ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 12 เปลี่ยนหนักเป็นเบา (2)
หัวใจฟางหย่วนซินเย็นเฉียบ เขาทราบว่ายงอ๋องมิได้กล่าวคำโป้ปดสักประโยค หรือจะทำได้เพียงส่งนายน้อยมาที่ฉางอัน
ยงอ๋องมองเขาอย่างเห็นใจแล้วเอ่ยต่อว่า “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ข้ามีอยู่สองวิธี หนึ่งคือข้าจะลอบกราบทูลเรื่องนี้กับเสด็จพ่อ บางทีเสด็จพ่ออาจยอมให้เด็กคนนี้มารักษาตัวที่ฉางอัน ทว่าหากเป็นเช่นนั้น เจียงโหวคงต้องยอมถอยสักเล็กน้อย หรือไม่เช่นนั้นท่านพี่ต้องคิดหาวิธีส่งหลานมาที่ฉางอันโดยปิดบังหูตาของผู้อื่น ถึงเวลาหากทุกสิ่งราบรื่น หลายชายก็ยังกลับไปตงไห่อย่างอิสระได้ แต่ข้าคงต้องบอกตามตรง ยามนี้ฉางอันมีอำนาจหลายฝ่ายพัวพันซับซ้อน ข้าไม่กล้ารับประกันว่าจะปิดข่าวไม่ให้รั่วออกไปได้ตลอด”
ฟางหย่วนซินคิดอยู่เนิ่นนานก็ตอบว่า “ผู้น้อยจะแจ้งนายท่านเร็วที่สุดเพื่อให้เขาตัดสินใจ หากมีข่าวคราวอันใด หวังว่างองค์ชายจะเมตตาช่วยเหลือ”
ยงอ๋องหัวเราะ “ข้ากับนายของท่านเป็นญาติสายเลือดเดียวกัน จะทำร้ายกันได้เช่นไร ขอเพียงหลานชายมาถึงฉางอัน ข้าไม่มีทางทอดทิ้งดูดาย ดึกแล้ว เดิมทีข้าสมควรเชิญให้ท่านค้างแรม แต่ท่านคงทราบว่ายามนี้ข้าต้องหลีกเลี่ยงเรื่องน่าสงสัยทั้งปวง ข้าจะให้คนส่งท่านออกไป”
ฟางหย่วนซินโค้งคารวะ “ขอบพระทัยองค์ชาย ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ ผู้น้อยกับนายท่านต่างขอบพระทัยความตั้งใจครั้งนี้ขององค์ชาย”
หลี่จื้อถอนหายใจ “ครั้งนี้บังเอิญจังหวะไม่เหมาะ เรื่องบางเรื่องข้าไม่พูด ท่านก็คงทราบอยู่บ้าง ข้าให้เจียงซือหม่าเดินทางไกลมิได้จริงๆ”
ฟางหย่วนซินคิดในใจ ยามนี้พวกท่านพี่น้องแย่งชิงบัลลังก์กันเอาเป็นเอาตาย เจียงเจ๋อเป็นคนสนิทคนสำคัญของท่านเช่นนี้ ไม่แปลกที่ท่านจะไม่ยอมปล่อยให้เดินทาง ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของเจียงเจ๋อผู้นี้ก็ย่ำแย่เหลือเกิน พวกเราคุยกันอยู่ตรงนี้ เขาก็แทบจะสลบอยู่แล้ว
ตอนที่ฟางหย่วนซินกำลังจะขอตัว ข้าก็เอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพฟาง ช้าก่อน” พูดพลางข้าก็รับกล่องหยกสองใบมาจากมือของเสี่ยวซุ่นจื่อที่เพิ่งออกไปข้างนอกกลับมา แล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “งูทะเลหยกชาดชนิดนี้ข้าเคยได้ยินแต่ชื่อ ดังนั้นจำต้องเห็นอาการบาดเจ็บจึงจะรักษาได้ ทว่าข้าไม่อาจให้แม่ทัพฟางกลับไปมือเปล่าเช่นนี้ ตรงนี้มียาอยู่สองชนิด ชนิดแรกรักษาพิษทั่วไปส่วนใหญ่ได้ผลชะงัดนัก อย่างน้อยคงทำให้พิษไม่แล่นเข้าสู่หัวใจของนายน้อยได้ ยาอีกชนิดหนึ่งให้กินวันละเม็ดจะทำให้คนหลับใหล แต่ไม่ทำร้ายร่างกาย เช่นนี้นายน้อยของท่านจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานยากทานทนทุกวัน”
ฟางหย่วนซินได้ยินก็ดีใจเหลือเกิน จึงเอ่ยตอบว่า “ผู้น้อยขอบคุณความเมตตาของท่านเจียงแทนนายน้อยของข้า” เขาคิดหาวิธีบรรเทาความทรมานของนายน้อยได้ชั่วคราวก็เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างหายากแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วรับกล่องยามา
ข้าหัวเราะ “ยาชนิดนี้เดิมทีเป็นของที่ข้าใช้กับตัวเอง เพราะตรงจุดที่รอยแผลของข้าสมานมักจะเจ็บปวดคันคะเยอยากจะนอนหลับ ดังนั้นจึงตั้งใจปรุงยาชนิดนี้ขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าได้ผลดียิ่งนัก เพียงแต่ตอนปรุงยุ่งยากมาก อีกทั้งสูตรยาชนิดนี้ปล่อยให้หลุดไปข้างนอกมิได้ มิเช่นนั้นข้าคงเขียนสูตรยาให้ท่านแล้ว”
หลังฟางหย่วนซินจากไป ข้าก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วถามว่า “องค์ชาย เกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือ”
หลี่จื้อเพิ่งนึกเรื่องที่เดิมทีเขาจะมาบอกขึ้นได้ จึงยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วเอ่ยว่า “คืนวันนี้ เสด็จพ่อได้รับฎีกาฉบับหนึ่ง ร้องเรียนว่าเผยอวิ๋นมักมากหลายใจ ประพฤติผิดหลักกตัญญู”
ข้างุนงงเล็กน้อยแล้วถามขึ้นว่า “องค์ชาย เผยอวิ๋นรักใคร่อนุภรรยา เหินห่างภรรยาเอกจนทำให้นางวางแผนทำร้ายอนุภรรยากับลูกน้อย นี่เรียกว่ามักมากหลายใจได้ แต่จะกล่าวว่าประพฤติผิดหลักกตัญญูได้เช่นไรเล่า”
หลี่จื้อยิ้มเจื่อน “จะว่าอย่างไรดีเล่า ผู้ตรวจการไช่ผู้นั้นก็ช่างขวัญกล้าจริง เขาตำหนิว่าเผยอวิ๋นทอดทิ้งภรรยาที่บุพการีหมั้นหมายไว้ จนทำให้บิดามารดาเศร้าเสียใจเป็นกังวล ดังนั้นนี่จึงเป็นความอกตัญญู ถึงอย่างไรหลังจากเรื่องนั้นเกิดขึ้น บิดาของเผยอวิ๋นก็โมโหเพราะเรื่องนี้จนล้มหมอนนอนเสื่อจริง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ตรวจการผู้นั้นยังพูดอย่างคลุมเครืออีกว่า จวบจนวันนี้คุณหนูเซวียก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง เห็นได้ว่าเผยอวิ๋นผิดต่อหน้าที่สามี”
ข้าเอ่ยอย่างอึ้งทึ่ง “ผู้ตรวจการสมควรใส่ใจเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง เหตุใดเขาจึงเข้ามายุ่งเรื่องในม่านมุ้งของผู้อื่นเล่า”
หลี่จื้อหัวเราะหยัน “สำหรับพวกเขา เป็นผีนำทางให้เสือสำคัญกว่าเป็นห่วงบ้านเมือง อย่าพูดถึงเขาเลย ท่านคิดว่าเรื่องนี้สมควรทำเช่นไร คงจะให้บิดาของเผยอวิ๋นถวายหนังสือกราบทูลว่าตนสนับสนุนให้เผยอวิ๋นรับอนุ ทอดทิ้งภรรยาเอกจนครอบครัวอยู่ไม่เป็นสุขมิได้สินะ หากเป็นเช่นนี้เ ผยอวิ๋นคงอกตัญญูจริง นับแต่โบราณมีเพียงบุตรรับผิดแทนบิดา ไม่มีบิดารับผิดแทนบุตร”
ข้าก็กลัดกลุ้มอยู่บ้างเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเล่นไม้นี้ แล้วยังใส่ร้ายด้วยคำว่าอกตัญญูอีก แต่ตอนนี้ข้าคิดวิธีอันใดไม่ออก ทุกยุคทุกสมัยล้วนใช้ความกตัญญูปกครองใต้หล้า หากเผยอวิ๋นต้องแบกชื่อว่าอกตัญญู เกรงว่านับจากวันนี้ไปหนทางการเป็นขุนนางคงยากลำบาก ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เกรงว่ากองราชองครักษ์ค่ายอุดรที่แกร่งประหนึ่งถังเหล็กคงจะต้องเปลี่ยนมือเสียแล้ว
เสี่ยวซุ่นจื่อพลันเอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่แน่ว่าฝ่าบาทจะมองเช่นนี้”
ข้ากับยงอ๋องล้วนเงยหน้ามองพร้อมกัน แต่เสี่ยวซุ่นจื่อกลับไม่พูดต่อ ทว่าข้ากับยงอ๋องตระหนักได้อย่างรวดเร็ว ฝ่าบาทระแวงสำนักเฟิงอี้อยู่แล้ว หากทราบว่าเผยอวิ๋นมิยินดีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับศิษย์สำนักเฟิงอี้ ในใจคงมิคิดตำหนิ เมื่อขบคิดอีกครั้ง ข้าก็เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “จุดนี้พวกรัชทายาทก็น่าจะรู้อยู่แล้ว เหตุใดพวกเขาต้องทำเรื่องเปล่าประโยชน์เช่นนี้เล่า”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “องค์ชายกับคุณชายอยู่ด้านในจึงมองมิชัด หากเรื่องเช่นนี้แพร่ออกไป เกรงว่าผู้ที่มิอาจสู้หน้าผู้คนคงเป็นคุณหนูเซวีย สตรีนางหนึ่งถูกคนรังเกียจถึงขั้นนี้ แล้วยังมีชื่อเสียงเลวร้ายติดตัว คงมีแต่ต้องฆ่าตัวตายเท่านั้น ถึงเวลาเซวียจวี่ ผู้ช่วยเจ้ากรมโยธาธิการคงถวายหนังสือเปิดโปงความเลวของแม่ทัพเผย มิว่าอย่างไรก็พูดไม่ได้ว่าแม่ทัพเผยไร้ความผิด ทั้งเซวียจวี่ยังเป็นขุนนางคนสำคัญของกรมโยธาธิการ ชำนาญการพัฒนาสร้างอาวุธ ใต้หล้าผู้ใดมิรู้บ้างว่า ‘ศรหัตถ์เทพ’ ที่เซวียจวี่สร้างเป็นอาวุธร้ายปกป้องเมือง ถึงยามนั้นหากใต้เท้าเซวียยอมแลกแบกความผิดว่าสั่งสอนบุตรสาวไม่ดีย่อมลากแม่ทัพเผยลงน้ำไปด้วยกันได้แน่
แม้ฝ่าบาทจะเข้าข้างอีกเท่าใดก็จำต้องให้แม่ทัพเผยพักจากตำแหน่งชั่วคราว เกรงว่าเมื่อแม่ทัพเผยกลับคืนตำแหน่งอีกครั้ง กองราชองครักษ์ค่ายอุดรก็คงไม่อยู่ในการควบคุมอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แม่ทัพเผยเป็นแม่ทัพฝ่ายทหารคนใหม่ที่เพิ่งสวามิภักดิ์กับองค์ชาย แต่องค์ชายกลับไร้กำลังปกป้อง แล้วยังทำให้เซวียจวี่กลายเป็นศัตรูกับองค์ชายได้อีก นี่คือยิงทีเดียวได้นกถึงสามตัว”
หลี่จื้อฟังแล้วหัวใจหนาววูบ เขาเอ่ยอย่างนับถือ “เสี่ยวซุ่นจื่อช่างมองทะลุปรุโปร่ง ข้ากลับคิดไม่ถึง น่ากลัวว่าวันพรุ่งนี้เมื่อฎีกาฉบับนี้ส่งไปทั่วราชสำนัก คุณหนูเซวียไม่อยากฆ่าตัวตายก็ต้องฆ่าตัวตาย ท่านว่ายามนี้จะทำอันใดได้บ้าง เผยอวิ๋นมีคุณสมบติของยอดแม่ทัพ ข้าตัดใจปล่อยเขาถูกใส่ไคล้มิได้จริงๆ”
หลังจากข้าเข้าใจจุดเชื่อมต่อของเรื่องนี้ ข้าก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “แผนการนี้ช่างเหี้ยมจริงๆ กระนั้นก็มิใช่ไร้หนทางคลี่คลาย วิธีดีที่สุดคืออนุภรรยาของแม่ทัพเผยต้องตาย เมื่อคุณหนูเซวียสังหารคน การกระทำของเผยอวิ๋นย่อมไม่นับว่าเกินไปแล้ว น่าเสียดายวิธีนี้ทำไม่ได้เพราะผู้คนมากมายล้วนล่วงรู้เรื่องที่ฮูหยินผู้นั้นขับพิษออกจนหมดแล้ว อีกวิธีหนึ่งคือต้องให้คุณหนูเซวียลงมือด้วยตนเอง หากนางยอมเขียนหนังสือสารภาพผิด บอกว่าตนเองละอายสำนึกในความผิด ยินยอมออกบวชบำเพ็ญตนเป็นการไถ่บาป ถ้าเช่นนั้นผู้อื่นย่อมมิอาจกล่าวโทษเผยอวิ๋นได้”
หลี่จื้อยิ้มเจื่อน “หากนางยอมก็คงดี แต่เกรงว่านางจะมิยอม ศิษย์สำนักเฟิงอี้แต่ละคนหยิ่งทะนงนัก เกรงว่าต่อให้ตายก็มิยอมแพ้เป็นฝ่ายสารภาพผิด”
ข้ายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หญิงสาววัยแรกแย้มคนหนึ่งจะอยากตายได้เช่นไร น่ากลัวว่าวันนี้นางคงนึกเสียใจยิ่งนักที่แต่งงานกับแม่ทัพเผย ข้อสำคัญก็คือหากนางไม่ยอมเขียนหนังสือสารภาพผิด นางคงต้อง ‘ฆ่าตัวตาย’ ชีวิตล้ำค่านัก นางจะไม่ถนอมได้เช่นไร หากให้โอกาสนางเปลี่ยนชื่อแซ่ จากไปไกลสุดขอบฟ้า ได้แต่งงานมีบุตร นางไม่มีทางไม่ยอม แต่งานนี้จะมอบให้ผู้ใดทำเป็นเรื่องน่าลำบากใจเล็กน้อย หากทำไม่ดี น่ากลัวว่าจะกลายเป็นอวดฉลาดแต่เสียโง่”
หลี่จื้อครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นดวงตาก็ทอประกาย เอ่ยว่า “ข้ามีหนทางแล้ว เว่ยกั๋วกงเฉิงซูสนิทสนมกับขุนนางมากมาย เขาคงจะเกลี้ยกล่อมเซวียจวี่ได้ มิหนำซ้ำ ตาเฒ่าผู้นี้เจ้าความคิด ทั้งยังนิสัยดี เซวียจวี่จะต้องไม่ตั้งแง่ระแวงเขาเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยกั๋วกงเป็นคนมีอารมณ์ขัน บุตรหลานของขุนนางสำคัญจำนวนมากในราชสำนักล้วนนับถือเขาเสมือนเป็นผู้อาวุโส คุณหนูเซวียเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น แม้กระทั่งตอนนี้ยามพบเว่ยกั๋วกงนางก็ยังวางตัวสนิทสนมอย่างยิ่ง หากเขาไปพูดจะต้องสำเร็จแน่ งานมิสมควรชักช้า ข้าจะไปขอร้องเว่ยกั๋วกงเดี๋ยวนี้ เขาส่งเสริมคนรุ่นหลังที่มีฝีมือเสมอ ต้องไม่ยอมเห็นเผยอวิ๋นถูกกล่าวหาทั้งที่ไม่เป็นจริงแน่นอน”
คืนนั้นหลี่จื้อไปเยือนจวนเว่ยกั๋วกงด้วยตนเอง หลังจับเข่าคุยกันเนิ่นนาน เฉิงซูจึงควบอาชารีบเร่งไปยังจวนตระกูลเซวีย เขาเข้าไปในจวนตระกูลเซวียหลังจากการว่าราชการเช้าเพิ่งจบ ยามนี้คุณหนูเซวียเพิ่งทราบเรื่องฎีกา ขณะที่กำลังตรอมตรมสิ้นหวังหมายจะยกกระบี่เชือดคอตาย เฉิงซูพลันตวาดลั่นบุกเข้ามาในห้อง ตบกระบี่ยาวของนางจนหลุดมือ หากเป็นผู้อื่น คุณหนูเซวียอาจโกรธเกรี้ยวด้วยความอับอาย แต่เมื่อเห็นท่านลุงเฉิงผู้มักจะยอมเป็นม้าให้ตนขี่ยามตนยังเล็ก ในที่สุดนางก็อดกลั้นไม่ไหวคุกเข่าลงร่ำไห้