ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 48 ยากรุกยากถอย (1)
ท่านอ๋องคลางแคลงชายารักแซ่เซียว นางต้องการโยนความผิดของเขาให้ชุยยาง แต่หลู่เส้าฟู่เอ่ยทัดทานไว้ นับแต่นั้น หลู่จิ้งจงกับชายารองแซ่เซียวจึงบาดหมางกัน
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติลี่อ๋อง
ข้าวางหนังสือลงแล้วถามว่า “จิงฉือกับจ่างซุนจี้วางใจได้หรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้าตอบ “คุณชายโปรดวางใจ แม่ทัพทั้งสองล้วนเป็นผู้เคารพคำสั่งอย่างเคร่งครัด ยิ่งไปกว่านั้นวรยุทธ์ของพวกเขาล้วนยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ฮั่วจี้เฉิงเป็นยอดฝีมือผู้โด่งดังแห่งสู่จงแต่กลับถูกพวกเขาล้อมจนเกือบสิ้นชื่อ แม้แต่ชื่อจี้ผู้ปล่อยกระสุนควันช่วยฮั่วจี้เฉิงก็เกือบจะถูกจับได้ หากมิใช่พวกเขาได้รับคำสั่งมาก่อนว่าห้ามเปิดเผยร่องรอย เกรงว่าฮั่วจี้เฉิงคงหนีไม่รอดแล้ว”
ข้าเอ่ยเรียบๆ “แม่ทัพคนสนิทของยงอ๋องไฉนจะธรรมดา ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าวิชาฝ่ามือปลิดวิญญาณของเจ้าเพิ่งฝึกปรือสำเร็จเพียงห้าส่วน คงไม่ถูกผู้คนมองออกกระมัง”
เสี่ยวซุ่นจื่อหัวเราะ “คุณชายโปรดวางใจ ยามอยู่หนานฉู่ ข้าเคยประมือกับคนตระกูลลี่ แม้ฝ่ามือปลิดวิญญาณจะร้ายกาจ แต่ข้ามั่นใจว่าครูพักลักจำมาได้ไม่เลว อีกประการหนึ่ง ฮั่วจี้เฉิงก็เป็นศิษย์นอกคอกของตระกูลลี่ ฝ่ามือปลิดวิญญาณของเขาจะไม่บริสุทธิ์ไปบ้างจะผิดแปลกอย่างใด แต่ข้าไม่เข้าใจว่าในเมื่อชุยยางต้องการดักสังหารฮั่วจี้เฉิงอยู่แล้ว เหตุใดคุณชายต้องเข้าไปแทรกลงมือเองให้ยุ่งยากด้วยเล่า”
ข้าส่ายหน้าแล้วอธิบาย “หากปล่อยให้รัชทายาทซุ่มสังหารฮั่วจี้เฉิง ไม่แน่ว่าเขาจะหนีออกมาได้ เจ้าก็เห็นการดักซุ่มของพวกเขาแล้ว หากมิใช่พวกเจ้าบุกทลายศัตรูดุจสายฟ้า ไหนเลยจะลงมือสำเร็จง่ายดายเช่นนั้น หากรัชทายาทดักซุ่มสังหารได้ผล ถ้าเช่นนั้นแม้เราเปิดโปงเรื่องนี้ก็หามีประโยชน์อันใดไม่ อีกทั้งหากพวกเราเข้าไปช่วยฮั่วจี้เฉิง พวกหานอู๋จี้ไม่เปิดเผยร่องรอย ฮั่วจี้เฉิงก็คงสงสัยพวกเรา ดังนั้นข้าจึงวางแผนเช่นนี้ ตอนนี้ฮั่วจี้เฉิงหนีรอดไปแล้ว นิสัยเช่นเขา หากตนเองเสียท่าคงยินดีควักเนื้อตนเองเพิ่มเพื่อล้างแค้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงกระพือเรื่องให้ใหญ่โตได้ ส่วนสาเหตุที่ข้าให้เจ้าสังหารชุยยางก็เพื่อตัดปีกของรัชทายาท เดิมทีหากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง รัชทายาทคงตั้งใจจะให้เจ้ากรมคลังคนปัจจุบันเป็นแพะรับบาปแล้วสนับสนุนให้ชุยยางขึ้นรับตำแหน่งเจ้ากรม แต่ตอนนี้ ‘ฮั่วจี้เฉิง’ สังหารชุยยางเสียแล้ว ข้าก็อยากดูว่ารัชทายาทจะสละชุยยาง หรือจะสละเจ้ากรมผู้นั้น ขอเพียงได้เห็นวิธีจัดการปัญหาของรัชทายาท ข้าย่อมรู้ว่าเวลานี้รัชทายาทพึ่งพาผู้ใดมากที่สุด”
เสี่ยวซุ่นจื่อถามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นก้าวต่อไปพวกเราสมควรทำสิ่งใด”
ข้ากลอกตาไปมาแล้วตอบว่า “ต้องดึงความสนใจของรัชทายาท เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะไปคารวะแม่ทัพฉิน ฉินอี๋ ช่วงก่อนหน้านี้ฉินชิงถูกลากเข้ามาพัวพันกับการลอบสังหารข้า ข้าคงต้องไปขอขมาสักครั้ง”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฉินชิงเองก็เป็นผู้ต้องสงสัย พวกเขากลับไม่มาอธิบาย ทำเกินไปแล้ว”
ข้าส่ายหน้า บอกว่า “พวกเขาได้แต่ทำเช่นนี้ มิเช่นนั้นเรื่องนี้จะยิ่งวุ่นวายใหญ่โต หากพวกเขามา เจ้าคิดว่าองค์ชายจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เจ้าไม่เห็นหรือว่าผู้อื่นก็ไม่เคยมาอธิบาย เรื่องเช่นนี้อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ เหมือนเช่นตอนนี้พวกเรารู้ว่าผู้ร้ายคือผู้ใด แต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้ อีกประการหนึ่ง เรื่องนี้ทำร้ายฉินชิงหนักหนายิ่งกว่า เดิมทีเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่หลายฝ่ายกลับใส่ไฟ ขอเพียงเป็นคนที่รู้ว่าข้ามิได้บาดเจ็บจากมือสังหารหนานฉู่ คนส่วนใหญ่ก็ล้วนสงสัยว่าฉินชิงไม่พอใจที่ถูกบังคับให้มาขอขมาข้า จึงสังหารข้าระบายโทสะไม่ใช่หรือ”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอย่างลังเล “ต้องไปรายงานองค์ชายก่อนหรือไม่”
ข้าหัวเราะ “นั่นย่อมแน่นอน เจ้าคิดว่าข้าซือหม่าตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมีคุณสมบัติขอพบแม่ทัพใหญ่หรือไร จริงสิ สถานการณ์ของเผยอวิ๋นเป็นเช่นไรบ้าง”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบว่า “คุณชายโปรดวางใจ แม่ทัพเผยไม่เพียงอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว พลังภายในยังรุดหน้าอย่างมาก ครั้งนี้เขาต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจึงก้าวข้ามขีดจำกัด มีหวังจะข้ามพ้นขีดจำกัดของขั้นเจ็ดแล้ว ฝ่ายเส้าหลินดีใจยิ่งนัก เพราะหลายวันก่อนแม่ทัพเผยรับอนุภรรยา สตรีนางนั้นมาจากตระกูลบันฑิต นิสัยอ่อนหวานเรียบร้อย อีกทั้งตระกูลยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทางเส้าหลิน แม้ยังไม่ได้เปิดเผย แต่การสมรสครั้งนี้ก็ได้รับการยินยอมจากบุพการีทั้งสองของแม่ทัพเผยแล้ว รอเพียงสตรีนางนี้ตั้งครรภ์ ตระกูลเผยก็ขอถอนหมั้นกับตระกูลเซวียนได้”
ข้าหัวเราะเสียดสี “ดูท่าบิดามารดาของแม่ทัพเผยคงทนรอแทบไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงยินยอมทำลายมิตรภาพระหว่างทั้งสองตระกูล”
เสี่ยวซุ่นจื่อกลั้นยิ้มไม่อยู่ เอ่ยขึ้นว่า “ข่าวของค่ายลับส่งมาบอกว่าความจริงบิดามารดาของแม่ทัพเผยก็คิดว่าลูกสะใภ้ที่ยังไม่ได้ตบแต่งผู้นี้โลดแล่นอยู่ด้านนอกมากเกินไปหน่อย คงเกื้อหนุนสามีสั่งสอนบุตรได้ไม่ดีนัก ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้ตระกูลเผยเหลือสายเลือดเพียงคนเดียว พวกเขายิ่งคิดอยากจะให้แม่ทัพเผยตบแต่งภรรยาหลายคนเพื่อเพิ่มสายเลือดของตระกูล เดิมทีหลังแต่งงาน พวกเขาก็จะให้แม่ทัพเผยรีบรับอนุเพิ่มสักสองสามคนอยู่แล้ว ดังนั้นครั้งนี้แม่ทัพเผยเอ่ยเรื่องรับอนุภรรยาขึ้นมา พวกเขาจึงตกลงทันที แต่เพราะต้องรักษาหน้าของตระกูลคู่หมั้นจึงปิดบังไว้ รอจนอนุภรรยามีบุตรจึงจะรับกลับมาอย่างถูกต้องชอบธรรมได้ ถึงเวลาคุณหนูเซวียนไม่ยินยอมก็ไม่ได้แล้ว”
ข้าหัวเราะอย่างอดไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “ที่แท้แม่ทัพเผยก็หัวโบราณเกินไป ยามนี้ไยมิใช่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝั่ง จริงสิ เขาเดิมทีเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉีอ๋อง ครั้งนี้ช่วยชีวิตข้าไว้ ฉีอ๋องสร้างความลำบากให้เขาหรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ฉีอ๋องไม่เพียงไม่สร้างความลำบากให้เขา แต่ยังตัดสินใจสนับสนุนการตัดสินใจขององค์ชายที่จะเลื่อนตำแหน่งแม่ทัพเผยอีกด้วย รัชทายาทเคยจะเล่นตุกติกเล็กน้อยด้วยการจะฉวยโอกาสส่งคนของตนเข้ามาในกองราชองครักษ์แห่งค่ายอุดร แต่จักรพรรดิไม่พอใจอย่างยิ่ง ฝ่าบาททรงชื่นชมแม่ทัพเผยด้วยองค์เอง รัชทายาทจึงรามือ”
ข้าพยักหน้า เอ่ยว่า “ดีแล้ว ตอนนี้องค์ชายพักผ่อนแล้ว เช้าวันพรุ่งนี้เจ้าไปถามองค์ชายดูว่ามีงานใดหรือไม่ ต้องเป็นพรุ่งนี้เท่านั้น มิเช่นนั้นจะสายเกินไป”
เช้าวันต่อมาข่าวการไปเยือนจวนแม่ทัพใหญ่ฉินอี๋ของยงอ๋องหลี่จื้อก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ยามเฉิน[1]ข้ากับยงอ๋องมาถึงจวนของฉินอี๋ จวนตระกูลฉินกินพื้นที่สิบหมู่ นับว่าขนาดใหญ่มากในหมู่ขุนนาง แต่มีเพียงพื้นที่กว้างขวาง หน้าตากลับดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง แม้แต่ขั้นบันได หินหยั่งเท้าขึ้นม้า รูปปั้นสิงห์หน้าประตูก็ล้วนธรรมดา ดูแล้วเหมือนเป็นตระกูลขุนนางธรรมดาเท่านั้น ยงอ๋องเพิ่งลงจากรถม้าหน้าประตูจวนก็เห็นฉินอี๋ ขุนนางที่ยงอ๋องไว้วางใจพาคนในครอบครัวมารอรับอยู่ที่หน้าประตูแล้ว แม้แม่ทัพใหญ่ฉินฐานะสูงส่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรยงอ๋องก็เป็นเชื้อพระวงศ์ มารยาทที่พึงมีสักอย่างย่อมมิอาจขาด
ข้าติดตามอยู่หลังยงอ๋องพลางลอบมอง หลังร่างของฉินอี๋ นอกจากฉินชิงแล้ว ยังมีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกับเด็กหนุ่มอายุราวสิบกว่าปีอยู่อีกสี่ห้าคน ชายหนุ่มผู้นั้นสวมเครื่องแบบแม่ทัพ หน้าตาคล้ายคลึงกับฉินชิงถึงแปดส่วนแต่ดูซื่อกว่าเล็กน้อย นอกเหนือจากนั้น สองฟากฝั่งยังมีข้ารับใช้ของตระกูลแม่ทัพจำนวนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ แต่ละคนกิริยาเคร่งขรึม ซ่อนเร้นไอสังหาร ดูท่าคงเป็นทหารกล้าที่รอดชีวิตมาจากพันทหารหมื่นอาชาท่ามกลางสงครามนองเลือด
ฉินอี๋ก้าวเร็วไวมาด้านหน้าแล้วค้อมกายคารวะ “กระหม่อมฉินอี๋คารวะองค์ชาย ขอทรงอายุยืนพันปี”
เวลานี้ฉินชิงกับชายหนุ่มและเด็กหนุ่มเหล่านั้นก้าวเข้ามาคารวะบ้าง ชายหนุ่มผู้นั้นมีตำแหน่งขุนนางเช่นกัน ข้าได้ยินเขาเรียกตนเองว่าฉินหย่ งจึงนึกฐานะของคนผู้นี้ขึ้นมาได้ทันที เขาก็คือหลานชายของฉินอี๋ บิดาของเขาคือญาติผู้น้องของฉินอี๋ที่โชคร้ายตายในสนามรบ ฉินอี๋จึงรับครอบครัวของเขาเข้ามาในจวน ยามปู่ย่าของเขาสิ้นใจ ฉินอี๋ล้วนเป็นผู้ทำพิธีศพให้ ตอนนี้เขาเป็นรองแม่ทัพคนหนึ่งใต้บังคับบัญชาของฉินอี๋ ได้ยินว่าแม้คนผู้นี้จะหน้าตาซื่อ แต่เนื้อในซ่อนความสามารถไว้ กลยุทธ์ทางทหารของเขานับว่าเป็นชั้นหนึ่ง เพียงแต่คนผู้นี้จงรักภักดีต่อฉินอี๋มิแปรเปลี่ยน ทั้งยังกตัญญูต่อมารดายิ่งนัก นอกจากช่วงเวลาสองสามปีที่ฝึกปรือฝีมืออยู่ด่านชายแดน หลายปีมานี้ล้วนติดตามอยู่ข้างกายฉินอี๋ตลอด เขาเป็นแขนซ้ายแขนขวาของฉินอี๋ ฉินอี๋เอ็นดูเขามากมายยิ่งกว่าฉินชิง
หลี่จื้อคล้องแขนฉินอี๋ เดินเคียงบ่าเคียงไหล่เข้าไปในจวน ข้ามองฉินชิงพลางแย้มรอยยิ้ม “ครั้งก่อนแม่ทัพฉินมาที่จวนยงอ๋อง เจียงเจ๋อเคยเชิญท่านแม่ทัพดื่มชา วันนี้เจียงเจ๋อติดตามองค์ชายมาเยี่ยมเยียน ท่านแม่ทัพก็น่าจะต้อนรับข้าเช่นกันสิถึงจะถูก”
ฉินชิงมองข้าด้วยสีหน้าแปลกพิกล เมื่อเห็นข้าเอ่ยวาจาจึงเดินเข้ามากล่าวว่า “เจียงซือหม่า เชิญ”
เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถามเสียงเบา “เจียงซือหม่ามิได้สงสัยว่าข้าฉินชิงผู้นี้เป็นคนร้ายที่ลอบสังหารท่านหรือ”
ข้าหัวเราะเบาๆ พลางตอบว่า “แม่ทัพฉินกล่าหาข้าแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าหมดสติไปเกือบสองเดือน ต่อมาก็รักษาตัว ไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงไปสงสัยผู้ใด อีกอย่างแม่ทัพเป็นคนเปิดเผย ต่อให้อยากสังหารผู้แซ่เจียงก็คงถือกระบี่เข้ามาสังหาร การลอบสังหารเช่นนี้จะเป็นการกระทัพของท่านแม่ทัพได้เยี่ยงไร”
ดวงตาของฉินชิงทอประกายปลาบปลื้ม สีหน้าไม่เย็นชาอีกต่อไป จากนั้นเอ่ยเสียงเบาว่า “เฮ้อ ทำเอาข้าตกระกำลำบาก ท่านพ่อขังข้าไว้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว หวุดหวิดเกือบจะใช้ทัณฑ์ทรมานบีบให้สารภาพ หากมิใช่พี่สามขอร้องไว้ เกรงว่าตอนนี้ข้าคงลุกจากเตียงไม่ขึ้น”
ข้าเลิกคิ้วทำท่าไม่เข้าใจ ฉินชิงจึงชี้ฉินหย่งที่เดินอยู่หลังฉินอี๋ไม่ไกลแล้วเอ่ยว่า “นั่นคือพี่สามของข้า พี่ชายที่เป็นญาติห่างๆ ของข้า โชคดีที่เขาเกลี้ยกล่อมจนท่านพ่อยอมฟัง มิเช่นนั้นข้าคงอนาถแล้ว”
ข้าหัวเราะ “ที่แท้เป็นเช่นนี้ แล้วตอนนี้ท่านแม่ทัพยังเชื่อข่าวลือเหล่านั้นหรือไม่”
[1]ยามเฉิน ช่วงเวลาระหว่าง 7.00-9.00 น.