ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 47 วางกับดักไล่ล่า (2)
วันที่สิบสองเดือนห้า นอกประตูหมิงเต๋อแห่งนครฉางอัน ยามโพล้เพล้ที่ประตูเมืองใกล้จะปิด บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งแต่งกายเยี่ยงพ่อค้าเดินเข้ามา แม้เข้าสู่ต้นฤดูร้อนแล้ว แต่บุรุษผู้นี้กลับสวมงอบ ใบหน้าถูกซ่อนไว้ใต้เงาจนมองเห็นไม่ชัด พลทหารที่เฝ้าประตูมองบุรุษผู้นี้อย่างสงสัยแต่ไม่ได้ขัดขวาง เมื่อไม่ใช่ช่วงเวลาสำคัญอันใดจึงมิจำเป็นต้องตรวจค้นเข้มงวด บุรุษผู้นี้เหมือนจะชำนาญลู่ทางในนครฉางอันยิ่งนัก เขาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาราวครึ่งชั่วยามก็เดินทางมาถึงตรอกเหอผิงที่มุมตะวันตกเฉียงใต้ของนครฉางอัน ที่แห่งนี้คือที่อยู่อาศัยของชาวบ้านยากจนชนชั้นล่างสุด มันแตกต่างจากตรอกที่อยู่อาศัยของชาวบ้านยากจนแห่งอื่นตรงที่เมื่อตกกลางคืน นอกจากอันธพาลที่เตร็ดเตร่อยู่ก็แทบจะไม่เห็นเงาคน สองฝั่งของตรอกน้อยล้วนเป็นบ้านเรือนของชาวบ้านยากไร้ เสียงหัวเราะหรือไม่ก็เสียงทะเลาะวิวาทดังลอดออกมาจากช่องประตูเป็นระยะ นั่นคือที่ตั้งบ่อนพนันขนาดเล็ก แหล่งรวมเหล่านักพนันและหอนางโลมเถื่อน ภายใต้เงามืดที่ปกคลุมที่แห่งนี้มีความเจริญอันพิกลพิการซ่อนอยู่
บุรุษผู้นี้เดินตัดตรอกน้อยอันมืดทึม โคมไฟสลัวสองฝั่งส่องกระทบร่างเขาจนเกิดเงาทอดยาว เรือนพักอาศัยรวมที่ถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนานด้านหน้าคือจุดหมายของเขา เขาผลักประตูเรือนอย่างแผ่วเบาแล้วเดินเข้าไป ห้องตรงกลางจุดโคมสว่างไสว บุรุษผู้นี้เพิ่งเดินขึ้นบันได คนสองคนก็โผล่ออกมาจากมุมมืดด้านข้างของตัวห้อง คนหนึ่งอาศัยโคมไฟด้านหน้ามองดูโฉมหน้าหลังถอดงอบของบุรุษผู้นั้นแล้วจึงถอยหลังไปอย่างเงียบเชียบ
บุรุษผู้นี้เดินเข้าห้องมาก็เห็นชุยยางนั่งอยู่ใต้แสงโคมสลัว เขาก้าวเข้าไปคำนับ “ใต้เท้าชุย ตั้งแต่จากกันสบายดีหรือไม่”
ชุยยางคำนับกลับพลางตอบว่า “กล่าวได้ว่าสุขสบายดี วันนี้หัวหน้าฮั่วชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า น่ายินดีน่าฉลองเสียจริง”
บุรุษผู้นี้ยิ้มอย่างยโสโอหังแล้วเอ่ยเรียบๆ “ครั้งนี้เป็นการค้าครั้งสุดท้ายระหว่างท่านกับข้าแล้ว หวังว่าพวกเราจะเริ่มด้วยดีและจบกันด้วยดี นี่คือสถานที่รับสินค้า” พูดพลางก็ส่งยาลูกกลอนหุ้มขี้ผึ้งลูกหนึ่งมาให้ ชุยยางยิ้มน้อยๆ จากนั้นยื่นกล่องใบหนึ่งไปแล้วบอกว่า “ด้านในคือเงินส่วนที่เหลือของพวกเจ้า หลังจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราสองฝ่ายไม่เกี่ยวข้องกันอีก แต่องค์ชายบอกว่าหากหัวหน้าฮั่วยินดี พวกเราจะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ก็ย่อมได้”
ฮั่วจี้เฉิงเปิดกล่องไม้ก็เห็นทองคำและไข่มุกที่อยู่ด้านใน เขายิ้มแย้มเอ่ยว่า “องค์ชายรัชทายาทช่างรู้งานดียิ่งนัก ทองคำกับไข่มุกเหล่านี้ค่อนข้างปลอดภัย มิเช่นนั้นหากฝั่งท่านยกเลิกตั๋วแลกเงิน ข้าไยมิใช่เหนื่อยยากเสียเปล่า ใต้เท้าชุย ทุกครึ่งเดือนข้าจะส่งคนมาพบใต้เท้า หากมีธุระประการใด ใต้เท้าแจ้งกับคนส่งข่าวเป็นใช้ได้” ฮั่วจี้เฉิงกล่าวจบก็หมุนตัวออกไป ชุยยางยิ้มเย็นชา ในใจคิดว่าองค์ชายจะลงมือถอนรากถอนโคนกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วแล้ว หวังว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดจนถึงคืนวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
ผ่านไปไม่นานคนชุดดำคนหนึ่งก็เข้ามารายงาน “ใต้เท้า พวกเรากำลังจะลงมือก็พบว่ามีใครบางคนมาช่วยฮั่วจี้เฉิง จึงได้แต่หยุดไว้ก่อน”
ชุยยางขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ผู้ใด เจ้าเห็นชัดหรือไม่”
คนชุดดำตอบว่า “มิทราบว่าผู้ใด พวกเขาล้วนแต่งกายเป็นชาวบ้านยากจน ฮั่วจี้เฉิงยังไม่ทันออกมา พวกเขาก็ชิงยึดครองจุดยุทธศาสตร์สำคัญทั้งหลายไปแล้ว ท่านคงทราบว่าพวกเราจำเป็นต้องรอให้ฮั่วจี้เฉิงเข้ามาก่อนจึงวางคนดักได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพาคนมาด้วย ทั้งที่เขาเข้ามาในเมืองผู้เดียวแท้ๆ”
ชุยยางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ พวกเรากลับก่อนแล้วกัน รายงานรัชทายาทแล้วค่อยจัดการใหม่ ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังไม่ได้ลงมือ ถ้าเช่นนั้นย่อมมีโอกาสล่อเขาเข้าสู่กับดักได้อีก”
ในตอนนี้เอง ด้านนอกพลันมีเสียงร้องสั้นๆ ดังขึ้น คนชุดดำสีหน้าพรั่นพรึง เอ่ยเสียงเบาว่า “มีคนลอบจู่โจม ใต้เท้าระวังตัว” กล่าวจบเขาก็จะออกไปด้านนอก ทว่าตอนนี้เอง ประตูห้องกลับเปิดออกอย่างเงียบเชียบ คนชุดดำที่ปิดบังใบหน้าผู้หนึ่งเดินเข้ามา คนผู้นั้นรูปร่างไม่สูง ดวงตาทั้งสองเย็นยะเยือกประหนึ่งหิมะ
คนชุดดำขวางหน้าชุยยางไว้แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าคือผู้ใด กล้าลอบจู่โจมพวกเรา เจ้ารู้ฐานะของพวกเราหรือไม่”
คนผู้นั้นมองเขาแวบหนึ่งแล้วขยับกายในทันใด คนชุดดำตอบโต้กลับทันที ทั้งสองคนต่อสู้กันในห้องอันคับแคบแห่งนี้หลายกระบวนท่า คนชุดดำรู้สึกมือเท้าติดขัด แต่คนผู้นั้นกลับเคลื่อนไหวได้สบายดั่งใจตน เพียงไม่กี่กระบวนท่า ฝ่ามือของคนผู้นั้นก็ตบลงบนหน้าอกของคนชุดดำ คนชุดดำอุทานออกมาอย่างเจ็บปวดคำหนึ่ง “ฝ่ามือปลิดวิญญาณ” เสียงยังไม่ทันจางหาย ร่างกายก็ล้มลง ความจริงวรยุทธ์ของคนชุดดำผู้นี้มิได้ด้อยนักหนา แต่ห้องคับแคบแห่งนี้ทำให้เขาสำแดงวรยุทธ์ออกมามิได้ แต่คู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้าด้วย หากได้ลงมือในพื้นที่คับแคบเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ปรมาจารย์ทั้งสามก็ยังสู้เขาไม่ได้ คนผู้นั้นเดินมาถึงตรงหน้าคนชุดดำอย่างเงียบๆ จากนั้นค่อยๆ ฉีกผ้าสีดำบนใบหน้าของเขาออกจนมองเห็นหน้าตาของเขาชัดเจน หลังจากนั้นจึงเหลือบมองชุยยาง
ชุยยางกรีดร้องพลางขดตัวไปอยู่ที่มุมกำแพง เขาเอ่ยเสียงสั่นระริก “ท่านผู้กล้า หากไว้ชีวิตข้า ข้าจะตอบแทนอย่างงาม ข้าเป็นน้องชายของพระชายารัชทายาท หากท่านผู้กล้าต้องการ…” เอ่ยยังไม่ทันจบ คนผู้นั้นก็สะบัดแขนเสื้อจากไปแล้ว ชุยยางกำลังคิดว่าตนโชคดีรอดพ้นความตายมาได้ แต่ฉับพลันก็รู้สึกเจ็บแสนสาหัสที่หน้าอก ความมืดห้อมล้อมเข้าหาตน เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ชุยยางคิดระหว่างที่สติเริ่มพร่าเลือน
คนผู้นั้นเดินมาถึงนอกประตูก็มีชายฉกรรจ์แต่งกายเป็นชาวบ้านยากจนหลายสิบคนยืนอยู่ในความเงียบ บนพื้นมีคนชุดดำที่ปกปิดหน้าตายี่สิบถึงสามสิบคนนอนกองอยู่ คนผู้นั้นไม่ส่งเสียง เพียงโบกมือครั้งหนึ่ง ร่างกายก็เร้นหายไปในความมืดของราตรี
ฮั่วจี้เฉิงเดินอยู่บนถนนอย่างเบิกบานใจ เขากำลังคิดว่าจะไปเยือนหอบุปผาอันลือชื่อของนครฉางอันสักคืนดีหรือไม่ ระหว่างที่จินตนาการเพ้อฝันก็ก้มหน้าก้าวเดินเร็วไว ถึงอย่างไรตนก็ยังอยู่ในถิ่นของผู้อื่น ทว่าเมื่อเดินไปเรื่อยๆ ฮั่วจี้เฉิงก็พลันหยุดฝีก้าว เขาเห็นคนชุดเทาปิดบังหน้าตายืนมือไพล่หลังอยู่ด้านหน้า เรือนร่างของเขาสูงโปร่งมาพร้อมกับจิตสังหารเข้มข้น เงามืดสองฟากฝั่งของตรอกน้อยก็มีไอสังหารเล็ดลอดออกมาเลือนราง แม้ฮั่วจี้เฉิงไม่หันหลังกลับ เขาก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีคนยืนอยู่ผู้หนึ่งเช่นกัน
ฮั่วจี้เฉิงไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย ร่างกายเหินขึ้นฟ้า ทะยานไปยังบ้านเรือนของชาวบ้านอันมืดสลัวทันที ระหว่างที่ร่างของเขาทะยานขึ้นด้านบนนั่นเอง เสียงสายธนูดีดผึงพลันดังขึ้นแผ่วเบา ร่างกายของฮั่วจี้เฉิงหนักอึ้งในชั่ววูบ ขนหางของลูกธนูเฉียดผ่านหนังศีรษะของเขาไป
ฮั่วจี้เฉิงร่วงลงบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง เขากลิ้งตัวรอบหนึ่งแล้วเผ่นแผล็วไปด้านข้าง หูได้ยินเสียงสายลมดังขึ้น คนชุดดำหลายคนกำลังโอบล้อมไล่ตามมา ฮั่วจี้เฉิงรู้สึกถึงสายลมจากฝ่ามืออันแข็งแกร่งที่กระทบกลางหลังของเขา เขาหมุนตัวส่งฝ่ามือสวนออกไป คนผู้นั้นแค่นเสียงหยัน ทว่าฮั่วจี้เฉิงกลับไม่อาจชะลอร่างกายได้ ดาบและกระบี่ของคนชุดดำที่เหลือเข้าประชิดร่างของเขา ทั้งสองฝ่ายเปิดฉากเข่นฆ่ากันในเงามืดอย่างไร้สุ้มเสียง ฮั่วจี้เฉิงรู้สึกว่าคนเหล่านี้แต่ละคนวรยุทธ์มิใช่ชั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประฝ่ามือกับตนผู้นั้น วรยุทธ์ยิ่งโดดเด่น
เขาใช้หางตาเหลือบมองก็เห็นคนชุดเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่บนถนน แม้มองไม่เห็นหน้าตา แต่เห็นในมือถือคันธนูแข็งอยู่คันหนึ่ง รูปร่างสูงเพรียว ท่วงท่าไม่ธรรมดา ดูก็รู้ว่าคนผู้นี้จะต้องเป็นคนระดับหัวหน้าเป็นแน่ คนผู้นี้คงดูแคลนการรุมโจมตีจึงไม่ลงมือด้วย ฮั่วจี้เฉิงลอบยินดี ดวงตามองหารอบด้าน หวังว่าจะหาโอกาสทลายวงล้อมพบ แต่คนเหล่านี้ปิดทางหนีเอาไว้เสียหมด ฮั่วจี้เฉิงต่อสู้อย่างยากลำบากพลางครุ่นคิดแผนการไปพร้อมกัน
ขณะที่ฮั่วจี้เฉิงตกอยู่ในวิกฤตนั่นเอง ทันใดนั้นเงาร่างเล็กเตี้ยร่างหนึ่งพลันโฉบออกมาจากเงามืด เขาเหวี่ยงกระสุนกลมสีแดงเพลิงสองลูกออกมา เสียงระเบิดดังขึ้นสองครั้ง หลังจากนั้นควันสีแดงก็ลอยโขมง ฮั่วจี้เฉิงเห็นโอกาสจึงพุ่งไปยังทิศทางที่เล็งไว้ก่อนแล้วทันที เวลานี้รอบด้านมีเสียงผู้คนดังขึ้นแล้ว คนที่ปิดบังหน้าตาหลายคนนั้นเห็นท่าไม่ดีจึงฉวยจังหวะที่ควันสีแดงสลายถอยหนีไป
ฮั่วจี้เฉิงลนลานไม่เลือกเส้นทาง เขาหนีอยู่นาน ทันใดนั้นเงาคนร่างหนึ่งก็โฉบมาด้านหน้า คนผู้นั้นโบกมือให้สัญญาณ ฮั่วจี้เฉิงจดจำหน้าตาของคนผู้นั้นได้ ในใจยินดีโดยพลัน รีบร้อนติดตามไป คนผู้นั้นวิชาตัวเบาเหนือผู้อื่น เขาพาฮั่วจี้เฉิงลัดเลี้ยวหลายหนไม่นานก็มาโผล่ที่ประตูหลังของคฤหาสน์หลังหนึ่ง คนผู้นั้นผลักประตูหลังแล้วหันกลับมาส่งสัญญาณ ฮั่วจี้เฉิงจึงรีบติดตามเข้าไป ที่นั่นคือคฤหาสน์ชาวบ้านอันเร้นลับแห่งหนึ่ง ฮั่วจี้เฉิงเดินเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า จากนั้นจึงเอ่ยขอบคุณ “พี่หาน หากมิได้ท่านช่วยเหลือ เกรงว่าข้าคงจบชีวิตเสียแล้ว”
คนผู้นั้นเอ่ยอย่างเสียดาย “หัวหน้าฮั่ว ท่านไม่ระวังเกินไปแล้ว รัชทายาทคิดสังหารคนปิดปาก ท่านคิดไม่ได้หรือ หากมิใช่ข้าคอยช่วยอยู่ด้านนอก เกรงว่าท่านคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี โชคช่วยที่ข้าให้ลูกน้องเตรียมกระสุนควันไว้ก่อน มิเช่นนั้นข้าก็คงไร้หนทางช่วยท่าน”
ฮั่วจี้เฉิงสีหน้าหม่นหมอง เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะข้ามแม่น้ำรื้อสะพานเร็วเช่นนี้ อีกอย่างเดิมทีข้าคิดว่าอย่างน้อยก็คงหนีได้ รัชทายาทคงไม่มีทางล้อมสังหารข้าอย่างประเจิดประเจ้อ คิดไม่ถึงว่าคนของเขาจะวรยุทธ์แข็งแกร่งเช่นนั้น ราชวงศ์มียอดฝีมือมากมายดุจเมฆาจริงๆ”
คนผู้นั้นถอนหายใจเอ่ยว่า “ท่านพักผ่อนให้ดีสักหนึ่งชั่วยาม ข้าจะพาท่านออกจากเมือง กำแพงเมืองของนครฉางอันมีบางแห่งที่เวรยามไม่แน่นหนา ท่านมีวิชาตัวเบาเหนือผู้ใดคงออกไปได้ พรุ่งนี้เช้ามาถึง น่ากลัวว่าจะมีคนออกตรวจค้นไปทั่ว หากคืนวันนี้ท่านไม่ออกไป เกรงว่าคงไม่ทันการณ์แล้ว”
ฮั่วจี้เฉิงเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมาแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ขอบคุณพี่หานยิ่งนัก ข้าจะไม่ให้รัชทายาทอยู่สบาย ข้ามิใช่คนที่รังแกง่ายดายเช่นนั้น”
ช่วงยามสาม ฮั่วจี้เฉิงอาศัยตะขอหลายแฉกปีนออกจากนครฉางอันตรงกำแพงเมืองเก่าที่เวรคุ้มกันหละหลวมแห่งหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน ที่สวนเหมันต์ของจวนยงอ๋อง เสี่ยวซุ่นจื่อที่ผลัดเปลี่ยนภรณ์กลับมาเป็นชุดข้ารับใช้เอ่ยกับข้าอย่างนอบน้อม “คุณชาย ปฏิบัติการไล่ล่าสำเร็จแล้ว”