม่ทัพเทียนเช่อซึ่งติดตามยงอ๋องออกมาส่งถึงนอกเมือง แม้เขาบาดเจ็บหนักเพิ่งหายดี ยามก้าวเดินยังโซเซหวิดล้ม แต่กลับมิมีผู้ใดกล้าดูแคลนเขา ทุกคนต่างรู้ว่าบ่าวรับใช้นามว่าหลี่ซุ่นที่ติดตามข้างกายเขาทำสิ่งใดลงไป ยิ่งไปกว่านั้น ใต้หล้าล้วนรับรู้ความโปรดปรานที่ยงอ๋องมอบให้เขา
ข้าก้าวเข้าไปคำนับตามพิธีการขุนนางให้แก่อดีตเจ้าแคว้นเป็นครั้งสุดท้าย สายตาของจ้าวเจียมึนงง เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าข้าคือผู้ใด บ่าวรับใช้กระซิบแนะนำให้เอ่ยคำพูดสง่าผ่าเผยสักหน่อย เขาจึงอวยพรให้ต้ายงเห็นความสำคัญของข้า หวังว่าข้าจะลืมเลือนความขุ่นเคืองในอดีตและพยายามสร้างความปรองดองระหว่างทั้งสองแคว้น ในใจข้าชืดชา คนผู้นี้มิเคยเป็นเจ้าแผ่นดินที่ข้าอยากเคารพนับถือ ความจริงที่ครั้งนี้มาส่งก็เพื่อให้จบกันด้วยดีเท่านั้น ถึงอย่างไรข้าก็สงสัยว่าเขาจะมีชีวิตกลับหนานฉู่ได้หรือไม่ หากมิใช่ฝ่าบาทอยากกำจัดราชบุตรเขยคนนี้โดยเร็ว ไยต้องรีบร้อนจบการเจรจาด้วยเล่า?
ข้าเห็นขบวนคณะทูตจากหนานฉู่เคลื่อนออกไปไกลแล้วจึงพาสีหน้าเหนื่อยล้าหมายจะกลับไปที่รถม้า แต่กลับรู้สึกว่าคนสองคนกำลังจับจ้องข้าอยู่ คนหนึ่งคือองค์หญิงฉางเล่อ ไม่พบกันเนิ่นนาน สีหน้าของนางสงบยิ่งนัก แต่เมื่อเทียบกับวันที่ชมการประลองยุทธ์แลดูซีดเซียวลงอยู่บ้าง อีกผู้หนึ่งคือหญิงสาวผู้สวมอาภรณ์ชาววังสีขาวนวลจันทร์คนหนึ่ง นางอายุราวยี่สิบปีต้น รูปโฉมงดงาม หน้าตาเกลี้ยงเกลาแลดูสูงศักดิ์ รูปร่างสูงเพรียว ท่วงท่าชดช้อย ยามนางยืนอยู่ข้างกายองค์หญิงฉางเล่อ แม้รูปโฉมขององค์หญิงแต่เดิมก็สวยสง่า กล่าวได้ว่ารูปโฉมงามเลิศอยู่แล้ว แต่กลับถูกความงามอันโดดเด่นของสตรีนางนี้ช่วงชิงรัศมีไปจนหมด สิ่งที่ดึงความสนใจของข้ามิใช้ความงามของสตรีนางนี้ แต่เป็นดวงตากระจ่างใสเย็นยะเยือกคู่นั้นของนาง นั่นคือดวงตาที่ข้ามองเห็นแม้ยามฝัน นาง ก็คือมือสังหารที่เกือบจะปลิดชีวิตข้า
ข้าเอ่ยเสียงเบา นางคือหลี่หันโยวสินะ
ยงอ๋องเดินมาถึงข้างกายข้าแล้วตอบเสียงเบา ใช่ ฮองเฮาให้นางดูแลฉางเล่อ ดังนั้นพวกนางจึงมาด้วยกัน
เสี่ยวซุ่นจื่อได้ยินว่าสตรีผู้นั้นคือหลี่หันโยว ดวงตาพลันทอประกายเย็นยะเยือก เขาจ้องเขม็งไปทางหลี่หันโยว ต้องการจดจำทุกสิ่งของสตรีนางนี้ให้ขึ้นใจ
เมื่อขึ้นรถม้า ข้าก็คิดขึ้นมาว่าสตรีงามสง่าหยิ่งทะนงเช่นนี้ย่อมเป็นคู่ครองที่บุตรหลานตระกูลใหญ่ถวิลหา ฉินชิงจะปฏิเสธนางได้จริงหรือ
วันที่เจ็ดเดือนห้า มีข่าวส่งมาว่าหลังจากข้ามแม่น้ำไปได้ไม่นาน อดีตเจ้าแคว้นหนานฉู่ก็ถูกคนลอบสังหารจนสิ้นชีวิต มือสังหารใช้วรยุทธ์ของตระกูลลี่แห่งสู่จงแล้วทิ้งอักษรเลือดไว้บรรทัดหนึ่งว่า ‘ดินแดนขุนเขาธารางามตระการคือแผ่นดินเกิดของข้า แคว้นพินาศครอบครัวพลัดพราก วันนี้สนองคืน’ หลังจากจ้าวเจียสิ้นใจ สนมรักหลายคนก็ปลิดชีพตนร่วมทางไปปรโลก
ข้าวางข่าวลงแล้วถอนหายใจแผ่วเบา จักรพรรดิคงมอบหมายการลอบสังหารจ้าวเจียให้แก่รัชทายาท พวกเขามีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ให้ฮั่วจี้เฉิงหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วลอบสังหารจ้าวเจียเพื่อตัดความเกี่ยวพันระหว่างมือสังหารกับต้ายงเสีย ลงมือสำเร็จง่ายดายเช่นนี้ คิดว่าสนมรักเหล่านั้นคงจะร่วมมือจากข้างในสินะ ฮั่วจี้เฉิงได้ทั้งชื่อเสียงทั้งผลประโยชน์ ต้ายงก็พึงพอใจ น่าเสียดายก็แต่ลู่ช่าน เขาเป็นราชทูตแล้วยังรับผิดชอบหน้าที่คุ้มครองขบวนเดินทาง แต่กลับปล่อยให้จ้าวเจียถูกลอบสังหาร เกรงว่าในเวลาอันสั้นนี้คงไม่มีหนทางพลิกสถานการณ์แล้ว ไม่ว่าเป็นความคิดของผู้ใด คนผู้นี้ก็เป็นผู้ที่ความคิดล้ำลึกอำมหิตคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่ารัชทายาทหรือสำนักเฟิงอี้กันแน่ที่วางแผนลอบสังหาร ข้าเขียนชื่อสองชื่อลงบนกระดาษ หลู่จิ้งจง หลี่หันโยว น่าจะเป็นคนหนึ่งในพวกเขาสองคนกระมัง แม้ยังมิเคยเห็นแนวทางการใช้กลอุบายของหลี่หันโยว แต่ดูจากความเด็ดขาดโหดเหี้ยมยามนางลอบสังหารข้าก็รู้แล้วว่านางมิใช่สตรีธรรมดา
ข้ากำลังขบคิดเรื่องนี้อยู่ หลี่จื้อก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง รัชทายาทลงมือได้ดีนัก วันนี้เสด็จพ่อพระราชทานรางวัลให้เขามากมาย การลอบสังหารครั้งนี้มิเพียงไร้ช่องโหว่ แต่ยัง ตัดความสงสัยที่พัวพันมาถึงต้ายงอย่างสิ้นเชิง ข้าเพียงประหลาดใจว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วกลายเป็นคนของรัชทายาทได้เช่นไร แม้รัชทายาทบอกว่าเพียงแอบปล่อยข่าวให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วทราบ หลังจากนั้นอำนวยความสะดวกให้เล็กน้อยเท่านั้น แต่ข้าไม่เชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจะถูกใช้ประโยชน์ง่ายดายเช่นนี้จริงๆ ข้าจะต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วกับรัชทายาทให้ดีสักหน่อย
ข้าเข้าใจโดยพลัน รัชทายาทกำลังจะลงมือกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วแล้ว เขาคงเตรียมตัวล้างมือแล้วเป็นแน่ ถึงอย่างไรเมื่อเปิดการค้าขายระหว่างแคว้นแล้ว เขาย่อมมีความสามารถไขว่คว้าผลประโยชน์มหาศาล ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายใช้การค้าของเถื่อนอีก ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่อปราดหนึ่งแล้วส่งสัญญาณผ่านสายตา เสี่ยวซุ่นจื่อใช้ลมปราณบังคับเสียงให้ดังขึ้นในหูข้าผู้เดียว คุณชายต้องการให้ข้าแจ้งเฉินเจิ่นให้พาหอกลไกสวรรค์ถอนตัวออกมาหรือ
ข้าพยักหน้าเล็กน้อย เสี่ยวซุ่นจื่อถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ หลี่จื้อเอ่ยอย่างฉงน สุยอวิ๋น เกิดอะไรขึ้น ท่านมีเรื่องใดปิดบังข้าหรือ
ข้าเอ่ยอย่างนอบน้อม องค์ชาย กระหม่อมมีเรื่องต้องการรายงานองค์ชายให้ทราบ ระหว่างกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วกับรัชทายาทมีการสมคบกันจริง กล่าวจบข้าก็สรุปเรื่องที่พวกรัชทายาทแอบลักลอบค้าอาวุธอย่างรวบรัด ยงอ๋องขมวดคิ้วฟังอยู่เนิ่นนานจู่ๆ ก็ตบโต๊ะลุกพรวด มีอย่างที่ไหน ถึงขั้นคิดจะแตะอาวุธของกองทัพ สุยอวิ๋น ท่านรู้เรื่องราวละเอียดเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านใช้เล่ห์กลในเรื่องนี้หรือ
ข้าแย้มยิ้ม นี่เป็นความลับของกระหม่อมแล้ว ทว่าในมือกระหม่อมมีหลักฐานครบถ้วน แม้กระหม่อมวางกับดักไว้ แต่กระหม่อมเพียงมอบโอกาสให้เท่านั้น มิใช่กระหม่อมบอกให้รัชทายาททำ
หลี่จื้อทรุดกลับมานั่งอย่างหม่นหมอง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า ท่านกล่าวถูกต้อง หากมิใช่รัชทายาทยินยอม ผู้ใดจะบังคับเขาได้เล่า ก็ได้ ข้าเชื่อฟังท่าน ในเมื่อรัชทายาทกระทำเรื่องเช่นนี้ก็จะกล่าวโทษว่าข้าไม่เห็นแก่หน้าพี่น้องมิได้ อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพสำคัญเพียงใด เขากลับทำเรื่องเช่นนี้ แต่ท่านคิดว่าจะทำสำเร็จในคราเดียวได้หรือ ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นไปได้นัก
ข้าตอบว่า องค์ชายมิต้องเปลืองใจ เรื่องนี้ย่อมไม่สำเร็จ แต่น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน ขอให้องค์ชายเชื่อการตัดสินใจของกระหม่อม หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปงขึ้นมา องค์ชายเพียงตัดสินอย่างยุติธรรมก็พอ มิต้องไล่ต้อนรัชทายาทจนเกินไป เช่นนี้กระหม่อมจึงจะลงมือก้าวต่อไปง่ายขึ้น
หลี่จื้อยิ้มตอบ ท่านมักจะปิดบังซ่อนเร้นเช่นนี้เสมอหรือ
ข้าเอ่ยอย่างนิ่งสงบ สิ่งที่กระหม่อมชำนาญคือเล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย หากเอ่ยออกไปย่อมทำให้องค์ชายกังวลอย่างเลี่ยงมิได้ ปล่อยให้กระหม่อมเป็นผู้วางแผนเถิด หากองค์ชายไว้วางใจ กระหม่อมอยากให้ส่งคนไปทำเรื่องบางอย่าง
หลี่จื้อเอ่ยว่า เรื่องเหล่านี้ท่านไม่จำเป็นต้องถามข้า คนในจวนของข้าตั้งแต่บนจรดล่างแล้วแต่ท่านอยากจะสั่งผู้ใด มิมีใครกล้าขัดคำสั่ง
ข้าผงกศีรษะแผ่วเบาแสดงความขอบคุณ เวลานี้หลี่จื้อจึงเห็นข่าวที่ข้าวางไว้บนโต๊ะหนังสือ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า สุยอวิ๋น เรื่องบางอย่างท่านย่อมรู้ว่ามันต้องเกิด
ข้าพยักหน้าอย่างเฉยชา สีหน้ายังคงเยือกเย็นเช่นเดิมขณะเอ่ยแช่มช้า กระหม่อมทราบ ตัวเจ้าแคว้นเองก็มิได้ทำหน้าที่ของเจ้าแผ่นดิน ตั้งแต่ตอนเจี้ยนเย่ถูกยึด เจ้าแคว้นก็สมควรอัตวินิบาตชดใช้ความผิดแล้ว ทว่าแม้เจ้าแคว้นจะเลอะเลือนแต่มิใช่คนเลวร้าย ถึงหลายปีนี้เขาจะมิได้สร้างคุณประโยชน์ประการใด แต่ก็มิเคยทำเรื่องผิดต่อฟ้าดินหนักหนา เขาเพียงไม่สมควรเป็นเจ้าแคว้นก็เท่านั้น ยามนี้ดวงวิญญาณเจ้าแคว้นเสด็จกลับหนานฉู่ก็คงตายตาหลับแล้ว
ข้ากล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องหนังสือ หลังจากสูดอากาศบริสุทธิ์เฮือกหนึ่งจึงเด็ดใบไผ่หนึ่งใบมาเป่าเป็นท่วงทำนอง ใบไม้สั่นไหวเกิดเป็นเสียงดนตรีอันเรียบง่าย ลอยอ้อยอิ่งอย่างเศร้าสร้อยประหนึ่งเสียงโหยไห้ชวนให้ผู้สดับฟังใจจะขาดรอน เมื่อเป่าจบเพลง สีหน้าข้าก็ค่อยๆ นิ่งสงบ ข้าไม่เหลือเยื่อใยให้หนานฉู่นานแล้วมิใช่หรือ อีกอย่างเจ้าแผ่นดินโง่เขลาผู้นั้น ข้าไยต้องโศกเศร้าเพราะเขาเล่า ในใจคิดเช่นนี้ แต่ข้ากลับยังเศร้าหมองอยู่ คนผู้นั้นถึงอย่างไรก็เคยเป็นนายเหนือหัวของข้า ยิ่งไปกว่านั้นเขาคือเจ้าแผ่นดินของหนานฉู่ มาตกตายด้วยแผนร้ายของต้ายงเช่นนี้ จะให้ข้ามิเศร้าใจได้เช่นไร ทันใดนั้นข้าก็นึกเสียใจเล็กน้อยที่วันนั้นบีบคั้นสู่อ๋องจนสิ้นพระชนม์ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือเจ้าแผ่นดินแห่งแคว้นสู่ แต่กลับมาสิ้นชีพด้วยปลายพู่กันของข้าเช่นนี้ มิน่าชาวแคว้นสู่จึงจงเกลียดจงชังข้าปานนี้
ตลอดเวลาหลี่จื้อยืนอยู่ไกลๆ จนตอนนี้จึงเดินเข้ามาเอ่ยเรียบๆ ตำราของหนานฉู่ส่งมาถึงแล้ว ท่านไม่ไปดูสักหน่อยหรือ พอดีจะได้พบแม่ทัพคนสนิทของข้าด้วย
ข้าก้มตัวเล็กน้อยคำนับแล้วเอ่ยตอบ รับบัญชา