ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 40 สถานการณ์พลิกผัน (2)
ระหว่างที่ข้าคิดฟุ้งซ่านอยู่ตรงนี้ ยงอ๋องก็ก้าวเข้าไปทัก “น้องหก ข้ามาแล้ว มิทราบว่าเจ้ามีอันใดต้องการพูดกับข้าหรือ”
หลี่เสี่ยนหันกลับมาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเผยรอยยิ้มละไม “พี่รอง วันนี้ศรพาดขึ้นสายแล้วมิอาจไม่ยิง ใช่หรือไม่”
หลี่จื้อสีหน้านิ่งขรึม แต่มิเอ่ยวาจา
หลี่เสี่ยนหันหลังกลับไปแล้วเอ่ยว่า “ตำแหน่งจักรพรรดินี้ ผู้ใดมิอยากได้ ยามนี้พี่ใหญ่ก่อกรรมทำเข็ญแล้วยังหวาดระแวงไปทั่ว ดูท่าตำแหน่งจักรพรรดินี่ ช้าเร็วคงเป็นของพี่รองแล้ว”
หลี่จื้อเอ่ยแช่มช้า “หากเจ้ายอมติดตามด้วยใจจริง ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าดุจเดียวกับก่อนหน้า”
“ดุจเดียวกับก่อนหน้าหรือ” หลี่เสี่ยนหัวเราะลั่น “ก่อนหน้านี้ยามเยาว์วัยข้าเลื่อมใสท่านจึงเข้ากองทัพ หากมิได้พี่รองชี้แนะ น่ากลัวว่าข้าคงทนอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน ทว่าข้าต้องการสลัดเงาของพี่รองเสมอ ดังนั้นข้าจึงไม่ติดตามอยู่หลังพี่รอง แต่กลายเป็นฉีอ๋องในวันนี้ แต่ว่าพี่รอง แม้บางครั้งข้าจะกำเริบเสิบสาน บางครั้งก็โง่เขลา แต่ข้ามิใช่คนกลับกลอก ในเมื่อข้าสนับสนุนรัชทายาทแล้ว เช่นนั้นแม้ตายก็มิคิดคดทรยศ”
หลี่จื้อกดกลั้นโทสะมิไหวเอ่ยว่า “หากพี่ใหญ่คิดร้ายก่อกบฏ เจ้าก็ยังจะหลับหูหลับตาทำผิดตามเขาหรือ”
หลี่เสี่ยนสีหน้าตะลึงไปชั่วครู่ แต่จากนั้นก็เข้าใจ “ที่แท้เป็นเช่นนี้ พี่รองคิดจะบีบให้พี่ใหญ่ก่อกบฏ เช่นนี้ท่านจึงจะกลายเป็นรัชทายาทได้อย่างถูกต้องชอบธรรม”
หลี่จื้อถอนหายใจ เอ่ยว่า “น้องหก เจ้าฉลาดกว่าผู้ใดเสมอมา ข้าชื่นชมยิ่งนัก แต่เหตุไฉนเจ้ามิยอมปกปิดไว้เสียบ้าง ยามนี้ศรพาดขึ้นสายแล้ว เกรงว่าข้าคงมิอาจปล่อยให้เจ้าเข้าเมืองหลวงได้”
ฉีอ๋องกลับยิ้มละไม ตอบว่า “พี่รองโปรดวางใจ ข้ามิใช่คนเขลา สถานการณ์ตอนนี้ข้ารู้กระจ่างแจ้งยิ่งนัก ท่านต้องการทำสิ่งใด ข้าจะไม่ขัดขวางและจะไม่บอกพี่ใหญ่ ทว่านอกเสียจากพี่ใหญ่จะก่อกบฏจริง มิฉะนั้นข้าไม่มีวันทรยศเขา หากพี่รองไม่เชื่อ ในรถม้าด้านนอกมีคนอยู่ผู้หนึ่ง พี่รองพบเขาแล้วย่อมเชื่อว่าข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องราวในวันนี้”
ยงอ๋องสีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน เขาหันมามองข้า ข้าที่เงียบงันมาตั้งแต่ต้นจนจบจึงถอยออกไป เมื่อเดินไปถึงหน้ารถม้าแล้วเลิกม่านรถขึ้นก็เห็นภายในรถมีคนอยู่สองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ อีกคนหนึ่งนอนอยู่ ผู้ที่นั่งอยู่เป็นบุรุษวัยกลางคนอายุห้าสิบกว่าปีผู้หนึ่ง สีหน้านอบน้อม ส่วนผู้ที่นอนอยู่ตรงนั้นคือเด็กหนุ่มหน้าตางดงาม สีผิวคล้ำเล็กน้อยคนหนึ่ง แม้หลับใหลอยู่แต่สีหน้ากระสับกระส่าย บุรุษวัยกลางคนเอ่ยเสียงเบา “นี่คือเจียงไห่เทานายน้อยของพวกเรา”
ข้าอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมา “ผู้น้อยเจียงเจ๋อ”
บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเอ่ยอย่างปิติยินดี “ท่านคือใต้เท้าเจียงหรอกหรือ แม่ทัพฟางนำยาของท่านกลับมา นายน้อยของพวกเราจึงอาการคงที่ขึ้นมาก”
ข้าเอ่ยปลอบ “ท่านโปรดวางใจ ยามนี้ยงอ๋องรอผู้น้อยกลับไปรายงานอยู่ด้านใน ท่านโปรดรอสักประเดี๋ยว”
ข้ากลับเข้าไปในวัดแล้วมองฉีอ๋องอย่างนับถือ จากนั้นจึงเดินเข้าไปกระซิบข้างตัวยงอ๋อง “บุตรชายของเจียงโหวพ่ะย่ะค่ะ” ยงอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก เขามองหลี่เสี่ยนอย่างตกตะลึง หลี่เสี่ยนรักษาสีหน้าหยิ่งทะนงไม่เอ่ยวาจาสักคำ สีหน้าของยงอ๋องอ่อนโยนลงแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ ในเมื่อเจ้ายื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้แล้ว เช่นนั้นย่อมมีจุดอ่อนอยู่ในกำมือข้า หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตัวข้ายังไม่เท่าไร แต่รัชทายาทกับสำนักเฟิงอี้คงไม่มีทางปล่อยเจ้า”
หลี่เสี่ยนเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้ามิสนว่าพวกเขาคิดเช่นไร เด็กคนนี้เรียกข้าว่าท่านอา หากข้านิ่งดูดายก็ออกจะไร้หัวใจเกินไป มิทราบว่าพี่รองใจกล้าพอจะรับช่วงเรื่องนี้หรือไม่”
ทันใดนั้นยงอ๋องก็ค้อมกายเล็กน้อยเป็นการคำนับ “น้องหก หัวใจมีคุณธรรมของเจ้าทำให้ข้าละอายใจ เจ้าวางใจเถิด ในเมื่อเด็กคนนี้มาถึงฉางอันแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าย่อมทำสุดความสามารถ”
หลี่เสี่ยนหันกลับมาเอ่ยว่า “ดี ท่านพาเขาไปเถิด หลังจากเขารักษาพิษจนหายดีแล้ว หากท่านมิสะดวกส่งเขากลับก็จงมาบอกข้า”
หลี่จื้อมองฉีอ๋องนิ่งนาน ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าจะไม่ยอมเปลี่ยนความคิดจริงหรือ เจ้าคงรู้ว่าเมื่อเรื่องราวจบลง เจ้ากับข้าย่อมจากกันด้วยความตาย”
หลี่เสี่ยนยิ้มน้อยๆ ในรอยยิ้มเต็มไปด้วยแววเยาะหยัน เอ่ยอย่างเย็นชา “ขอบพระทัยเจตนาดีของพี่รอง ต่อให้ข้าเข้าฝ่ายท่าน ท่านจะเชื่อใจข้าได้จริงหรือ”
ยงอ๋องชะงัก พูดไม่ออก เขาอยากจะพูดยิ่งนักว่าเชื่อใจฉีอ๋อง แต่เมื่อนึกถึงหลายครั้งหลายหนที่ฉีอ๋องทำตัวเป็นอริกับตนตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วนึกถึงฉินเจิงพระชายาของฉีอ๋อง ในที่สุดก็เอ่ยเสียงอ่อนแรง “ข้าเชื่อว่าน้องหกมีวิธีแสดงความจริงใจของตน”
หลี่เสี่ยนผินกายไปแล้วเอ่ยเสียงเบา “แม้เจิงเอ๋อร์จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นภรรยาของข้า เป็นมารดาของลูกข้า หลี่เสี่ยนไร้ความสามารถ มิอาจสังหารภรรยาเพื่อลาภยศ”
หลี่จื้อถอนหายใจยาวเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นน้องหกระวังตัวด้วย” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกจากอุโบสถ ข้ามองฉีอ๋องแล้วค้อมกายคำนับ “ก่อนหน้าเจียงเจ๋อรู้เพียงองค์ชายตรงไปตรงมา วันนี้จึงเพิ่งรู้ว่าท่านองอาจห้าวหาญ หลังจากวันนี้ขอให้องค์ชายทำการใดระมัดระวัง รัชทายาทโฉดเขลา สำนักเฟิงอี้จิตใจทะเยอทะยาน องค์ชายไยต้องลงสุสานไปกับพวกนาง”
หลี่เสี่ยนมองข้าแล้วเอ่ยอย่างเฉยชา “ความสามารถของสุยอวิ๋นใต้หล้าหาใครเทียบเทียม หากยามนั้นข้าใจเหี้ยมสังหารเสีย คงมิต้องมีจุดจบเช่นวันนี้”
ฟังถึงตรงนี้ ในใจข้าพลันเศร้าหมอง เพียงฟังประโยคนี้ก็ทราบแล้วว่าชินอ๋องผู้หยิ่งทะนงผู้นี้ละทิ้งโอกาสในการควบคุมชะตาชีวิต ยินยอมพร้อมใจจมหายไปกับสงครามแย่งชิงบัลลังก์อันคลุ้งคาวเลือดครั้งนี้แล้ว แต่ข้ากลับไร้กำลังทำสิ่งใด มาถึงเวลานี้มิว่าฉีอ๋องจะเป็นคนเช่นไร ยงอ๋องกับข้าก็มิอาจรามือได้แล้ว หากมิใช่ว่าการพบหน้ากันวันนี้จะยุแยงฉีอ๋องให้แตกกับองค์รัชทายาทได้ ข้ามิมีทางยอมปล่อยให้ฉีอ๋องกลับฉางอันเด็ดขาด
หลังจากบอกลาออกมาขึ้นรถม้า สีหน้าของยงอ๋องก็ประหนึ่งหิมะยามเหมันต์ รถม้าเริ่มเคลื่อนตัว แต่เขาไม่พูดไม่จา ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยออกมาแผ่วเบา “ช่างน่าเสียดายฉีอ๋อง”
ในใจข้ารู้ว่าหลี่จื้อคิดสังหารแล้ว แต่ก็ฟังออกว่าในน้ำเสียงของเขาสุดแสนเสียดาย สิ่งนี้เมื่อหลายวันก่อนยามพวกเราปรึกษากันเรื่องการลอบสังหารยังไม่มีอยู่ ข้าเอ่ยว่า “องค์ชายโปรดวางใจ ดูท่าแล้วฉีอ๋องคงไม่ร่วมก่อกบฏกับรัชทายาท อย่างน้ององค์ชายก็มิต้องกังวลว่ากองทัพของฉีอ๋องจะสร้างความลำบากให้”
ยงอ๋องส่ายศีรษะ “มิกลัวหมื่นหน กลัวเพียงหนึ่งหนมิคาด หากมิอาจควบคุมน้องหกได้อย่างแท้จริง ข้าไม่อาจวางใจอย่างสิ้นเชิงได้ สุยอวิ๋นมีหนทางอันใดหรือไม่”
ในใจข้าขบคิดร้อยพันตลบ ในที่สุดก็ส่ายหน้าอย่างเสียดาย “นอกเสียจากสังหารฉีอ๋อง กระหม่อมมิมีหนทางควบคุมเขาได้”
ยงอ๋องถอนหายใจแผ่วเบาแล้วมิเอ่ยต่อ ยามนี้ข้าจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “นอกเสียจากว่าจะทำให้ฉีอ๋องป่วยหนักชั่วคราว กองทัพที่ไร้ฉีอ๋องบัญชาการเองย่อมเสมือนฝูงหมาป่าไร้จ่าฝูง”
ยงอ๋องสีหน้าหวั่นไหวเอ่ยว่า “ดูไปก่อน แต่ต้องเตรียมพร้อมให้ดี มิอาจรอข้าศึกประชิดค่อยลับทวน”
ข้ายิ้มละไม “มิรู้ว่าสำนักเฟิงอี้จะคิดเช่นไร”
หลังจากรถม้าของยงอ๋องแล่นจากไป หัวหน้าองครักษ์คนสนิทของฉีอ๋องก็เดินเข้ามารายงานว่า “องค์ชาย พวกเราก็สมควรไปแล้ว หากเรื่องนี้ถูกองค์รัชทายาททราบเข้า เกรงว่ารัชทายาทจะคลางแคลงใจได้”
หลี่เสี่ยนพยักหน้าตอบว่า “เรื่องนี้กังวลไปก็เปล่าประโยชน์ ข้าภักดีในฐานะขุนนางกับน้องชายจนถึงที่สุดแล้ว หากรัชทายาทจะคลางแคลงใจ ข้าก็มิอาจทำอันใดได้”
ทันใดนั้นองครักษ์คนสนิทผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “องค์ชาย ผู้น้อยมิกล้าสงสัยการตัดสินใจขององค์ชาย แต่คนผู้นั้นควรค่าให้ท่านภักดีเช่นนี้จริงหรือ”
ฉีอ๋องสีหน้าเย็นเยียบ เอ่ยขึ้นว่า “นี่มิใช่สิ่งที่เจ้าสมควรเอ่ย”
องครักษ์คนสนิทผู้นั้นสีหน้าหวาดผวา แต่แววตาดื้อรั้นยังคงมิแปรเปลี่ยนสักนิด หลี่เสี่ยนมองเขาแล้วทอดถอนใจ “สันดานของรัชทายาทเผยออกมา ข้าก็ผิดหวังยิ่งนัก ทว่ายามนี้ข้าขึ้นหลังเสือยากลง แม้เขาไร้หัวใจ แต่ข้ามิอาจไร้คุณธรรม มิว่าเช่นไร ก่อนหน้านี้หากไม่มีรัชทายาทสนับสนุน ข้าก็คงไม่มีความสำเร็จเช่นวันนี้”
หลังจากรถม้าของฉีอ๋องออกเดินทางไม่นาน บนเนินเขาน้อยลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล สตรีผู้สวมอาภรณ์เยี่ยงชาวบ้านคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืน แม้แต่งกายธรรมดาแต่เห็นชัดว่ามิใช่พื้นๆ นางมองเงาร่างของฉีอ๋องแล้วยิ้มหยัน ทว่าแม้จะเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกเช่นนี้ เมื่ออยู่บนดวงหน้างามเฉิดฉินประหนึ่งดวงตะวันแรกทอแสงของนางกลับชวนให้หัวใจสั่นไหว