ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 11 เปลี่ยนหนักเป็นเบา (1)
ต้ายง รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้า ขุนนางฝ่ายตรวจสอบถวายฎีการ้องเรียนว่าเผยอวิ๋นแม่ทัพกองราชองครักษ์แห่งค่ายอุดรมักมากหลายใจ ประพฤติผิดหลักกตัญญู ทุกคนต่างรู้ว่าเขาถูกใส่ความ แต่มิกล้าแก้ต่าง มีเพียงไท่จงพยายามลอบปกป้องเขา
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง
ตอนที่ฉินชิงกำลังจะบุกเข้าตรวจค้นนั่นเอง ทันใดนั้นม่านรถก็เลิกเปิด เด็กหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งก้าวออกมายืนอยู่บนคานรถม้า เขายืนเอามือไพล่หลัง สีหน้าหยิ่งทะนงเย็นชาดุจน้ำแข็ง ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวแลดูโดดเด่นจากโลกหล้าไม่คล้ายมนุษย์เดินดิน แต่สิ่งที่ชวนให้คนผวาที่สุดก็คือดวงตาวาววับดั่งผลึกน้ำแข็งคู่นั้นของเขาที่มองตนอย่างเย็นชา ฉินชิงพลันรู้สึกว่าคนผู้นี้มองพวกตนเป็นสิ่งของไร้ชีวิตที่ทำลายได้ง่ายดายโดยไม่รู้สึกละอายใจแม้สักนิด
เขาสงบอารมณ์ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “พี่หลี่ไม่อยู่ห่างจากเจียงซือหม่าสักเพลา ช่างจงรักภักดีจริงแท้ ผู้น้อยมิได้มีเจตนาร้าย เพียงให้ข้าดูภายในรถสักพริบตาก็พอ”
เสี่ยวซุ่นจื่อหัวเราะเย็นชาตอบว่า “เจียงซือหม่าเคารพแม่ทัพใหญ่กับแม่ทัพฉินอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงวันนี้ผู้ที่มาทำให้คุณชายขายหน้ากลับเป็นแม่ทัพฉิน”
ในใจฉินชิงพรั่นพรึงวูบหนึ่ง เขาเคยเห็นพลังอันน่าเกรงขามของเด็กหนุ่มผู้นี้ด้วยตาตนเองในบ้านของตนมาแล้ว หากมิใช่เจียงเจ๋อเอ่ยปาก เกรงว่าคงมิมีผู้ใดกล้าพูดว่าเขาจะไม่สังหารรัชทายาทหลี่อันในหนึ่งฝ่ามือ เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่ทั้งในและนอกราชสำนักแห่งนครฉางอันต่างรู้ว่ามียอดฝีมือเยาว์วัยผู้นี้อยู่
เงามารหลี่ซุ่น วรยุทธ์ร้ายกาจ จิตใจโหดเหี้ยม ลงมือไร้เมตตา แต่คนเช่นนี้กลับจงรักภักดีกับคนผู้หนึ่งจนยินยอมเป็นเงาของเขา ฉายานี้มิรู้ผู้ใดเป็นคนตั้ง แต่บรรยายได้เห็นภาพยิ่งนัก ยามเขายืนอยู่หลังร่างเจียงเจ๋อช่างเหมือนเงาสายหนึ่งจริงๆ ผู้ใดก็ไม่คิดว่ายอดฝีมือเช่นนี้จะไปทำงานที่มีแต่บ่าวไพร่ทำ นอกจากนั้นยังไม่พร่ำบ่นสักนิด แต่ยามเขาบันดาลโทสะสังหารคนกลับไร้หัวใจน่าหวาดหวั่น
หลายเดือนก่อนมีคนฉวยโอกาสที่ยงอ๋องออกไปเที่ยวชมวสันต์ดักซุ่มลอบสังหาร เรื่องนี้ยังมิเท่าไร ผู้ใดจะรู้ว่าวันนั้นเจียงเจ๋อสภาพร่างกายค่อนข้างดีจึงออกไปเที่ยวกับยงอ๋องด้วยจนเกือบถูกลูกหลงจากอันตราย หลี่ซุ่นผู้นี้บันดาลโทสะ เข่นฆ่ามือสังหารสิบกว่าคนที่เดินทางมาทำภารกิจตกตายหมดสิ้น คนที่มาจัดการต่อหลังเกิดเรื่องเล่าว่าศพเหล่านั้นไม่มีสักร่างที่อยู่ครบชิ้นส่วน สภาพการตายช่างอเนจอนาถจนแม้แต่ทหารราชองครักษ์กับหมอชันสูตรที่เห็นคนตายจนคุ้นชินเหล่านั้นกลับไปแล้วยังนอนฝันร้ายอยู่หลายคืน
ทว่าฉินชิงกลับคิดว่าหากตนรามือโดยง่ายเช่นนี้จะบอกกับหันโยวเช่นไรเล่า เขาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “ข้าเองก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ขอพี่หลี่โปรดอภัยด้วย” กล่าวจบก็บังคับม้าก้าวเข้าไป ในใจคิดว่าหลี่ซุ่นคงไม่ทำร้ายแม่ทัพแห่งราชสำนักกลางถนนกระมัง
ทว่าเสี่ยวซุ่นจื่อกลับยิ้มเย็นชา ดวงตาสาดจิตสังหารข้นคลั่ก มือขวาข้างหนึ่งยกชูขึ้นมา ทหารราชองครักษ์ที่ฉินชิงนำมาตะโกนอย่างตกใจพร้อมกัน ดาบกระบี่เผยออกจากฝัก องครักษ์จากจวนยงอ๋องก็กำลังจะชักอาวุธตาม เพียงพริบตาเดียวไอสังหารสัดซาดหน้าประตูจูเชว่ เหตุการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุด
ผู้ใดจะคิดว่าหลี่ซุ่นเพียงชูมือขวาขึ้นสูง ในมือคือป้ายทองแผ่นหนึ่ง ฉินชิงเงยหน้ามองก็เห็นลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์กับมังกรสีทองเก้าตัวล้อมอักษรที่เขียนว่า ‘ดุจจักรพรรดิเสด็จ’ อยู่บนป้ายทองแผ่นนั้น ฉินชิงอุทานตกใจ เขาย่อมรู้ว่าป้ายทองแผ่นนี้คือสิ่งที่จักรพรรดิพระราชทานแก่ยงอ๋อง อนุญาตให้เขาเป็นตัวแทนจักรพรรดิออกตรวจตราแว่นแคว้น ผ่านที่ใดล้วนเข้าไปยุ่งเรื่องกองทัพการปกครองได้ทั้งสิ้น ในรัชสมัยปัจจุบันมีเพียงแผ่นเดียวเท่านั้น แต่ยงอ๋องเป็นผู้ดำรงตนอย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังมีชื่อเสียงระบือลือไกล เดินทางไปที่ใดมิจำเป็นต้องใช้ป้ายทองก็สั่งการได้ตามใจ ดังนั้นน้อยคนนักจะได้เห็นป้ายทองแผ่นนี้จริงๆ
คิดไม่ถึงว่ายงอ๋องถึงขนาดมอบป้ายทองให้แก่เจียงเจ๋อ ยงอ๋องเชื่อมั่นในตัวขุนนางเชลยจากหนานฉู่ผู้นั้นจนยอมมอบป้ายทองพระราชทานที่เปรียบเสมือนชีวิตของตนให้เขายืมใช้ ฉินชิงอดริษยาเล็กน้อยไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดไม่ใช่การขบคิดสิ่งเหล่านี้ เขารีบออกคำสั่งนำทหารราชองครักษ์ทั้งหมดลงจากหลังม้ามาคุกเข่าคำนับ ตะโกนทรงพระเจริญหมื่นปี
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มจางๆ แล้วเก็บป้ายทองไป “แม่ทัพฉินซื่อตรงต่อหน้าที่ ใต้เท้าซือหม่าเดิมสมควรเคารพ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ธรรมดา หากวันนี้ปล่อยให้ท่านแม่ทัพค้นรถม้า เกรงว่าวันหน้าจวนยงอ๋องคงมิได้สงบสุขอีก แม่ทัพฉิน ยงอ๋องเป็นองค์ชายของรัชสมัยปัจจุบัน แล้วยังเป็นแม่ทัพเทียนเช่อที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง ไม่มีวันทำสิ่งใดที่ทำร้ายแคว้นต้ายง หลังจากนี้แม่ทัพฉินทำสิ่งใดจงรอบคอบ อย่าได้กลายเป็นกระบี่ในมือผู้อื่นเปล่าๆ”
ฉินชิงจำต้องขานรับอย่างนอบน้อม แต่ในใจโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ขณะที่จะเอ่ยตอบอย่างขอไปทีสักสองประโยค ทหารกองหนึ่งก็ควบอาชาทะยานมาแต่ไกล ฉินชิงหันไปมองก็เห็นคนเหล่านั้นล้วนสวมเครื่องแบบองครักษ์จวนยงอ๋อง ผู้ที่นำหน้ามาคิ้วยาวดวงตาหงส์ หน้าตาสง่างามหล่อเหลา ท่วงท่าไม่ธรรมดา ชวนให้คนเห็นแล้วเกิดความรู้สึกสนิทสนม แต่เมื่อเห็นคันธนูสีทองที่สะพายอยู่บนร่างเขากับถุงลูกธนูที่ทำขึ้นเป็นพิเศษหน้าอานม้าก็รู้ว่าคนผู้นี้คือศรทองจ่างซุนจี้ เขาควบอาชาทะยานมาใกล้ก็คำนับฉินชิงก่อนครั้งหนึ่งหลังจากนั้นจึงเอ่ยเสียงกังวาน “องค์ชายรออยู่นานไม่เห็นใต้เท้าซือหม่ากลับจวนจึงตั้งใจส่งผู้น้อยเดินทางมารับ”
จิงฉือบ่นพึมพำ “มิใช่เพราะมีคนขวางทางหรือ” เสี่ยวซุ่นจื่อมองเขาอย่างเย็นชา จิงฉือหุบปากในทันใด หนึ่งปีที่ผ่านมายามข้าลงโทษให้เขาคัดตำราท่องตำรา ปกติล้วนให้เสี่ยวซุ่นจื่อคอยเฝ้า ตอนนี้เสี่ยวซุ่นจื่อตวัดตาครั้งเดียว เขาก็เงียบดุจจักจั่นเหมันต์ฤดู
พวกเราส่งฉินชิงจากไปอย่างมีมารยาทไม่ขาดตกบกพร่อง เสี่ยวซุ่นจื่อมองสำรวจองครักษ์ที่ลอบพูดกับฉินชิงผู้นั้นอย่างละเอียด จดจำหน้าตาของเขาไว้ขึ้นใจ
หลังจากนั้นในที่สุดข้าก็กลับมาถึงจวนยงอ๋อง เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ก็ได้ยินยงอ๋องเอ่ยอย่างหัวเสีย “สุยอวิ๋น เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ท่านคิดว่า…” ทว่าเมื่อเห็นฟางหย่วนซิน เขาพลันสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด อำนาจของท่านอ๋องแผ่ปกคลุมทั้งห้องโถงทันทีทำให้คนบังเกิดความรู้สึกมิกล้าต่อต้าน
ฟางหย่วนซินไม่ทราบเป็นอันใดจึงถึงขั้นก้าวเข้าไปคุกเข่าคารวะกับพื้น ตอนที่หัวเขาจรดพื้น เขาเพิ่งรู้สึกตัว พลางคิดในใจว่า นี่ข้าเป็นอันใดไปแล้ว
ข้าค้อมกายคำนับแล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย ผู้นี้คือแม่ทัพใหญ่ใต้บัญชาของเจียงโหวเจียงหย่ง แม่ทัพฟาง ฟางหย่วนซิน”
ยงอ๋องตกตะลึง จากนั้นจึงยิ้มกว้างเข้าไปประคองฟางหย่วนซินให้ลุกขึ้น เอ่ยว่า “ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว แม่ทัพฟางเชี่ยวชาญการรบทางน้ำ ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า ได้ยินว่าหลายปีก่อนแม่ทัพฟางออกรบหลายครั้งหลายคราที่ตงไห่จนกวาดล้างโจรสลัดที่รุกรานชายฝั่งทะเลได้ นับถือๆ พ่อค้าที่ค้าขายผ่านทางทะเลกับชาวประมงที่อาศัยทะเลหาเลี้ยงชีพมากมายล้วนตั้งป้ายสักการะขอพรให้ท่านอายุยืน ชายฝั่งสงบสุขได้ ความดีความชอบของแม่ทัพฟางมีส่วนไม่น้อย แม้ยามนี้ท่านจะแยกดินแดนไปอยู่โพ้นทะเล แต่พวกเราล้วนเป็นสายเลือดแห่งเหยียนหวง[1] ข้าเองก็เลื่อมใสความดีความชอบของเจียงโหวยิ่งนัก”
ฟางหย่วนซินรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ คิดไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้ ยงอ๋องยังจะชื่นชมเรื่องราวของพวกตนอยู่อีก เขาเอ่ยตอบ “องค์ชายชมเกินไปแล้ว แม้นายท่านโดดเดี่ยวอยู่โพ้นทะเล แต่ใจภักดีกับจงหยวน แม้ใจยังนึกแค้นราชสำนักต้ายง แต่ทุกครั้งที่เอ่ยถึงผลงานการรบอันยอดเยี่ยมขององค์ชายก็ยังยินดียิ่งนัก”
ยงอ๋องถอนหายใจ “นึกถึงอดีต ข้ากับท่านพี่เป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่ยังเยาว์วัย สนิทสนมดั่งพี่น้องแท้ๆ แต่โชคชะตาช่างเล่นตลก วันนี้กลับกลายเป็นมีแค้นสังหารบิดา ทุกครั้งที่ข้านึกขึ้นมาก็เศร้าใจยิ่งนัก หากเป็นไปได้ก็อยากขอให้ท่านแม่ทัพเกลี้ยกล่อมท่านพี่ ถือเสียว่าทำเพื่อคนรุ่นหลัง อย่าได้อยู่ที่โพ้นทะเลนานนัก ท่านพี่เองก็คงคิดถึงขุนเขาสายธารอันงดงามของจงหยวนกระมัง หากท่านพี่ยอมกลับจงหยวน หลี่จื้อยินดีขอขมาท่านพี่ ไม่ว่าท่านพี่จะฆ่าจะตีล้วนตามแต่ใจ”
ฟางหย่วนซินแววตาหม่นหมองตอบว่า “องค์ชายทรงมีไมตรีลึกซึ้ง ผู้น้อยจะบอกต่อแก่นายท่านแน่นอน แต่องค์ชายน่าจะไม่ทรงทราบ ผู้ที่นายท่านแค้นเคืองที่สุดหาใช่องค์ชาย แม้องค์ชายนำทัพบุกตีกองทัพใหญ่ของท่านผู้ครองแคว้นองค์ก่อนจนปราชัย แต่นั่นเป็นเพราะท่านเจ้าแคว้นองค์ก่อนทะเยอทะยานมากเกินไป มิยอมรับบรรดาศักดิ์ที่ต้ายงมอบให้ หากท่านเจ้าแคว้นองค์ก่อนตายในสงคราม แม้นายท่านจะเจ็บปวด แต่ไม่แน่ว่าจะต้องล้างแค้น ทว่าท่านเจ้าแคว้นองค์ก่อนกลับถูกฟ่านฮุ่ยเหยา สตรีร้ายกาจนางนั้นลอบสังหาร ความอัปยศนี้ชั่วชีวิตนายท่านมิอาจลืม แค้นนี้หากไม่ชำระ นายท่านถึงตายก็นอนตายตาไม่หลับ”
ยงอ๋องถอนหายใจอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “แม่ทัพฟางนั่งลงคุยกันก่อนเถิด เรื่องเหล่านี้ค่อยว่ากันวันหลัง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีวันคลี่คลาย แต่ไม่ทราบว่าครานี้แม่ทัพฟางให้เกียรติมาเยือนถึงจวนซ่อมซ่อ มีสิ่งใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ขอเพียงไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของแผ่นดิน ข้าจะไม่ปฏิเสธแน่นอน”
ฟางหย่วนซินรีบเล่าเรื่องที่ต้องการหมอออกมาอีกครั้ง สายตาทั้งวิงวอนทั้งกังวล เขาย่อมรู้ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ นายท่านของตนย่อมถูกยงอ๋องกำจุดอ่อนเอาไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะพลาดโอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวของนายน้อยมิได้
เป็นดังคาด หลังจากฟังคำของฟางหย่วนซินจบ สีหน้าของยงอ๋องหลี่จื้อก็ลังเลกลัดกลุ้มเล็กน้อย เขาเพิ่งนั่งลงได้ไม่นานก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ยกมือไพล่หลังเดินวนอยู่ในห้องโถง มองฟางหย่วนซินแล้วมองเจียงเจ๋อที่นั่งอยู่ด้านข้างหาวหวอดสะลึมสะลือ ในที่สุดจึงเอ่ยว่า “แม่ทัพฟาง ข้าไม่ปิดบังท่าน หากมิใช่ว่าท่านเจียงร่างกายย่ำแย่เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไหว้วานเขาเดินทางไปตงไห่ แต่หลังจากเขาโชคร้ายถูกลอบสังหาร แม้รักษาตัวมาหนึ่งปีกว่าก็ยังลมปราณพร่องร่างกายอ่อนแอ ทำได้เพียงเดินทางช้าๆ ผิดพลาดนิดเดียวก็ต้องพักหลายวัน แม้ข้าจะยอมให้เขาเดินทางไกล แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ น่ากลัวว่ากว่าเขาจะไปถึงตงไห่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งปีครึ่ง เวลายาวนานเช่นนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าขาดเขาไม่ได้ หากนานขนาดนั้น เรื่องนี้จะต้องเล็ดลอดออกไปแน่ ถึงเวลานั้นจะทำเช่นไร ท่านก็ทราบ ผู้อื่นมิได้หูหนวกตาบอด เมื่อถึงเวลาจะเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง ข้าไร้หนทางคาดการณ์ แต่ท่านเจียงคงไปไม่ถึงตงไห่แน่นอน”
[1]เหยียนหวง หมายถึงจักรพรรดิเหยียนตี้ หรือเสินหนง กับจักรพรรดิหวงตี้ หรือเซวียนหยวน สองจักรพรรดิในตำนานโบราณของจีน