ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 37 เลวทรามต่ำช้า (1)
รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้าเดือนเจ็ด ไท่จงตรวจสอบการทุจริตหลายหนเป็นเหตุให้ปลดคนจากตำแหน่ง ต้องโทษจองจำในคุกเป็นจำนวนมาก มากกว่าครึ่งเป็นคนสนิทของลี่อ๋อง อีกทั้งไท่จงยังเข้าเฝ้าจักรพรรดิต้ายงหลายครั้ง ทุกครั้งเป็นความลับมิแพร่งพราย ลี่อ๋องคลางแคลงใจ รอยร้าวระหว่างจักรพรรดิยิ่งลึกกว่าเดิม
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติลี่อ๋อง
รัชทายาทหลี่อันกวาดเอกสารบนโต๊ะลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด ยงอ๋องใช้แผนสกปรกอีกแล้ว หลายวันนี้มิทราบยงอ๋องเป็นบ้าอันใดจึงถวายฎีการ้องเรียนความผิดขุนนางมิหยุดหย่อน เดิมทีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลี่อัน แต่ด้วยความที่ครั้งนี้ยงอ๋องพุ่งเป้ามายังขุนนางฝ่ายของหลี่อัน ไม่เพียงเตรียมหลักฐานความผิดไว้ครบถ้วนอย่างยิ่ง แต่ยังลงมือไวปานสายฟ้า หลายครั้งที่ตอนเช้าขุนนางคนหนึ่งยังทำงานอยู่ ตกบ่ายกลับถูกฎีการ้องเรียนจับเข้าคุกเสียแล้ว วันนี้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักจึงสั่นกลัวประหนึ่งจักจั่นหน้าหนาว กังวลว่าจะถูกลากไปพัวพันด้วย ถึงอย่างไรคนเป็นขุนนางจะมีสักกี่คนที่รักษาความสุจริตเที่ยงธรรมไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ ขุนนางบางส่วนจึงถึงขั้นลอบไปผูกมิตรกับยงอ๋อง เพราะคนที่ยงอ๋องเล่นงานส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนสนิทและลูกน้องของรัชทายาท
หลู่จิ้งจงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “องค์ชาย ยงอ๋องโจมตีท่านเป็นเรื่องปกติ สำหรับเขายามนี้เป็นโอกาสดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จักรพรรดิเกิดความบาดหมางกับท่าน หากเขาไม่ฉวยโอกาสรุกคืบก็คงมิใช่ยงอ๋อง แต่สิ่งที่กระหม่อมกังวลก็คือ ก่อนหน้านี้ที่องค์ชายกดยงอ๋องไว้ได้เสมอ สาเหตุสำคัญก็เพราะการสนับสนุนของฝ่าบาท หากวันนี้ฝ่าบาทคิดปลดองค์ชาย ถ้าเช่นนั้นองค์ชายจะสูญเสียตำแหน่งรัชทายาทเมื่อใดย่อมขึ้นอยู่กับเวลา”
“ไม่ผิด ยามนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าฝ่าบาทจะเปลี่ยนพระทัยแล้ว” เสียงรื่นหูเสียงหนึ่งดังนั้น แต่หลี่อันกับหลู่จิ้งจงกลับขมวดคิ้วพร้อมกัน
ประตูห้องเปิดออก สตรีงามประหนึ่งนางสวรรค์สองคนเดินเข้ามา คนด้านหน้าคือหลี่หันโยว คนด้านหลังคือเซียวหลาน
หลี่อันเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ห้องหนังสือของข้ากลายเป็นสถานที่ไร้การคุ้มกันแล้วหรือ องครักษ์เล่า”
หลี่หันโยวยิ้ม “องค์ชายมิต้องกังวล พวกเขาเห็นว่าเป็นศิษย์พี่หลานจึงมิกล้าขัดขวางก็เท่านั้น”
หลี่อันยิ่งเดือดดาล ในใจคิดว่าก่อนหน้านี้ตอนจางจิ่นสยงเป็นหัวหน้าองครักษ์เคยมีคนบุกเข้ามาในห้องหนังสือของข้าเช่นนี้เสียที่ไหน ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยว่า “จิ้งเจียง เจ้าสมควรปล่อยหัวหน้าองครักษ์จางออกมาได้แล้วกระมัง เจ้ากักตัวเขาไว้ยาวนานเช่นนี้เพื่ออะไร”
หลี่หันโยวหัวใจกระตุก ตอบว่า “องค์ชาย ครั้งนี้ที่ท่านเกิดเรื่อง เซี่ยจินอี้ยากปฏิเสธความผิด จางจิ่นสยงเป็นศิษย์พี่ของเซี่ยจินอี้ ท่านอาจารย์กังวลว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เพื่อความมั่นใจจึงต้องกักตัวเขาไว้ชั่วคราว ผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง หากเขาไม่มีปัญหาประการใด พวกเราย่อมปล่อยเขาออกมา”
หลี่อันไม่พอใจ แม้เขาจะผลักความผิดที่ตนเองก่อไปให้เซี่ยจินอี้เพื่อปัดความรับผิดชอบ แต่ถึงอย่างไรเซี่ยจินอี้ก็ตายแล้ว เขาจึงทำเช่นนี้ แต่จางจิ่นสยงไม่เหมือนกัน จางจิ่นสยงไม่เพียงตั้งใจทำหน้าที่มาเสมอ ทั้งหลี่อันยังไม่เชื่อสักนิดด้วยว่าเซี่ยจินอี้มีเจตนาร้ายอันใด ดังนั้นเขาจึงคิดกับจางจิ่นสยงเช่นเดียวกัน เขากำลังจะเอ่ยปาก หลู่จิ้งจงกลับเตะขาเขาแผ่วเบา หลี่อันตระหนักขึ้นมาทันทีว่ายามนี้มิใช่เวลาโต้เถียงเรื่องเหล่านี้จึงได้แต่อดกลั้นโทสะเอาไว้ “ไม่ทราบว่าพวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเสด็จพ่อทรงเปลี่ยนพระทัยแล้ว”
หลี่หันโยวถอนหายใจแผ่วเบา นั่งลงแล้วเอ่ยว่า “แม้เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐาน แต่ก็มีเค้าลางอยู่ องค์ชายทราบหรือไม่ว่าครานี้ที่ฝ่าบาทมิปลดองค์ชาย ไม่ใช่เพราะมีคนถวายฎีกาปกป้อง เดิมทีท่านอาจารย์ตั้งใจจะไปพบหน้าฝ่าบาทด้วยตนเองเพื่อขอความเมตตาให้องค์ชาย แต่ยังไม่ทันลงมือ องค์ชายก็ได้เว้นโทษก่อน”
หลี่อันนึกยินดีอยู่ในใจ คิดในใจว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี ข้าจะได้มิต้องติดค้างน้ำใจพวกเจ้า ทว่าหลู่จิ้งจงกลับขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ฝ่าบาททำเช่นนี้ไม่ปกติยิ่งนัก แม้สิ่งที่ข้ากล่าวจะมิสมควรพูด แต่ความผิดที่องค์ชายก่อในครั้งนี้หนักหนาจริงๆ ถึงฝ่าบาทคิดจะให้อภัยองค์ชายก็สมควรผ่านไปสักช่วงเวลาหนึ่งจนโทสะคลายลงก่อน แล้วต้องมีผู้ที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัยถวายฎีกาปกป้องจึงจะสำเร็จ ถึงเวลานั้นฝ่าบาทเว้นโทษให้องค์ชายจึงจะเป็นการกระทำจากใจจริง แต่ยามนี้พวกเรายังมิทันเคลื่อนไหว ฝ่าบาทก็เว้นโทษองค์ชายเสียแล้ว ผิดปกติอยู่จริงๆ เรื่องนี้ข้าสะเพร่าแล้ว ขอองค์หญิงแถลงไขให้กระจ่าง”
หลี่หันโยวยิ้มเย็นชา เอ่ยว่า “ข้าได้ข่าวมาจากในวัง ก่อนที่ฝ่าบาทจะตัดสินพระทัยทรงหารืออยู่กับองค์หญิงฉางเล่อ”
หลี่อันตกใจยิ่งนัก “จะเป็นไปได้อย่างไร ฉางเล่อไม่เคยเข้ามายุ่งเรื่องราชสำนักมาก่อน”
หลี่หันโยวถอนหายใจ “พวกเราก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นแม้พวกเราหวังบีบให้นางแต่งงานอย่างยิ่ง แต่นั่นก็เป็นเพราะต้องการให้นางออกห่างจากยงอ๋องสักหน่อย คิดไม่ถึงนางกลับเล่นงานพวกเราอย่างจังในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ แม้มิได้ข่าวว่านางเอ่ยอันใดกับฝ่าบาทบ้าง แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ฝ่าบาทคงมีความคิดจะปลดองค์ชายแล้ว เพียงแต่ขาดข้ออ้างเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายเป็นรัชทายาทมาหลายปี ข้างกายย่อมมีผู้ที่คอยเป็นปีกให้อยู่บ้าง ทว่าฝ่าบาทหารือลับกับยงอ๋องมาหลายครั้ง คนของพวกเราล้วนไร้หนทางเข้าใกล้ เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงเปลี่ยนพระทัยแล้วจริงๆ”
หลี่อันรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งราดลงบนศีรษะ เย็นยะเยือกจนถึงกระดูก เขาไม่เคยหวาดหวั่นเช่นนี้มาก่อน เขารู้ดีว่าตนเองอาศัยสิ่งใดจึงได้ตำแหน่งในวันนี้มา หากไม่มีจักรพรรดิปกป้อง ตนเองจะเอาอันใดไปขันแข่งกับยงอ๋อง หลี่อันไม่เคยนึกเสียใจที่ล่อลวงฉุนผินเท่านี้มาก่อน เขาคิดอย่างขุ่นเคืองว่าตนเองเป็นบ้าอันใดจึงไปยั่วโทสะเสด็จพ่อ
หลู่จิ้งจงเห็นรอยยิ้มเย็นชาที่มุมปากหลี่หันโยว ในใจพลันคิดว่า หากพวกเจ้าคิดฉวยโอกาสนี้บีบองค์ชาย ก็ต้องผ่านด่านข้าไปก่อนจึงจะทำได้ เขาเอ่ยขึ้นว่า “องค์ชายมิต้องกังวลเกินไป ยามนี้แม้ฝ่าบาทจะหวั่นไหว แต่ยังมิได้ตัดสินพระทัยเด็ดขาด ดังนั้นองค์ชายยังมีโอกาสกู้สถานการณ์กลับมาได้ เจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่ถูกกับยงอ๋อง หากปล่อยให้ยงอ๋องขึ้นเป็นรัชทายาท เกรงว่าผู้ที่จะย้อนนึกเสียใจคงเป็นผู้อื่น”
หลี่อันฟังแล้วมึนงงเล็กน้อย แต่หลี่หันโยวเข้าใจคำข่มขู่ของหลู่จิ้งจงทันที หลู่จิ้งจงพูดอย่างชัดเจนว่าหากรัชทายาทเสียตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ไป ถ้าเช่นนั้นสำนักเฟิงอี้ของตนก็จะสูญเสียอย่างสาหัสเช่นกัน อย่าฉวยโอกาสบีบกันจะดีกว่า แม้ในใจนางโมโห แต่ก็รู้ว่านี่คือความจริง สำนักเฟิงอี้ในยามนี้ลงเรือลำเดียวกับรัชทายาทแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มละไมเอ่ยว่า “องค์ชาย สิ่งที่ทำได้ในวันนี้ มีเพียงทำให้องค์ชายขึ้นครองราชย์ในเร็ววันเท่านั้น”
หลี่อันตกใจจนสะดุ้งโหยง เงยหน้ามองก็เห็นหลี่หันโยว เซียวหลานกับหลู่จิ้งจงล้วนมีสีหน้าเฉยชากันหมด เริ่มแรกเขาคิดจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อย้อนคิดว่าวันนี้ตำแหน่งรัชทายาทของตนง่อนแง่นดั่งกองไข่ แม้แต่ประโยคคัดค้านสักคำก็พูดไม่ออก
หลี่หันโยวกับเซียวหลานแลกสายตากันก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “แม้องค์ชายจะรักษาคุณธรรมอย่างเคร่งครัด แต่วันนี้ฝ่าบาทถูกคนถ่อยหลอกลวงจนสติปัญญาเลอะเลือน หากโชคไม่ดีปล่อยให้ยงอ๋องได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ คงเกณฑ์ทหารยกทัพออกรบตามอำเภอใจ นับจากนี้ต้ายงมิอาจสงบสุข หากองค์ชายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว พวกเราก็จำต้องให้องค์ชายขึ้นครองราชย์ ฝ่าบาทพระชนม์มายุมากแล้ว มิสู้พักรักษาตัวอย่างสงบ องค์ชายคิดเห็นเช่นไร”
หลี่อันตอบเสียงอ่อน “แต่วันนี้พวกเรากำลังพลอ่อนแอเกินไป น้องหกไปชายแดนแล้ว กองทหารราชองครักษ์ก็ยากควบคุม นี่จะทำเช่นไรเล่า”
หลี่หันโยวยิ้มละไมเอ่ยว่า “เรื่องนี้เจ้าสำนักมีแผนการแล้ว ขอเพียงองค์ชายพยักหน้า พวกเราสำนักเฟิงอี้จะเสี่ยงอันตรายดำเนินการ องค์ชายโปรดวางใจ พวกเราจะทำอย่างรอบคอบ ลงมือสำเร็จใจคราเดียวแน่นอน”
ในที่สุดหลี่อันก็เอ่ยอ้ำอึ้ง “พวกเจ้ามีแผนการอันใด”
หลี่หันโยวยิ้มอย่างสมใจ “องค์ชายโปรดวางใจ พวกเราวางแผนไว้พร้อมแล้ว ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็ทำให้องค์ชายสืบทอดบัลลังก์ได้ ทว่าหลายวันนี้องค์ชายต้องระมัดระวังการกระทำ อย่าจุดโทสะให้ฝ่าบาท หากฝ่าบาทปลดองค์ชายขึ้นมา เกรงว่าพวกเราคงได้แต่รามือเงียบๆ แล้ว”
หลี่อันหน้าแดง ตอบว่า “ข้าต้องรอบคอบแน่นอนอยู่แล้ว แต่จงดำเนินการอย่างระมัดระวัง ดีที่สุดรอฉีอ๋องกลับมาก่อนค่อยว่ากัน”
หลี่หันโยวยิ้มละไม “องค์ชายโปรดวางใจ เรื่องนี้พวกเราเตรียมการไว้นานแล้ว อย่างช้าที่สุดเดือนสิบฉีอ๋องก็คงจะกลับมาแล้ว ยามนั้นจะเป็นโอกาสเคลื่อนไหวที่ดีที่สุดของพวกเรา ตอนนี้พวกเราต้องฉวยโอกาสช่วงนี้เตรียมการไว้ องค์รัชทายาทเองก็คงต้องการกำจัดขุมอำนาจของยงอ๋องในคราวเดียวกระมัง”
เวลานี้ หลู่จิ้งจงก็เอ่ยขึ้นมานิ่งๆ “สำนักเฟิงอี้ให้ความสำคัญกับการใหญ่ขององค์ชายเช่นนี้ มิรู้ว่าต้องการสิ่งใดจากองค์ชาย”
หลี่หันโยวยิ้มละไม เอ่ยว่า “หลู่เส้าฟู่ช่างเข้าใจเรื่องราว ความจริงพวกเรามิได้ต้องการมากมาย หลังจากสืบราชบัลลังก์ หากองค์ชายยอมยกศิษย์พี่หลานของพวกเราเป็นฮองเฮา เช่นนั้นสำนักเฟิงอี้ของพวกเราจักทุ่มเททำงานให้องค์ชายอย่างเต็มกำลัง”
หลี่อันมีสีหน้าลำบากใจ “ชุยซื่อมิเคยทำผิดคุณธรรม แล้วยังเลี้ยงดูซื่อจื่อให้ข้า ข้าจะปลดนางโดยไร้เหตุผลได้เช่นไร”
หลี่หันโยวเอ่ยว่า “องค์ชาย ก่อนหน้านี้ท่านมิยอมปลดชุยซื่อก็เพราะฝ่าบาท ยามนี้ฝ่าบาทไม่สนับสนุนท่านอีกแล้ว หากท่านมิยอมตกลงเงื่อนไขนี้ของพวกเรา พวกเราไยต้องเสี่ยงสูญเสียชื่อเสียงเช่นนี้ อีกประการหนึ่ง พวกเราเพียงต้องการให้ท่านแต่งตั้งศิษย์พี่หลานเป็นฮองเฮา มิได้บอกว่าท่านจะต้องปลดชุยซื่อ จะแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟยก็ได้”
เมื่อเห็นมุมปากของหลี่หันโยวขยับยิ้มเย็นชา หลี่อันก็เข้าใจแล้ว หากตนรับปากเงื่อนไขนี้ ถ้าเช่นนั้นชุยซื่อกับซื่อจื่อคงไม่ต้องหวังจะรอดแน่นอน เขาจะใจเหี้ยมเช่นนั้นได้อย่างไร หลี่หันโยวเห็นความลังเลของเขาก็ไม่บีบคั้น เอ่ยขึ้นว่า “องค์ชายทรงคิดให้ดีเถิด เรื่องนี้มิรีบร้อน ท่านกับหลู่เส้าฟู่ค่อยๆ หารือกันได้” กล่าวจบ นางก็ลุกขึ้นขอตัวลา “หม่อมฉันยังมีเรื่องต้องทำ ขอองค์ชายพิจารณาให้ดี หลังจากตัดสินใจได้แล้วก็บอกศิษย์พี่หลานของหม่อมฉัน”