ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 36 องค์หญิงถวายคำปรึกษา (2)
หลี่จื้อเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ถึงห่างเพียงก้าวเดียวแต่ไกลดั่งสุดขอบฟ้า ยามนี้เจ้าสำนักเฟิงอี้เข้าเมืองหลวง อำนาจของรัชทายาทเพิ่มขึ้นมาก ต่อให้คิดลอบสังหารพวกเราเดี๋ยวนี้ก็เป็นไปได้ ประการแรก มีนางคอยควบคุม รัชทายาทคงระวังวาจาและการกระทำอย่างรอบคอบ ครั้งนี้เสด็จพ่อไม่ปลดรัชทายาทย่อมหมายความว่ายังมีโอกาสให้แก้ตัว หากถ่วงเวลาออกไปเกรงว่าจะไม่ดีต่อข้า อีกประการหนึ่ง ปลดรัชทายาทต้องมีความผิดหนัก หากรัชทายาทมิทำความผิด ถ้าเช่นนั้นต่อให้เสด็จพ่ออยากปลดเขาก็เป็นไปไม่ได้”
ข้าหัวเราะ “เกรงว่าวันนี้รัชทายาทจะไม่ได้คิดเช่นนั้น ครั้งนี้แม้ฝ่าบาทจะปล่อยรัชทายาท แต่ก็ห้ามเขาจัดการงานราชกิจที่ตำหนักบูรพา มีเค้าลางว่าเอาใจออกหากแล้ว ยามนี้ในใจรัชทายาทน่าจะคลางแคลง สงสัยยิ่งนักว่าฝ่าบาทจะลงมือกับเขา เพื่อปกป้องตัวเอง รัชทายาทคงจมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ยามนี้องค์ชายเพียงต้องแพร่กระจายข่าวลือว่าครั้งนี้ฝ่าบาทไม่ปลดรัชทายาทก็เพราะอำนาจเบื้องหลังรัชทายาทเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเราจะใช้ความผิดของพรรคพวกรัชทายาทที่มีอยู่ในมือโจมตี ไม่โจมตีรัชทายาท เพียงกล่าวว่าคนเหล่านั้นผิดต่อความเมตตาที่ฝ่าบาทกับรัชทายาทมอบให้ ด้วยอำนาจขององค์ชายย่อมทำสำเร็จอย่างง่ายดาย
พวกเราทำเช่นนี้ ดูผิวเผินไม่อันตรายต่อความปลอดภัยของตัวรัชทายาท ด้วยเหตุนี้รัชทายาทจะไม่มีทางคิดว่าพวกเราจงใจทำ ตรงกันข้ามกลับจะคิดว่าพวกเราได้รับบัญชาลับจากฝ่าบาท ดังนั้นระยะนี้องค์ชายต้องหาโอกาสสนทนาเป็นการลับกับฝ่าบาทสักหลายครั้ง อย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้ความจริง เช่นนี้รัชทายาทจึงจะคลางแคลงว่าฝ่าบาทคิดแต่งตั้งองค์ชายเป็นรัชทายาทจึงให้ท่านตัดปีกของเขา แผนการนี้ก็คือการแหวกหญ้าให้งูตื่น ขอเพียงรัชทายาทนึกแคลงใจ เขาจะหุนหันพลันแล่นและย่อมเกิดความผิดพลาด ถึงเวลาย่อมปลดรัชทายาทได้อย่างราบรื่น”
หลี่จื้อฟังแล้วยอมนับถือเต็มหัวใจ “สุยอวิ๋นเรียกได้ว่ามองใจคนทะลุปรุโปร่ง ไม่ผิด ผู้ใดจะคิดว่าพวกเราตัดปีกของรัชทายาทอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ แต่เป้าหมายกลับไม่ใช่เพื่อโจมตีอำนาจของรัชทายาทกันเล่า”
ข้าลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย ยามนี้ถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่สุดแล้ว องค์ชายสมควรเรียกท่านจื่อโยวกลับฉางอันมาควบคุมสถานการณ์โดยรวม แม้กระหม่อมวางแผนการได้บ้าง แต่เรื่องมากมายมีเพียงใต้เท้าสือที่จัดการให้เหมาะสมได้ ใต้เท้าสือเป็นผู้มีความสามารถเป็นเสนาบดี หากเขาไม่กลับมาก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว”
หลี่จื้อมีสีหน้าซาบซึ้งแล้วเอ่ยว่า “สุยอวิ๋นพูดไม่ผิด ยามนี้ต้องให้จื่อโยวกลับมาจริงๆ ตอนนี้สถานการณ์ที่โยวโจวมั่นคงมากแล้ว จื่อโยวรวบรวมคนเก่งที่ใช้งานได้มาจำนวนมาก เขาอยู่ที่โยวโจวก็ไม่มีประโยชน์มากกว่านี้แล้ว มิสู้กลับมาจะดีกว่า จื่อโยวจัดการงานได้ละเอียดรอบคอบ เวลานี้ข้าต้องการให้เขามาคุมสถานการณ์ภาพรวมจริงๆ” กล่าวจบในใจก็ลอบคิดว่าเจียงเจ๋อช่างมีจิตใจกว้างขวาง หลังจากจื่อโยวกลับมา แม้ตนยังต้องพึ่งพาเขาวางแผนการ แต่ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้งานสืออวี้มากขึ้นหน่อย ถึงอย่างไรสืออวี้ก็เป็นอัครมหาเสนาบดีและหัวหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ตนวางตัวไว้ในใจ แต่เจียงเจ๋อกลับไม่นึกหวั่นใจสักนิด
เขาไม่รู้ว่าเดิมทีข้าก็ไม่สนใจอำนาจลาภยศอันใดอยู่แล้ว อีกประการหนึ่งร่างกายข้าไม่ดี เรื่องเล็กน้อยมากมาย กวนซิว ต่งจื้อกับโก่วเหลียนล้วนเป็นผู้จัดการ ต่อให้สืออวี้กลับมาก็ไม่ส่งผลอันใดกับข้า แล้ว อีกอย่าง สืออวี้กลับมากลับจะเป็นประโยชน์ต่อข้าอย่างใหญ่หลวงอีกต่างหาก
หลังจากหารือกันได้พอสมควร ข้าก็ส่งยงอ๋องกลับออกไป ยังไม่ทันเดินไปไกลนัก หลี่จื้อก็เห็นชายหนุ่มสวมเครื่องแบบองครักษ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขามีหน้าตาหล่อเหลาแต่บรรยากาศรอบตัวเฉยชา หลี่จื้อมองปราดเดียวก็รู้ว่าคนผู้นี้มิธรรมดา แต่สิ่งที่แปลกก็คือหลี่จื้อรู้สึกว่าตนเหมือนจะเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นองครักษ์หนุ่มผู้มีคุณสมบัติโดดเด่นเช่นนี้ที่ใด
เมื่อเขาผ่อนฝีเท้าลง ข้าก็รู้สึกได้ทันทีแต่กลับไม่ส่งเสียง ยงอ๋องเคยพบหน้าเซี่ยจินอี้เพียงไม่กี่ครั้ง ครั้งนี้พอดีได้ลองทดสอบว่าการแปลงโฉมของเซี่ยจินอี้สำเร็จหรือไม่ พูดถึงการแปลงโฉม ข้าเคยถูกเรื่องเล่าในบันทึกประวัติศาสตร์หลอกลวง ในนั้นเล่าว่ามีคนสามารถเปลี่ยนแปลงหน้าตาจนคนคุ้นเคยจดจำไม่ได้ แต่นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ประการแรกการเปลี่ยนแปลงหน้าตามีข้อจำกัดมากมายยิ่งนัก รูปลักษณ์แต่กำเนิดของผู้คนไม่ว่าอัปลักษณ์หรืองดงามล้วนให้ความรู้สึกกลมกลืน หากปรับเปลี่ยนส่งเดชกลับจะทำให้คนรู้สึกว่าบางสิ่งโดดออกมา
ยิ่งไปกว่านั้นหากคิดแปลงโฉม เอกลักษณ์ของตนเองก็สำคัญยิ่ง หากหน้าตารูปลักษณ์ของเจ้ามีจุดที่โดดเด่นอยู่ ต่อให้แปลงโฉมก็ยังยากปิดบังหูตาผู้คน ต่อให้เปลี่ยนแปลงรูปโฉมสำเร็จก็ยังมีกิริยาท่าทางกับวาจาที่ต้องเปลี่ยน ผู้คนมากมายขอเพียงมองแผ่นหลังหรือฟังเสียงก็จดจำครอบครัวหรือสหายของตนได้แล้ว ดังนั้นหากคิดจะให้คนคุ้นเคยจดจำมิได้จึงยากยิ่งอย่างแท้จริง
ทว่าครั้งนี้ข้ากลับเชื่อมั่นในฝีมือของตนเองอย่างยิ่ง แม้ข้ารู้จักเคล็ดลับการแปลงโฉมมาจากคนรุ่นก่อนเพียงเล็กน้อย ทั้งยังมิเคยทดลองด้วยมือตนเอง แต่เซี่ยจินอี้มีฝีมือด้านการแปลงโฉมอยู่บ้าง ข้าเพียงสั่งเขาว่าให้ทำเช่นไรก็พอ หลังจากผ่านการพิเคราะห์อย่างละเอียด แรกสุดข้าให้เขาเปลี่ยนหน้าตาเล็กๆ น้อยๆ เพียงเปลี่ยนทรงผมนิดหน่อย ปรับคิ้วกับหางตาอีกเล็กน้อย เมื่อผสมกับบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไปของเขาก็ทำให้เขาราวกับเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งอย่างง่ายดายยิ่ง
หลังจากนั้นข้าก็ใช้เวลาเล็กน้อยสอนเขาเปลี่ยนท่าทางการเคลื่อนไหว เปลี่ยนจังหวะและน้ำเสียงยามพูด เขาเรียนรู้เร็วยิ่งนัก ตอนนี้แสดงออกมาได้ไม่เลวจริงๆ ยงอ๋องจำเขาไม่ได้ในทันที แล้วยิ่ง ‘เซี่ยจินอี้’ ตายเพราฝ่าบาทระบายโทสะไปแล้ว ดังนั้นขอเพียงเขาเก็บตัวให้มาก ออกไปให้น้อยสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง ย่อมไม่มีผู้ใดจดจำเขาได้ หากผ่านไปอีกสักปีสองปีก็คงไม่มีผู้ใดสืบสาวเรื่องนี้อีกต่อไป
เมื่อเห็นสีหน้าลังเลของยงอ๋อง ข้าจึงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “องค์ชายพบคนใหม่เสียแล้วหรือ เขามีนามว่าต่งเชวีย เป็นองครักษ์ที่กระหม่อมรับมาใหม่ แม้มิได้มาจากในกองทัพ แต่องค์ชายโปรดวางใจ คนผู้นี้ภักดีมิมีภัย”
ยงอ๋องเข้าใจแล้วจึงเอ่ยว่า “ที่แท้ก็องครักษ์ที่ท่านรับมาใหม่ มิน่าแม้ข้ารู้สึกคุ้นหน้าแต่กลับนึกไม่ออกว่าเขาชื่ออะไร”
เซี่ยจินอี้หรือต่งเชวียในวันนี้ก้าวเข้าไปคำนับยงอ๋อง มารยาทไม่มีที่ติ แต่สีหน้ากลับเฉยเมยอย่างยิ่ง หลี่จื้อมิได้ใส่ใจ เพียงขยับยิ้มเอ่ยว่า “หายากที่สุยอวิ๋นจะรับลูกน้องสักคน คงเป็นคนมีความสามารถ เจ้าจงพัฒนาตนเองให้ดีอย่าให้เสียแรงที่เจียงซือหม่าเห็นค่า”
ต่งเชวียเอ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยน้อมรับคำสั่งสอนขององค์ชาย”
เมื่อเห็นยงอ๋องจากไปแล้ว ข้าก็ยิ้มละไมเอ่ยว่า “ครั้งนี้เจ้าก็วางใจได้แล้ว อยู่ในจวนยงอ๋องปลอดภัยไร้อันตราย เซี่ย ไม่สิ ต่งเชวีย เจ้ารู้จักคนผู้นั้นดียิ่งนัก เจ้าคิดว่าตอนนี้เขาคิดจะทำสิ่งใดมากที่สุด”
ต่งเชวียสีหน้าเฉยเมย แต่กลับเอ่ยอย่างนอบน้อมยิ่ง “นิสัยของคนผู้นั้นอดกลั้นมิได้ สิบวันครึ่งเดือนอาจทนไม่ออกไปข้างนอกไหว แต่ไม่มีทางอดทนได้พ้นหนึ่งเดือนเป็นอันขาด ยามนี้เขาชื่นชอบลอบคบหากับหญิงมีสามีเป็นที่สุด มีเพียงสิ่งนี้ถึงจะเติมเต็มความปรารถนาที่จะแสวงหาความตื่นเต้นของเขาได้ ความจริงแม้ฉุนผินจะงดงาม แต่เมื่อเทียบกับอนุภรรยาในจวนของเขาก็มิได้เหนือกว่าสักเท่าใด เพียงแต่ภรรยามิสู้อนุ อนุมิสู้บ่าว บ่าวมิสู้คบชู้ คบชู้มิสู้คบชู้กับผู้ที่ไม่อาจเอื้อม ดังนั้นเขาจึงหลงใหลเพียงนั้น”
ข้าขบคิดอย่างละเอียดแล้วเผยรอยยิ้มประหลาดพิกลออกมา “เจ้าอยู่ในจวนอ๋องมานานนัก มิทราบว่าในหมู่ภรรยากับอนุภรรยาของขุนนางตำหนักบูรพา หรือคนสนิทของรัชทายาท ผู้ใดงดงามที่สุดหรือ”
ต่งเชวียสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ฮั่วซื่อภรรยาของเซ่าเยี่ยนบัณฑิตฮั่นหลินงามล้ำเลิศ ครึ่งปีก่อนรัชทายาทเคยพบหน้านางที่วัดครั้งหนึ่ง นึกชอบพอยิ่งนัก แต่ไม่นานนักเขาก็พบฉุนผิน เซ่าเยี่ยนเป็นขุนนางหนุ่มที่เข้าฝ่ายรัชทายาทเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เป็นคนมีความสามารถทีเดียว รัชทายาทจึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับเขา”
ข้าถามอย่างละเอียด “ฮั่วซื่อเป็นคนเช่นไร”
ต่งเชวียเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “รัชทายาทเคยส่งข้าไปสืบ ฮั่วซื่อเกิดในตระกูลมีชื่อ นางเป็นกุลสตรี สามีภรรยากลมเกลียว รักใคร่ปรองดอง”
ข้าถอนหายใจเบาๆ “น่าเสียดาย เช่นนี้ข้าย่อมไม่เหมาะลงมือแล้ว”
ต่งเชวียขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยขึ้นว่า “ไยต้องเสียดายสตรีนางหนึ่ง ก็มิใช่คนสำคัญอันใด”
ข้ายิ้มละไมตอบว่า “ข้ามิเคยบังคับฝืนใจผู้ใดง่ายๆ ต่อให้ต้องใช้คนไปตายก็ต้องให้เขาตายอย่างยินยอมพร้อมใจ”
เวลานี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อก็ปรากฏตัว เขาเอ่ยด้วยสีหน้าพิกล “คุณชาย มิทราบว่าสวรรค์ช่วยท่านหรือไม่ เมื่อครู่กรมมหาดไทยรับพระราชบัญชาปลดขุนนางตำหนักบูรพาก่อนหน้านี้ออก ส่วนบัณฑิตฮั่นหลินเซ่าเยี่ยนเลื่อนขั้นเป็นซื่อตู๋แห่งตำหนักบูรพา” เขาเอ่ยรายงานพลางส่งรายชื่อแผ่นหนึ่งให้ข้า บนนั้นมีขุนนางตำหนักบูรพาที่เข้ารับตำแหน่งใหม่
ข้าเห็นชื่อของเซ่าเยี่ยนจริงๆ จึงอดยิ้มมิได้ “นี่ช่างบังเอิญยิ่งนัก ข้าขอให้องค์ชายส่งฎีกาลับฉบับหนึ่งแก่ฝ่าบาท ทูลว่าการที่รัชทายาทเสื่อมคุณธรรม ขุนนางในตำหนักบูรพายากจะปฏิเสธความผิดจึงสมควรเปลี่ยนออก เดิมทีคิดจะแทรกคนของเราเข้าไปในตำหนักบูรพาเพิ่มสักสองสามคน แต่คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังของรัชทายาทจะแข็งแกร่งนัก ยังจะจัดการใส่คนสนิทของตนแทรกเข้าไปได้อีก แต่มิรู้ว่าเซ่าเยี่ยนผู้นี้รัชทายาทเป็นผู้เลือกเองหรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มละไมตอบว่า “คุณชายกล่าวถูกแล้ว นี่เป็นรายชื่อที่รัชทายาทมอบให้จี้กุ้ยเฟยเมื่อคืนวาน ข้าให้คนคัดลอกมาฉบับหนึ่ง” ข้ารับกระดาษเหมียนจื่อ[1]แผ่นนั้นมา บนนั้นมีรายชื่อคนอยู่จำนวนหนึ่ง ผู้ที่อยู่ในลำดับแรกก็คือเซ่าเยี่ยน
ข้าอดไม่ได้ ถอนหายใจเอ่ยว่า “ก่อกรรมทำเข็ญย่อมหนีไม่พ้น ข้ายังมิทันลงมือ ตัวเขาก็อดทนไม่ไหวเสียแล้ว”
ต่งเชวียเอ่ยอย่างเย็นชา “ตอนนี้ยังไม่แน่ว่าเขาจะมีความคิดนี้ คิดว่าคงเห็นเซ่าเยี่ยนแล้วจิตใต้สำนึกสั่งให้เก็บเขาไว้ข้างตัวก็เท่านั้น”
ข้าเหลือบมองต่งเชวียแล้วขยับยิ้ม เอ่ยว่า “ซื่อตู๋ตำหนักบูรพามิใช่ตำแหน่งขุนนางธรรมดา ตามขนบ ฮั่วซื่อจะได้รับพระราชทานยศ ต้องไปเข้าเฝ้าพระชายารัชทายาท เจ้าว่า หากรัชทายาทได้พบหน้าฮั่วซื่อหลายครั้งอย่างไม่ตั้งใจ เขาจะอดกลั้นได้หรือไม่”
ต่งเชวียเงียบครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ไม่ได้”
[1]กระดาษเหมียนจื่อ กระดาษชนิดหนึ่งที่มีสีขาว นุ่มและยืดหยุ่นเหมือนไหม