ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 10 ผู้มาเยือนจากตงไห่ (2)
ฟางหย่วนซินเอ่ยว่า “มิกล้าปิดบังใต้เท้า นายท่านของข้าอายุใกล้สี่สิบแต่มีสายเลือดเพียงคนเดียว มิคาดหลายวันก่อนนายน้อยออกทะเล กลับถูกงูทะเลชนิดหนึ่งที่ชื่อ ‘หยกชาด’ ทำร้ายอาการสาหัส แม้ใต้บัญชาของนายข้ามีหมอชื่อดังแต่กลับอับจนหนทาง ได้แต่มองนายน้อยต้องพิษทุกข์ทรมาน แม้รักษาชีวิตเอาไว้ได้แต่จะอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่ได้ นายท่านเคยส่งลูกน้องไปค้นหาหมอมากฝีมือทั่วทุกแห่ง แต่ทุกคนล้วนกล่าวว่าจนปัญญา สุดท้ายนายท่านจึงได้แต่หวังจะตามหาท่านหมอซังผู้เป็นหมอเทวดา
ทว่านับแต่ท่านหมอซังปรากฏตัวอย่างลึกลับที่ฉางอันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ผู้แซ่ฟางรับคำสั่งมาค้นหาร่องรอยที่ฉางอันก็มิได้ข่าวคราวอย่างใด แต่ทราบมาว่าใต้เท้าเจียงเคยร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอซัง ลือกันว่าท่านชำนาญวิชาแพทย์อย่างลึกล้ำ ผู้แซ่ฟางขอร้องใต้เท้าโปรดใช้วิชาแพทย์อันสูงส่งช่วยนายน้อยของข้าด้วย หากท่านช่วยเหลือไม่เพียงผู้แซ่ฟางจะซาบซึ้งน้ำตานอง แม้แต่นายท่านของข้าก็จะไม่ลืมบุญคุณใหญ่หลวงของใต้เท้าเช่นกัน”
ข้าขมวดคิ้ว “แม่ทัพฟาง ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่ท่านกับข้าเป็นศัตรูยืนอยู่คนละฝั่ง แล้วยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าจะช่วยรักษานายน้อยเจียงได้หรือไม่ หลังจากข้าถูกลอบสังหาร ร่างกายก็อ่อนแอยิ่งนัก หากไม่ได้ยงอ๋องกับบ่าวคนนี้ของข้าใส่ใจดูแลเกรงว่าคงตายเสียนานแล้ว หากเดินทางไกลพันลี้ไปยังตงไห่ น่ากลัวว่าคนยังไม่ทันไปถึงก็คงหายใจรวยริน อีกประการหนึ่งยามนี้ยงอ๋องกำลังต้องการคำปรึกษาของข้า ข้าผละจากไปไม่ได้แม้แต่ครู่เดียว”
ฟางหย่วนซินรู้ว่าเจียงเจ๋อไม่ได้โป้ปดสักคำ ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะของนายท่านของเขา เพราะขอเพียงเจียงหย่งยอมสวามิภักดิ์กับต้ายง จักรพรรดิต้ายงย่อมให้ตำแหน่งสำคัญกับเขาแน่ แต่สีหน้าของเจียงเจ๋อแม้จะยังดี ทว่าลักษณะของอาการปราณพร่องร่างกายอ่อนแอปรากฏทุกประการไม่ขาดสักอย่าง หากระหกระเหินพันลี้ น่ากลัวว่าจะป่วยจนล้มก่อนถึงตงไห่จริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรนายน้อยก็มาที่ฉางอันไม่ได้
เขาขบคิดอยู่ในใจเนิ่นนานก็ยังรู้สึกจนปัญญา เขาจึงลองคิดหาวิธีชิงตัวเจียงเจ๋อ แต่จากข่าวที่สืบมา เขารู้มาว่าเจียงเจ๋อผู้นี้เป็นคนที่ยงอ๋องให้ความสำคัญที่สุด หากจะเป็นอริกับยงอ๋องอย่างโจ่งแจ้ง แม้แต่นายท่านก็ยังไม่ยอม อีกประการหนึ่ง เมื่อพบหน้ากันวันนี้เขาจึงพบว่าการคุ้มกันข้างกายเจียงเจ๋อแน่นหนาดังคาด ตนไม่มีทางชิงตัวเจียงเจ๋อไปจากฉางอันได้
ข้าจับตามองสีหน้าของฟางหย่วนซิน แรกเริ่มกลัดกลุ้ม ต่อมาเกิดจิตสังหารเบาบาง สุดท้ายจึงสิ้นหวัง ไหนเลยยังจะไม่ทราบความคิดของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรยามนี้ข้าก็ไปจากฉางอันไม่ได้ หากท่านหมอซังไม่ได้เคยบอกว่าจะไม่รักษาคนอีกแล้ว และที่พำนักของท่านหมอซังเป็นความลับ มิอาจบอกคนนอกได้ ข้าก็คงแนะนำให้เขาไปพบท่านหมอซังแล้ว สิ่งที่ทำได้ในยามนี้มีเพียงให้นายน้อยของเขาเดินทางมาฉางอัน ทว่าหากคนมาถึงฉางอันก็เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้กลับออกไป จุดนี้คงจะเป็นเรื่องที่เจียงหย่งลำบากใจมากกระมัง
ข้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อก็เอ่ยเตือนข้า “คุณชาย ใกล้ถึงประตูจูเชว่แล้ว”
ฟางหย่วนซินได้ยิน ใบหน้าพลันหม่นหมองดั่งขี้เถ้า เขารู้ว่าจำต้องไปแล้วจึงเอ่ยอย่างเศร้าหมอง “หลังผู้แซ่ฟางกลับไปจะบอกเรื่องนี้กับนายท่าน เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ผู้แซ่ฟางมิอาจตัดสินใจเองได้”
ข้าฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยว่า “พี่ฟางไยต้องรีบร้อนจากไปเล่า ในเมื่อท่านยอมสนทนากับผู้แซ่เจียงแล้ว ถ้าเช่นนั้นเหตุใดไม่ลองพบหน้าองค์ชายดู องค์ชายน้ำพระทัยกว้างขวาง ทรงคุณธรรม บางทีอาจคิดหาวิธีช่วยนายน้อยของท่านได้ อย่างน้อยผู้แซ่เจียงก็รับประกันได้ว่าหากพี่ฟางต้องการจากไป องค์ชายจะไม่ขัดขวาง”
ฟางหย่วนซินเพิ่งตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาเองก็รู้ว่าต่อให้เจียงเจ๋อยอมรักษานายน้อยก็ต้องได้คำอนุญาตจากยงอ๋อง เมื่อนึกถึงบุญคุณมากมายดุจทะเลของนายท่านที่มีต่อตน ตนจะเอาชีวิตนี้ไปเสี่ยงอันตรายสักหน่อยจะเป็นไรไป ฟางหย่วนซินตัดสินใจแน่วแน่แล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นต้องไหว้วานใต้เท้าเจียงแนะนำแล้ว”
ข้าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่ทัพฟางโปรดวางใจ ผู้แซ่เจียงรับประกันว่าใต้เท้าฟางจะได้ออกจากฉางอันอย่างปลอดภัย”
ฟางหย่วนซินกำลังจะตอบ เสี่ยวซุ่นจื่อพลันเปลี่ยนสีหน้าแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “คุณชาย มีคนตามมา”
ข้าจึงถามว่า “มีกี่คน ตั้งแต่เมื่อไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอ่ยตอบ “เจ้าพวกนี้มาประกบตอนพวกเราพบแม่ทัพฟาง เดิมตามอยู่ห่างจากรถม้าตลอด เมื่อครู่จู่ๆ ก็ประชิดเข้ามาใกล้ขึ้นมาก อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว ด้านหน้ามีกองทหารราชองครักษ์ลาดตระเวนผ่านมา”
ข้าฉุกใจคิดแล้วถามว่า “กองทหารราชองครักษ์กองนั้นเป็นลูกน้องของใคร”
เสี่ยวซุ่นจื่อเลิกม่านมองเล็กน้อยแล้วกระซิบบอก “นายท่าน แม่ทัพฉินนำกองทหารราชองครักษ์ลาดตระเวนตรวจ ประเดี๋ยวก็จะเผชิญหน้ากับพวกเราแล้ว”
ข้ายิ้มเย็นชา “เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าว่าฉินชิงจะค้นรถม้าของข้าหรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อขมวดคิ้วตอบ “รถม้าของจวนยงอ๋อง เขาน่าจะไม่ตรวจค้นกระมัง”
ข้ายิ้มเล็กน้อย “ตามกฎแล้วเขามีสิทธิ์ตรวจสอบรถม้าที่วิ่งยามค่ำคืน แน่นอนว่าหากพูดถึงฐานะของข้าจะไม่ตรวจก็ได้ แต่หากเขาต้องการค้นจริง ข้าก็ไม่สะดวกห้ามปราม เดิมทีคนพวกนั้นคงตามพี่เยี่ยกับพี่ฟางอยู่ ใครจะรู้ว่ากลับพบปลาตัวใหญ่ตัวนี้อย่างข้าเข้า คนผู้นี้ช่างเด็ดขาด คิดใช้วิธีนี้ใส่ร้ายข้าว่าสมคบศัตรูคิดกบฏ”
เสี่ยวซุ่นจื่อมุ่นคิ้ว “คุณชายมิสะดวกปฏิเสธการตรวจค้น ทั้งยังลงมือทำร้ายทหารราชองครักษ์ไม่ได้ ครานี้จะทำเช่นไรดี”
ข้าหัวเราะ “ให้จิงฉือไปจัดการก่อนเถอะ หากข้ารีบร้อนออกหน้ากลับจะไม่ดี ช่างน่าเสียดายฉินชิงจริงๆ”
ตอนนี้เหล่าทหารราชองครักษ์ขบวนนี้มาถึงตรงหน้าแล้ว ผู้ที่นำหน้ามาท่าทางองอาจห้าวหาญเป็นฉินชิงนั่นเอง เขาบังคับม้ามาข้างหน้าแล้วเอ่ยเสียงดัง “แม่ทัพจิง ท่านมาอารักขาด้วยตนเองได้อย่างไร ด้านในรถม้าคือผู้ใดหรือ”
จิงฉือเอ่ยเสียงเข้ม “ที่แท้ก็แม่ทัพฉิน ผู้น้อยรับคำสั่งให้อารักขาเจียงซือหม่า ทำหน้าที่สำคัญอยู่จึงมิสะดวกคารวะ ขอแม่ทัพฉินโปรดอภัย”
ฉินชิงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พูดอันใด แม้ฉินชิงตำแหน่งขุนนางสูงกว่าหน่อย แต่ท่านเป็นแม่ทัพผู้อาจหาญแห่งสนามรบ ผู้ใดมิรู้ว่าแม่ทัพผู้แกล้วกล้าอันดับหนึ่งใต้บัญชาของยงอ๋องที่ชำนาญการสังหารแม่ทัพชิงธงข้าศึกที่สุดคือแม่ทัพจิง ฉินชิงเป็นเพียงคนรุ่นหลังที่ความรู้ตื้นเขิน มิกล้ารับการคารวะของแม่ทัพ ดึกดื่นป่านนี้ มิทราบให้ผู้แซ่ฉินพบเจียงซือหม่าได้หรือไม่ ฉินชิงรับผิดชอบหน้าที่สำคัญพิทักษ์ความปลอดภัยของเมืองหลวงจึงมิกล้าเกียจคร้าน ขอทุกท่านโปรดอภัยด้วย”
จิงฉือขมวดคิ้วตอบว่า “แม้การตรวจค้นร่องรอยคนน่าสงสัยจะเป็นการสมควร แต่นี่เป็นถึงรถม้าของจวนยงอ๋อง ผู้ที่อยู่ในรถม้ายังเป็นถึงใต้เท้าซือหม่า แม่ทัพฉินเหตุใดจึงต้องตรวจค้นให้ได้ ลมกลางคืนหนาวเย็นนัก ระยะนี้ใต้เท้าซือหม่าร่างกายไม่แข็งแรง เกรงว่าจะต้องลมเย็น มิสะดวกพบหน้าจริงๆ”
ฉินชิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาหันกลับไปกระซิบกับองครักษ์คนสนิทข้างกายคนหนึ่ง “จะหาเรื่องเจียงซือหม่าไม่ง่าย เหตุใดองค์หญิงจะต้องให้ข้าตรวจค้นรถม้าของเขาให้ได้ หากยงอ๋องโกรธจนไปบอกท่านพ่อ เกรงว่าข้าคงถูกตำหนิ”
องครักษ์คนสนิทผู้นั้นกระซิบตอบ “ราชบุตรเขยโปรดวางใจ คนของเราเห็นกบฏอยู่บนรถของเขา พวกเราเองมิได้เจตนาจะทำให้เจียงซือหม่าลำบาก หากเป็นเช่นนั้นแม่ทัพใหญ่คงไม่มีทางเห็นด้วย แต่หากคนผู้นั้นเข้าไปในจวนยงอ๋องได้ เกรงว่าคงมีภัยร้ายไม่หมดสิ้น ขอเพียงราชบุตรเขยพาตัวคนผู้นั้นไปโดยอ้างว่านำไปสอบสวน เจียงซือหม่าเป็นฝ่ายผิดย่อมไม่กล้าห้ามเป็นแน่ ถึงเวลาขอเพียงราชบุตรเขยไม่พูด เจียงซือหม่าก็คงไม่มีทางเป็นฝ่ายเอาโทษหนักถึงขั้นสิ้นตระกูลมาใส่ตัวกระมัง”
ฉินชิงลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าภรรยาฉลาดเรื่องวางกลอุบายมากกว่าตนเสมอ ไม่น่าจะทำพลาด เขาจึงเอ่ยเสียงดัง “เพียงทำตามระเบียบเท่านั้น ใช้เวลาไม่มาก น่าจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเจียงซือหม่า” พูดพลางก็บังคับม้าก้าวไปข้างหน้าหมายจะเลิกม่านรถขึ้น
องครักษ์สองนายขยับเข้ามาขวางพร้อมกัน พวกเขาย่อมรู้ว่าตอนนี้บนรถมีคนที่ไม่อาจถูกพบได้ ฉินชิงเลิกคิ้วกระบี่เอ่ยว่า “อะไรกัน พวกเจ้าจะขวางข้าไม่ให้ทำหน้าที่หรือ”
จิงฉือยิ้มเย็นชา “หากปล่อยให้ท่านค้นรถม้า ผ่านไปวันพรุ่งราชสำนักไยมิรู้กันทั่วว่าท่านแม่ทัพฉินเก่งกล้าถึงขั้นค้นรถม้าของจวนยงอ๋อง ถึงเวลาผู้ที่เสียหน้าคงไม่พ้นผู้แซ่จิง”
ฉินชิงเอ่ยติดจะโมโหเล็กน้อย “หากยงอ๋องอยู่ที่นี่ ข้าย่อมถอยหนีเก้าสิบลี้ แต่ตอนนี้มีเพียงเจียงซือหม่าอยู่บนรถ เช่นนั้นข้าย่อมมีสิทธิ์ตรวจค้น หากพวกท่านมิมีสิ่งใดปิดบัง ไยจะให้ข้าดูสักหน่อยมิได้เล่า” พูดพลางก็โบกมือ ทหารราชองครักษ์กองนั้นล้อมรถม้าเอาไว้ ฉินชิงมองจิงฉือด้วยแววตาเย็นชา หากเขาเอ่ยว่า ‘ไม่’ อีกเพียงหนึ่งคำ ตนก็จะใช้กำลังเข้าตรวจค้น
ฟางหย่วนซินหวาดหวั่น มือวางตรงเอวอีกครั้ง เขามีฐานะเป็นกบฏ หากตกอยู่ในมือทหารราชองครักษ์เกรงว่าคงไร้ทางรอด ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความคิดจะสู้แลกชีวิต ในใจเขาลอบตำหนิตนเองอย่างห้ามไม่ได้ เขาไม่ควรเสี่ยงอันตรายมาลอบสนทนากับเจียงเจ๋อบนรถ ตนเองตายช่างมันเถิด แต่หากลากชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่อาจช่วยรักษานายน้อยของตนได้ผู้นี้ลงเหวไปด้วย ถ้าเช่นนั้นตนเองตายหมื่นหนก็ยากปฏิเสธความผิด
ข้าส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วกดมือของเขาเบาๆ หากเรื่องเช่นนี้ยังมิอาจจัดการได้ ข้ายังคู่ควรเป็นกุนซืออันดับหนึ่งของยงอ๋องอีกหรือ ข้าเหลือบมองเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วปลดป้ายทองแผ่นหนึ่งตรงเอวส่งให้เขา แม้มีวิธีการมากมาย แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่เรียบง่ายตรงไปตรงมาที่สุด เพื่อให้แม่ทัพฟางผู้นี้คลายกังวล ใช้อำนาจรังแกคนสักครั้งก็แล้วกัน น่าเสียดายฉินชิงหัวรั้นเกินไป หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงมิกล้าขอตรวจค้นรถม้าของยงอ๋องแน่ การยึดถือคุณธรรมไม่ไว้หน้าผู้ใดมิใช่ใครก็จะทำได้ บอกได้เพียงว่าฉินชิงยังอ่อนต่อโลกเกินไป
เสี่ยวซุ่นจื่อรับป้ายทองแล้วเลิกม่านเดินออกไป เพียงครู่เดียวข้าก็ยิ้มจางๆ ป้ายทองแผ่นนี้ช่างมีประโยชน์เสียจริง มิเสียทีเป็นของดีที่ยงอ๋องตั้งใจให้ข้ายืมมาใช้