ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 52 ชี้ชมแดนดิน (1)
ระหว่างงานเลี้ยง ท่านหญิงยิ้มแย้มถามถึงทิวทัศน์ใต้หล้า ลี่อ๋องจึงเสนอให้เล่นยกบทกวี การละเล่นยังมิทันเริ่ม ฉีอ๋องก็มาถึง ท่านอ๋องทั้งสามร่วมดื่มสังสรรค์ งานเลี้ยงสนุกสนานครื้นเครง ในยามนั้นพวกเขาต่างลืมเลือนว่าความวุ่นวายภายในกำลังมาเยือน
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติลี่อ๋อง
ฮ่าๆ ความคิดดี งานนี้จะขาดข้าได้อย่างไรเล่า รัชทายาทเพิ่งพูดจบ เสียงร่าเริงก็ดังมาแต่ไกล ทุกคนหันไปมองก็เห็นฉีอ๋องหลี่เสี่ยนเดินทอดน่องเข้ามา หลังร่างเขาคือเหวยอิงกับเซี่ยโหวหยวนเฟิง รัชทายาทกับยงอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ส่วนฉินอี๋กลับยิ้มเจื่อน เขาคิดไม่ถึงเด็ดขาดว่าวันนี้จวนของเขาจะครึกครื้นเช่นนี้ ฉินอี๋ส่งสายตาให้ฮูหยินแล้วลุกขึ้นเอ่ยว่า วันนี้ลมอะไรพัดมา ฉีอ๋องจึงให้เกียรติมาเยือนจวนซอมซ่อด้วย ผู้แซ่ฉินได้รับความโปรดปรานจนตกใจนัก
หลี่เสี่ยนห้ามฉินอี๋ไม่ให้คำนับแล้วหัวเราะตอบว่า พูดไปแล้วก็บังเอิญ แม่ทัพใหญ่คงไม่รู้ เดิมทีข้ากับเซี่ยโหวคิดจะออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ใครจะรู้ว่าระหว่างทางกลับพบใต้เท้าเหวยเข้า ใต้เท้าบอกว่าวันนี้พี่ใหญ่กับพี่รองล้วนมาเยือนจวนแม่ทัพใหญ่ ข้าจึงคิดว่าเรื่องสนุกเช่นนี้ข้าจะไม่ร่วมได้เช่นไร
หลี่จื้อกับรัชทายาทต่างสงบใจลงได้ พวกเขารู้อยู่แล้วว่าปกติยามหลี่เสี่ยนอยู่ว่างชอบสร้างเรื่องวุ่นวาย วันนี้มีเรื่องน่าสนุกเช่นนี้ เขาไม่มาจึงจะแปลก
ทุกคนกลับไปนั่งอีกครั้ง สามฝ่ายแบ่งแยกชัดเจน ยามนี้ฮูหยินฉินขอตัวออกไปแล้ว ดังนั้นรัชทายาท ฉีอ๋อง หลี่หันโยวกับหลู่จิ้งจงจึงนั่งอยู่ด้วยกัน ยงอ๋อง เจียงเจ๋อกับพวกซือหม่าสยงนั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนเหวยอิง เซี่ยโหวหยวนเฟิงกับฉินอี๋และฉินชิงนั่งอยู่ด้วยกัน ฉินหย่งหาข้ออ้างออกไปแล้ว ที่แห่งนี้มีผู้สูงศักดิ์มารวมตัวกันมากเช่นนี้ องครักษ์ใต้บัญชาที่ติดตามพวกเขามาย่อมมีมากมาย ฉินหย่งจึงต้องไปจัดการ
หลี่อันสั่งให้คนไปนำสุราฤทธิ์แรงมาหลายไหพร้อมกับจอกสุราขนาดใหญ่ จอกสุราชนิดนี้จอกหนึ่งใส่สุราได้สี่เหลี่ยง หากดื่มสักสามจอก แม้แต่ผู้ที่คอแข็งไม่เลวก็ยังเลี่ยงไม่ได้ต้องเมามาย เขาหัวเราะแล้วเอ่ยว่า การละเล่นในวงสุราวันนี้ให้เข้มงวดเสมือนคำสั่งทหาร ไม่ทราบผู้ใดเป็นกรรมการดีเล่า
จิงฉือรีบลุกขึ้น เอ่ยว่า ผู้น้อยไม่แตกฉานบทกวี ให้ข้าเป็นกรรมการเถิด
หลี่จื้อหัวเราะ เหลวไหล ผู้ที่เป็นกรรมการย่อมต้องเป็นผู้รอบรู้บทประพันธ์ เจ้าจะเป็นกรรมการได้เช่นไร
หลี่เสี่ยนกลอกตารอบหนึ่งก็เอ่ยว่า พวกเราทุกคนล้วนต้องร่วมเล่น ตระกูลของแม่ทัพใหญ่เป็นตระกูลแม่ทัพ หากให้หาแม่ทัพวรยุทธ์สูงส่งสักคนในตระกูล หาตรงไหนก็เจอ แต่หากจะให้หาผู้รอบรู้กาพย์กลอนเกรงว่าคงยากแล้ว ในเมื่อท่านหญิงเป็นผู้เสนอ มิสู้ให้ท่านหญิงเป็นกรรมการเถิด
หลี่หันโยวตอบอย่างฉุนเฉียว ผู้น้อยเป็นสตรีอ่อนแอ ไหนเลยจะเป็นกรรมการได้ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่ากฎการละเล่นของพวกท่าน ผู้ที่เป็นกรรมการคนนั้นต้องร่วมดื่มสุรา ไม่ว่าคนเล่นชนะหรือแพ้ล้วนต้องร่วมดื่มหนึ่งจอก ท่านกลัวหันโยวมิเมามายสิ้นใจหรือไร
หลี่เสี่ยนผายมือเอ่ยว่า เป็นเช่นนี้เอง มิสู้พวกเราหาผู้ช่วยกรรมการสักคนให้ท่านหญิง ไว้ดื่มสุราแทนอย่างเดียวก็พอ
ทุกคนมองหน้ากัน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนคอแข็งพอตัว แต่จะให้เป็นผู้ช่วยกรรมการของหลี่หันโยวก็ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ยามนี้เองหลี่เสี่ยนก็พลันเอ่ยขึ้น เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าเป็นเถอะ เอ่ยพลางก็ชี้คนผู้หนึ่ง
ทุกคนหันไปมอง ผู้ที่หลี่เสี่ยนชี้ก็คือเสี่ยวซุ่นจื่อซึ่งยืนนอบน้อมอยู่ด้านหลังเจียงเจ๋อ แม้เสี่ยวซุ่นจื่อมีฐานะเป็นเพียงบ่าว แต่ทุกคนที่นี่ผู้ใดมิรู้บ้างว่าคนผู้นี้คือยอดฝีมือชั้นยอด คงมีเพียงเจียงเจ๋อผู้นี้เท่านั้นที่กล้าเรียกใช้เขาเสมือนบ่าวรับใช้ มิเช่นนั้นต่อให้เป็นรัชทายาทหรือยงอ๋องก็คงยกย่องเขาเป็นแขกคนสำคัญ
หลี่หันโยวยินดีอยู่ในใจ เดิมทีนางเพียงจะฉวยโอกาสหยั่งเชิงเจียงเจ๋อสักหน่อย แต่หากได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับเขาด้วยก็ยิ่งดี คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องผู้โผล่มากะทันหันจะร่วมมือปานนี้ เขาดึงเสี่ยวซุ่นจื่อมาไว้ในที่แจ้ง ตนย่อมฉวยโอกาสใช้เล่ห์เหลี่ยมชักชวนสองคนนี้มาเป็นพวกได้ อย่างน้อยก็ต้องลดความเป็นอริของพวกเขาลง หากมิใช่ว่าฉีอ๋องไร้ข้อได้เปรียบในด้านฐานะ หลี่หันโยวก็อยากแนะนำเจ้าสำนักจริงๆ ว่าสนับสนุนฉีอ๋องยังง่ายกว่าสนับสนุนรัชทายาทผู้โง่เขลาคนนั้นมากนัก
ความสนใจทั้งหมดของเสี่ยวซุ่นจื่อเดิมทีก็อยู่ที่ตัวเจียงเจ๋อ มนุษย์คนอื่นในสายตาเขาจำแนกได้เป็นสองประเภทคือ ‘คนที่อันตรายต่อคุณชาย’ กับ ‘คนที่ไม่อันตรายต่อคุณชาย’ เท่านั้น หลี่หันโยวจัดว่าเป็นประเภทแรก เมื่อนึกขึ้นมาว่าสตรีนางนี้เกือบจะสังหารคุณชายจนสิ้นใจ เขาก็อยากจะซัดฝ่ามือสังหารนางยิ่งนัก หากมิใช่เจียงเจ๋อกระซิบบอกเขาว่า ไม่ต้องรีบร้อน วันหน้ายังอีกยาวไกล เขาคงอดกลั้นไม่ไหวนานแล้ว
ตอนนี้เมื่อได้ยินข้อเสนอของฉีอ๋อง เสี่ยวซุ่นจื่อก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ใบหน้าฉับพลันฉาบด้วยจิตสังหารเย็นยะเยือกเสียดแทงกระดูก ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง ทำให้ทุกคนระแวดระวังเพิ่มอย่างไม่รู้ตัว เวลานี้เอง เจียงเจ๋อจึงเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ นี่เป็นความคิดที่ดี แต่เสี่ยวซุ่นจื่อคอไม่แข็งนัก ให้ดื่มสุราแทนท่านหญิงคงลำบากยิ่ง หากท่านหญิงจะยอมมอบรางวัลให้สักหน่อย ถ้าเช่นนั้นแม้เขาไม่หวั่นไหว กระหม่อมก็คงหวั่นไหว
หลี่จื้อสีหน้าผ่อนคลายลงแล้วเอ่ยว่า นี่ก็เป็นเรื่องสมควร ในเมื่อพี่ใหญ่เสนอให้เล่น น้องหกเสนอให้เสี่ยวซุ่นจื่อช่วย ถ้าเช่นนั้นทั้งสองคนก็ไม่สมควรตระหนี่ถี่เหนียวกระมัง
หลี่หันโยวเผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแล้วเอ่ยว่า ข้ามาอย่างรีบร้อน หากมิรังเกียจ ถือเสียว่านี่เป็นของรางวัลก็แล้วกัน นางพูดพลางล้วงถุงมือบางดุจปีกจักจั่นคู่หนึ่งออกมาจากเอว ทุกคนมองอย่างประหลาดใจแล้วอดถามไถ่กันไม่ได้ เวลานี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงแย้มยิ้มเอ่ยขึ้นว่า รางวัลของท่านหญิงช่างล้ำค่าจริง นี่คงเป็นถุงมือที่ทอจากใยหนอนไหมเหมันต์บนเขาเทียนซาน หอกดาบแทงไม่เข้า ร้อยพิษมิกล้ำกราย เป็นอาวุธที่ผู้ถนัดวิชาฝ่ามือชมชอบที่สุด
หลี่หันโยวมองเสี่ยวซุ่นจื่อ ขอเพียงเขาเปลี่ยนสีหน้าแม้เพียงเล็กน้อยก็นับว่าตนบรรลุจุดประสงค์แล้ว ใครจะคิดว่าเสี่ยวซุ่นจื่อเพียงมองอย่างเฉยชาแล้วตอบมาประโยคหนึ่งว่า ขอบพระคุณท่านหญิงที่ประทานรางวัล สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
หลี่หันโยวถอนหายใจอยู่ในใจ หากเสี่ยวซุ่นจื่อเห็นสิ่งนี้แล้วยินดีย่อมหมายความว่าเขายังไม่บรรลุขอบขั้นหลุดพ้นจากความเย้ายวนของสิ่งนอกกาย ถ้าเช่นนั้นตนก็จะรู้ตื้นลึกของเขา และหากเขายิ่งพึ่งพิงถุงมือคู่นี้ วรยุทธ์ของเขาก็ยิ่งยากจะก้าวหน้า น่าเสียดาย เมื่อเห็นเขาเฉยชาเช่นนี้ก็ทราบแล้วว่าเขารู้เหตุผลประการนี้ หรือไม่ก็ก้าวพ้นขอบขั้นที่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกไปแล้ว ในเมื่อเขาไร้อาจารย์ชื่อดังสอนสั่ง ถ้าเช่นนั้นย่อมบ่งบอกว่าวรยุทธ์ของเขาบรรลุถึงระดับนั้นแล้ว
ฉีอ๋องหัวเราะ ตัวข้ามิได้พกของมีค่าอันใดมา เอาเช่นนี้เถิด จวนของข้าบังเอิญได้ ‘บันทึกเมิ่งหวา[1]’ ฉบับโบราณมาเล่มหนึ่ง ในนั้นบันทึกบทกวีและกาพย์กลอนที่สูญหายไปนานแล้วจำนวนหนึ่งเอาไว้ ของรางวัลชิ้นนี้ของข้ามีค่าพอหรือไม่
เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารับใช้เจียงเจ๋อมาหลายปี เคยได้ยินเจียงเจ๋อกล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ อีกทั้งดูเหมือนจะเสียดายอย่างยิ่งที่ไม่เคยอ่าน เขาจึงเผยสีหน้ายินดีออกมาอย่างอดไม่ได้แล้วตอบว่า ขอบพระทัยฉีอ๋องที่ประทานรางวัล
พวกหลี่หันโยวตกตะลึง ในใจคิดว่าคนผู้นี้มิชอบวรยุทธ์แต่ชมชอบหนังสือตำราหรอกหรือ จากนั้นพวกเขาก็เห็นเจียงเจ๋อเผยสีหน้ายินดีออกมาเลือนราง ในใจหลี่หันโยวทั้งยินดีทั้งกังวล ดูท่าจุดอ่อนเพียงประการเดียวของเสี่ยวซุ่นจื่อผู้นี้ก็คือเจียงเจ๋อ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ตนย่อมมิอาจใช้งานยอดฝีมือผู้นี้ได้ เพราะถึงอย่างไรยงอ๋องก็ให้ความสำคัญกับเจียงเจ๋อยิ่งนัก ต่อให้เจียงเจ๋อยอมติดตามตน ตนก็คงมิกล้าใช้งานเขา ช่างเถิด ดูท่าคงได้แต่ใช้วิธีการรุนแรงแล้ว ดวงตาของหลี่หันโยวทอประกายแน่วแน่วูบหนึ่ง
รัชทายาทหลี่อันถอนหายใจติดๆ กันให้กับความโชคร้าย ในใจคิดว่าให้ข้าประทานรางวัล รางวัลของหลี่หันโยวกับหลี่เสี่ยนล้ำค่าไม่ธรรมดายิ่งนัก หากตนมอบเพียงเงินทองอัญมณีก็ออกจะธรรมดาไปหน่อย ระหว่างที่เขาลังเลตัดสินใจไม่ได้ เซี่ยจินอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังมาตลอดก็พลันเข้ามากระซิบริมหู หลี่อันยิ้มแย้มเบิกบานทันทีแล้วเอ่ยว่า ของรางวัลจากข้า เจ้าห้ามปฏิเสธ จินอี้ วันพรุ่งนี้เจ้าจงส่งลี่ว์จูกับชุ่ยอิงไป สตรีสองนางนี้เป็นถึงนางรำคนโปรดของข้า เจ้าจงสุขสำราญให้เต็มที่
เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา อากาศก็ราวกับมีไอหนาวลอยอวล แม้มิมีผู้ใดเอ่ยชัด แต่ฐานะของเสี่ยวซุ่นจื่อ ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ หากเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง การมอบรางวัลแฝงการเสียดสีเช่นนี้ เขาคงทำได้เพียงอดกลั้น แต่เสี่ยวซุ่นจื่อเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศ หากเขาเกิดโทสะลงมือขึ้นมา เกรงว่าคงไม่มีใครในที่นี้หนีรอด ไม่เพียงองครักษ์คนสนิททั้งหลายที่เหลืออยู่ข้างกายรัชทายาทกับฉีอ๋องที่เพิ่มความระวัง แม้แต่ยงอ๋อง ฉินอี๋กับแม่ทัพทั้งหลายใต้บัญชาของยงอ๋องก็สังเกตเคลื่อนไหวของเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างระมัดระวังเช่นกัน
ทว่าเสี่ยวซุ่นจื่อกลับหัวเราะ ร่างกายขยับวูบเดียวมายืนตรงหน้ารัชทายาท รัชทายาทตกใจยิ่งนัก หลี่หันโยว ฉีอ๋องกับฉินอี๋ล้วนขยับตัวในเวลาเดียวกัน แต่พวกเขากลับหยุดยืนอยู่ห่างออกไปหนึ่งจั้งกว่า เพราะแม้ว่าเสี่ยวซุ่นจื่อผู้ยืนอยู่ไกลมากจะเป็นคนแรกที่มาถึงตรงหน้ารัชทายาทก่อน แต่รัชทายาทก็ยังไม่ได้รับอันตรายด้วยเซี่ยจินอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังรัชทายาทถลันมาขวางหน้าไว้ หากเสี่ยวซุ่นจื่อลงมือย่อมมิอาจสังหารรัชทายาทในกระบวนท่าเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่บุ่มบ่ามลงมือ
หลี่จื้อลุกขึ้นยืนบ้าง เขามองเจียงเจ๋อแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า หลี่ซุ่น เจ้าจะทำสิ่งใด
สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่บนร่างเจียงเจ๋อ เวลานี้คงมีเพียงเขาที่หยุดยั้งเสี่ยวซุ่นจื่อได้
ข้ามองพวกยงอ๋องที่กำลังมีสีหน้าร้อนรนอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยปากว่า กระหม่อมขอบพระทัยรัชทายาทที่ประทานรางวัลแทนหลี่ซุ่น รัชทายาทคงเห็นยามปกติเขาทำงานหนักจึงมอบหญิงรับใช้สองนางมาแบ่งเบาภาระของเขากระมัง
เวลานี้หลี่อันนึกเสียใจอย่างแท้จริง เดิมทีเซี่ยจินอี้เสนอให้ตนมอบหญิงรับใช้ที่โดดเด่นสองนางให้ แต่ตนนึกสนุกจึงมอบนางรำสองนางให้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงแววเสียดสี ทว่ากลับกลายเป็นชักนำภัยเข้าหาตัว แม้คนผู้นี้อยู่ห่างจากตนเองอีกหลายก้าว แต่หลี่อันรู้สึกได้ถึงไอเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา เมื่อได้ยินเจียงเจ๋อเอ่ยปากจึงรีบเอ่ยทันที ใช่แล้ว เจ้าวรยุทธ์สูงส่ง แต่ทำงานของบ่าวชั้นต่ำอยู่ตลอด ข้าเห็นว่าไม่เหมาะสม
เสี่ยวซุ่นจื่อเผยรอยยิ้มจางออกมาทันใด เขาค้อมคำนับแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมอย่างยิ่ง ขอบพระทัยรัชทายาทที่ประทานรางวัล
[1] บันทึกเมิ่งหวา บันทึกของบัณฑิตสมัยราชวงศ์ซ่งที่บันทึกวิถีชีวิตของผู้คนตั้งแต่ชนชั้นสูงไปจนถึงชาวบ้าน หลังจากราชวงศ์ซ่งเหนือล่มสลายแล้วอพยพย้ายเมืองหลวงลงมาทางใต้