ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 56 ผู้ส่งสาสน์ลับ (2)
ผ่านไปครู่หนึ่งเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็เริ่มเคลื่อนไหวได้ แต่เขารู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั่วร่างตนหายไปหมดสิ้น จึงยิ้มขมขื่น เอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าเจียงจะมีลูกเล่นเช่นนี้ด้วย”
ข้าเอ่ยอย่างถ่อมตัว “ความจริงนี่เป็นเพียงเล่ห์กลของคนถ่อยที่อาศัยโจมตียามคิดไม่ถึงจึงจะสำเร็จ”
แต่กระนั้นเซี่ยโหวหยวนเฟิงก็ทำสีหน้าสุขุมประหนึ่งผู้ที่ถูกจับเป็นเชลยยามนี้คือข้า เขาหัวเราะพลางเอ่ยว่า “มิทราบใต้เท้าเจียงจะจัดการข้าเช่นไร หากข้าหายไปกะทันหัน เกรงว่าคงมีคนไม่เลิกราโดยดี”
ข้ามองเขาอย่างเฉยชาแล้วเอ่ยตอบ “ท่านวางใจเถิด หลังจากสังหารท่านแล้วข้าจะซ่อนเอาไว้ในช่องลับ เช่นนี้ท่านย่อมไม่ต้องกังวลว่าผู้ใดจะหาศพของท่านพบ ไม่แน่คนอาจคิดว่าท่านลอบหนีไปแล้วก็เป็นได้ ยงอ๋องหลบหนีไปได้ ในใจของบางคนย่อมเกิดความหวาดกลัว” เมื่อได้ยินคำพูดของข้า ต่งเชวียก็เปิดช่องลับใต้เตียงออกอีกครั้งทันที ข้าเอ่ยต่อ “ต่งเชวีย อย่าให้เลือดไหล ประเดี๋ยวกลิ่นคาวเลือดจะอบอวลเกินไปจนทำให้ผู้อื่นสังเกต”
ต่งเชวียขยับยิ้มตอบ “ผู้น้อยรับบัญชา” กล่าวจบก็ตั้งท่าจะจี้จุดตายของเซี่ยโหวหยวนเฟิง
เซี่ยโหวหยวนเฟิงรู้ชัดว่าทั้งสองคนคิดจะข่มขู่ตน มิเช่นนั้นเจียงเจ๋อไยต้องกดวรยุทธ์ของตนไว้ ถึงกระนั้นความกลัวก็ยังผุดพรายในหัวใจ สีหน้าของต่งเชวียผู้นั้นเย็นชาไร้หัวใจ มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นบุคคลที่สังหารคนได้ตาไม่กะพริบ
เวลานี้เจียงเจ๋อก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ข้ามิเคยสังหารคนกับมือมาก่อน ดังนั้นให้เจ้าลงมือก็แล้วกัน”
คราวนี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงทนไม่ไหวแล้ว เขารู้ว่าพวกกุนซือเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ดำรงตนตามคติที่ว่าวิญญูชนอยู่ให้ห่างห้องครัว[1] หากต้องตายไปเช่นนี้จริงย่อมไม่คุ้มเกินไปแล้ว เขาเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ร้องอย่างหวาดผวา “ใต้เท้าเจียงไว้ชีวิตด้วย ข้ายอมจำนนแล้ว”
ทว่าเจียงเจ๋อกลับไม่เปล่งเสียง เพียงยิ้มละไมเท่านั้น นิ้วมือของต่งเชวียใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดนิ้วก็จิ้มลงบนจุดตายของเซี่ยโหวหยวนเฟิง เซี่ยโหวหยวนเฟิงพลันรู้สึกหัวใจเย็นเฉียบ กำลังจะอ้าปากร้องลั่น ต่งเชวียก็ยื่นมืออุดปากเขาไว้ เซี่ยโหวหยวนเฟิงรู้สึกเวียนหัวตาลายอยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็ได้สติคืนมา ที่แท้นิ้วของต่งเชวียใช้กำลังเพียงสองส่วน ด้วยเหตุนี้จึงมิได้สังหารเซี่ยโหวหยวนเฟิงตาย แต่เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็หวาดผวาจนหน้าซีดเผือด เขามิเคยเฉียดใกล้ความตายเท่านี้มาก่อน
ข้านั่งลงพลางมองเซี่ยโหวหยวนเฟิงฟื้นกลับมาเป็นสภาพปกติในชั่วพริบตา แล้วก็อดถอนหายใจด้วยความชื่นชมไม่ได้ คนผู้นี้ช่างเป็นผู้มีความสามารถ จิตใจล้ำลึก ปรับตัวตามสถานการณ์เก่ง ยืดได้หดได้ น่าเสียดายดันเป็นพวกเดียวกับรัชทายาท ข้ามองเขาอย่างเสียดายเล็กน้อย ยามนี้มิใช่เวลาที่ข้าจะมามีเมตตา หากผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ถ้าเช่นนั้นยงอ๋องย่อมพินาศไม่อาจฟื้นอย่างแท้จริง
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเห็นแววตาเย็นชาที่แฝงความเสียดายของเจียงเจ๋อ ในใจพลันหนาวเหน็บ แม้เมื่อครู่เขาตกใจกลัวแทบตาย แต่เขาสัมผัสได้ว่าเจียงเจ๋อเพียงคิดระบายโทสะเท่านั้น แต่ตอนนี้แววตาเช่นนั้น ดูท่าตนคงต้องตายแน่แล้ว เขารีบตะโกน “ใต้เท้าเจียง แม้ไม่คะนึงถึงเจตนาดีที่ข้าเผยเรื่องมือสังหารแก่ท่านในวันวาน ก็ขอให้ใต้เท้าเห็นแก่ที่หยวนเฟิงภักดีต่อองค์หญิง”
เดิมทีข้าจะออกคำสั่งสังหารอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็ชะงักอย่างช่วยไม่ได้ เซี่ยโหวหยวนเฟิงรีบเอ่ยต่อ “ข้ากราบทูลองค์หญิงว่าสำนักเฟิงอี้กำลังวางแผนเล่นงานองค์หญิงอยู่ วันนั้นที่องค์หญิงพบอันตรายในพระราชวัง แม้ข้ามิได้ช่วยเหลือ แต่หากองค์หญิงมิได้เตรียมตัวไว้ก่อน จะโชคดีแคล้วคลาดเช่นนั้นได้อย่างไร”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ข้าพลันใจอ่อน ยามนั้นองค์หญิงเคยบอกเรื่องแผนการของสำนักเฟิงอี้กับข้าผ่านทางพระชายาของยงอ๋องจริงๆ แต่ข้ากับยงอ๋องล้วนคิดว่าสำนักเฟิงอี้จะใช้วิธีการข่มขู่ล่อลวงด้วยผลประโยชน์ คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะใช้วิธีต่ำช้าเช่นนั้น หากมิใช่ข้ากับเสี่ยวซุ่นจื่อวางคนไว้ล่วงหน้า เกรงว่าองค์หญิงคงยากหนีพ้นกับดัก แต่ข้าก็ยังขอบคุณในเจตนาดีของเซี่ยโหวหยวนเฟิง ข้ามองเซี่ยโหวหยวนเฟิงอีกครั้งแล้วถอนหายใจ “ใต้เท้าเซี่ยโหว ท่านมีความชอบต่อองค์หญิงก็จริง แต่ท่านคงรู้สถานการณ์ตอนนี้ดี ท่านจะใช้สิ่งใดมาโน้มน้าวให้ข้าคิดว่าการปล่อยท่านไปเป็นเรื่องคุ้มค่า”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเค้นสมองคิดหาวิธีเอาชีวิตรอด ผ่านไปไม่นาน สายตาของเขาก็จับอยู่ตรงราชโองการลับบนผืนผ้าแพรชิ้นนั้นบนโต๊ะหนังสือ ดวงตาเป็นประกายเอ่ยว่า “นอกจากข้า ไม่มีผู้ใดจะส่งสิ่งเหล่านี้ออกไปได้อย่างสะดวกมากกว่าอีกแล้ว นั่นคือราชโองการลับของจักรพรรดิสินะ ข้าคิดอยู่แล้วว่าองค์หญิงทรงจิตใจงดงามชาญฉลาด ไม่มีทางทำเรื่องไร้ประโยชน์แน่นอน”
ข้าเอ่ยอย่างเฉยชา “ท่านฉลาดยิ่งนัก ทว่าเรื่องนี้มิใช่ว่าจำต้องเป็นท่านเท่านั้น”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงขยับยิ้มเอ่ยตอบ “แม้ได้พระราชโองการของฝ่าบาทกับตราทหารของแม่ทัพใหญ่ฉินมาอยู่ในมือแล้ว แต่หากต้องการเคลื่อนกองทัพก็จำต้องมีคนไปถ่ายทอดพระราชโองการ ข้ามิรู้ว่าสายลับของยงอ๋องที่อยู่ข้างกายรัชทายาทคือผู้ใด ทว่ารัชทายาทจะให้คนสนิทไปถ่ายทอดพะราชโองการเท่านั้น สำนักเฟิงอี้มิสะดวกออกหน้า ยามนี้คนสนิทของรัชทายาทมีไม่มาก หลู่เส้าฟู่คือผู้ครองตำแหน่งสูงสุดในหมู่คนเหล่านั้น ข้าเป็นศิษย์หลานของหลู่เส้าฟู่ นอกจากข้า ยังมีผู้ใดเหมาะสมกับงานนี้มากกว่าอีก”
ข้าฟังแล้วคิ้วขมวด ไม่ผิด แม้จางจิ่นสยงจะขออาสาได้ ทว่าย่อมมิสมเหตุสมผลเท่าเซี่ยโหวหยวนเฟิง แต่ข้าจะเชื่อใจเขาได้หรือ ข้าใช้สายตาแคลงใจมองเซี่ยโหวหยวนเฟิง เวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงนกร้องดังขึ้นสองสามครั้ง ต่งเชวียสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วมองมาหาข้า “คุณชาย?”
ข้ารู้ว่าจางจิ่นสยงมาถึงแล้วจึงพยักหน้าให้สัญญาณ
ต่งเชวียเดินออกไป ใต้แสงจันทรา ชายฉกรรจ์หน้าตาห้าวหาญผู้หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นต่งเชวีย เขาก็มีสีหน้าโล่งอกแล้วเอ่ยแผ่วเบา “ข้ามีเวลาเพียงครู่เดียว เมื่อครู่องค์รัชทายาทกับหลู่เส้าฟู่หารือกันว่าจะส่งใต้เท้าเซี่ยโหวไปถ่ายทอดพระราชโองการแล้วให้ผู้แซ่จางติดตามไปคุ้มครอง ข้าอ้างว่าออกมาตามหาใต้เท้าเซี่ยโหวจึงมาถึงที่นี่ได้”
ต่งเชวียฉุกใจคิดบางสิ่งจึงเอ่ยเสียงเบา “หัวหน้าองครักษ์จางโปรดรอสักครู่ ยามนี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงถูกคุณชายของข้าคุมตัวอยู่ ใต้เท้าเชิญท่านมาคุยกันที่ตำหนักข้าง”
จางจิ่นสยงตกตะลึง เขาย่อมรู้วรยุทธ์ของเซี่ยโหวหยวนเฟิงดี หากทั้งสองประมือกัน แม้เขาจะไม่ถึงกับพ่ายแพ้ แต่คิดจะเอาชนะก็ยากยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงจะถูกจับตัวไว้ได้ เขาอดไม่ได้นับถือเจียงเจ๋อเจียงสุยอวิ๋นผู้นั้นเพิ่มขึ้นอีก
ทั้งสองเดินเข้าไปในตำหนักข้าง จากนั้นต่งเชวียก็เดินกลับห้องบรรทมขององค์หญิง แล้วกระซิบริมหูเจียงเจ๋อแผ่วเบาสองสามประโยค
หลังจากข้าได้ฟังก็ประหลาดใจยิ่งนัก มิทราบว่านี่คือสวรรค์คุ้มครองหรือไร ข้าขบคิดครู่หนึ่งก็หยิบยาลูกกลอนหลายเม็ดออกมาจากช่องลับภายในเข็มขัดหยก มองดูอยู่เนิ่นนานก็เลือกเม็ดหนึ่งในนั้นออกมา แล้วมองเซี่ยโหวหยวนเฟิง “ท่านกินยาลูกกลอนเม็ดนี้ลงไป ข้าจึงจะเชื่อว่าท่านกลับตัวกลับใจด้วยใจจริง ท่านน่าจะทราบว่าข้าคือผู้สืบทอดของหมอเทวดา ยาพิษชนิดนี้ไม่ใช่ไร้ยาแก้ แต่หากไม่มีเวลาสิบวันครึ่งเดือน ไม่มีทางปรุงยาแก้ขึ้นมาได้ หากท่านต้องการลาภยศสรรเสริญ รัชทายาทมอบให้ท่านได้ ยงอ๋องก็มอบให้ท่านได้ แต่หากท่านต้องการชีวิต ถ้าเช่นนั้นมีทางเดียวให้เลือกเดิน”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงลังเลเพียงครู่เดียว เดิมทีเขาก็เป็นคนเด็ดเดี่ยวคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่กินยาพิษเม็ดนี้ เขาคงก้าวออกจากอุทยานหันเซียงไม่ได้เป็นแน่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรับยาลูกกลอนมากลืนลงไปทันที
ข้าเห็นเขากินลงไปแล้วก็เอ่ยอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ในเมื่อท่านกับสำนักเฟิงอี้ร่วมมือกันสนับสนุนรัชทายาท ถ้าเช่นนั้นท่านก็คงรู้จักเหลียงหวั่น”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเอ่ยตอบอย่างงุนงง “ข้ารู้จัก แต่เล่ากันว่าแม่นางเหลียงหวั่นถูกทำลายสติสัมปชัญญะ แม้สำนักเฟิงอี้ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ แต่ข้าเคยได้ยินหลู่เส้าฟู่เอ่ยถึง”
ข้ายิ้มละไมกล่าวต่อ “ผู้ที่ใช้ยาพิษทำให้เหลียงหวั่นเสียสติยามนั้นคือข้าเอง”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเบิกตาโต มองข้าอย่างไม่อยากเชื่อแล้วเอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้ หรือว่าตั้งแต่ยามนั้นท่านก็เข้าฝ่ายยงอ๋องแล้ว”
ข้างุนงง แต่ก็เข้าใจความหมายของเขาทันที จึงหัวเราะเอ่ยว่า “เรื่องนี้มิเกี่ยวกับยงอ๋อง เหลียงหวั่นเป็นศัตรูคู่แค้นที่สังหารภรรยาข้า ข้าจัดการกับนางเพื่อชำระแค้นเท่านั้น”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงนึกหวาดผวาแล้วมองเจียงเจ๋อ ยามนี้เขาเชื่อแล้วจริงๆ ว่าเพียงยกฝ่ามือเจียงเจ๋อก็สังหารตนได้ ทว่าเขากลับเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “มิทราบข้ายังมีสิ่งใดทำประโยชน์ให้ได้อีกหรือไม่”
ข้านึกฉงนจึงถามขึ้นว่า “ใต้เท้าเซี่ยโหวเหตุใดจึงเอ่ยเช่นนี้ ดูท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเรื่องนี้มากกว่าผู้แซ่เจียงเสียอีก”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงยิ้มตอบ “ในเมื่อยามนี้ข้าถูกใต้เท้าควบคุมไว้ ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับขึ้นเรือลำเดียวกับยงอ๋องแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าย่อมหวังให้เรือลำนี้ยิ่งมั่นคงยิ่งดี ดีที่สุดทำให้ข้าได้คุณงามความชอบมากสักหน่อย เพื่อที่อนาคตจะได้มีโอกาสเลื่อนยศเลื่อนขั้น”
ข้าขยับยิ้มอย่างโล่งใจ หากเซี่ยโหวหยวนเฟิงคิดอยากเลื่อนยศเลื่อนขั้น ข้าก็คงวางใจได้บ้าง ข้าโบกมือให้ต่งเชวียนำผ้าเช็ดหน้าแพรผืนนั้นมา จากนั้นส่งมอบให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงด้วยท่าทางจริงจัง เซี่ยโหวหยวนเฟิงรับไปด้วยสีหน้าจริงจังเช่นกัน
ข้าค้อมกายคำนับหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยกำชับ “นี่คือพระราชโองการลับขององค์จักรพรรดิ ท่านจักต้องส่งมอบแก่แม่ทัพฉินหย่ง ให้แม่ทัพฉินหย่งเดินทางมาช่วยปกป้ององค์จักรพรรดิ”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงก้มคำนับพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าโปรดวางใจ เซี่ยโหวจักไม่ทำให้ผิดหวัง ฝั่งยงอ๋อง ขอใต้เท้าโปรดช่วยกล่าววาจาดีงามแทนด้วย”
ต่งเชวียส่งเซี่ยโหวหยวนเฟิงเสร็จก็กลับมารายงาน “คุณชาย เขาไปแล้วจริงๆ”
ข้าจึงเอ่ยกับต่งเชวีย “ไปเชิญหัวหน้าองครักษ์จางเข้ามา”
ขณะที่มองเงาแผ่นหลังของจางจิ่นสยง ในที่สุดข้าก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หากเซี่ยโหวหยวนเฟิงไม่ทรยศ ถ้าเช่นนั้นย่อมปลอดภัยยิ่งขึ้น หากเซี่ยโหวหยวนเฟิงปากอย่างใจอย่าง เขาก็คงคิดไม่ถึงว่าข้าจะยังมีผู้ส่งสาสน์คนอื่น เป็นเช่นนี้ข้าจึงจะวางใจความปลอดภัยของจางจิ่นสยงได้
อีกอย่างข้าก็ล้มเลิกความคิดตอนแรกที่จะใช้บางอย่างกับร่างกายจางจิ่นสยงแล้ว ในเมื่อข้าต้องการให้เขารับหน้าที่ผู้ส่งสาสน์ลับก็ต้องแสดงความเชื่อใจที่มีต่อเขา สำหรับศิษย์ที่มาจากสำนักธรรมะชื่อดัง การทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้พวกเขาทุ่มกำลังเต็มที่ ในสถานการณ์ที่มีเซี่ยโหวหยวนเฟิงเป็นผู้ส่งสาสน์ในที่แจ้งแล้ว ผู้ส่งสาสน์ลับก็ไม่จำเป็นต้องควบคุมเข้มงวดอีก
ยิ่งไปกว่านั้น จางจิ่นสยงก็คู่ควรให้เชื่อใจมากกว่า ไม่ว่าจะด้วยนิสัยของเขาหรือสำนักของเขา เพราะยามนี้สำนักคงต้งเอาใจออกหากสำนักเฟิงอี้แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานคนสำคัญของสำนักคงต้งลอบติดต่อสำนักเส้าหลิน แสดงเจตนาว่าจะร่วมมือด้วย
ต่อให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงพาคนมาจับตัวข้าเดี๋ยวนี้ ข้าก็มิกังวลใจอีกต่อไป ขอเพียงเรียกฉินหย่งมาได้ ความปลอดภัยของข้าจะสำคัญอย่างไรเล่า ข้าเชื่อว่าหยกของแม่ทัพใหญ่ฉินจะทำให้ฉินหย่งเชื่อยิ่งกว่าราชโองการลับของจักรพรรดิ นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ข้าเตรียมการไว้ล่วงหน้าอีก
ข้ารู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั่วร่างสลายไปหมดสิ้นจึงล้มตัวลงนอนบนเตียง ในใจคิดว่าก้าวต่อไปข้ายังทำสิ่งใดได้อีกบ้าง ไม่ว่าอย่างไรจะเป็นการดีที่สุดหากข้าอยู่ที่นี่ต่อ เช่นนี้เซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงจะคิดว่าข้าเชื่อใจเขา ต่อให้เขาหักหลังก็จะไม่สงสัยว่ามีผู้ส่งสาสน์คนอื่นอีก
[1]วิญญูชนอยู่ให้ห่างห้องครัว หมายถึง วิญญูชนเป็นผู้มีจิตเมตตา หากเห็นสัตว์ยังมีชีวิตย่อมมิกล้าฆ่า ได้ยินเสียงสัตว์ร้องย่อมมิกล้ากินเนื้อ ดังนั้นจึงต้องอยู่ห่างจากห้องครัว อีกนัยหนึ่งก็คือไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิตด้วยมือตนเอง