ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 59 อุบายของฉีอ๋อง (1)
เกี้ยวหลังหนึ่งยกฉีอ๋องเดินทางอย่างเชื่องช้าไปยังตำหนักอวี้หลินที่รัชทายาทพักอยู่ ยามนี้หลี่เสี่ยนถูกวางยาเพื่อกักตัวไว้ แม้พอฝืนขยับได้แต่ก็มิอาจเดินเหินไกลเช่นนี้ได้ ตำหนักอวี้หลินอยู่ฝั่งตะวันออกของพระราชวังเลี่ยกง อุทยานเซวียนหวาที่ฉีอ๋องพำนักกลับอยู่ฝั่งตะวันตก ระหว่างทั้งสองแห่งไกลกันหลายลี้ย่อมต้องแบกเกี้ยวเดินทางไป ทหารสี่นายที่แบกเกี้ยวล้วนเป็นองครักษ์คนสนิทของฉีอ๋อง แม้แต่พระชายาฉีอ๋องก็มิอาจสั่งการพวกเขาได้ตามใจ ฉินเจิงกับหญิงรับใช้สองนางเดินนำทางอยู่ด้านหน้า
ขบวนเดินทางมาจนถึงตำหนักอวี้หลิน สถานที่แห่งนี้คุ้มกันแน่นหนายิ่งนัก เซียวหลานได้ยินว่าฉีอ๋องมาถึงแล้วก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง นางสวมชุดจอมยุทธ์ เมื่อเห็นหลี่เสี่ยนที่ฉินเจิงพยุงลงมาจากเกี้ยว นางก็ก้าวเข้าไปคำนับเอ่ยว่า “น้องหกมาหา องค์ชายจักต้องยินดีเป็นล้นพ้นแน่”
หลี่เสี่ยนเอ่ยอย่างเย็นชา “ยามนี้หลี่เสี่ยนเป็นเพียงนักโทษของท่าน ไหนเลยจะกล้ารับการคำนับจากท่านอีก”
สีหน้ากระอักกระอ่วนปรากฏบนใบหน้าของเซียวหลาน แต่แล้วนางก็คลี่ยิ้มทันที “น้องหก เรื่องนี้พวกเราผิดเอง ขอน้องหกโปรดอภัย องค์ชายรออยู่ด้านในแล้ว”
หลี่เสี่ยนเดินเข้าตำหนักก็เห็นหลี่อันกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ภายในตำหนัก หลู่จิ้งจงเส้าฟู่ประจำองค์รัชทายาทยืนรอรับคำสั่งอยู่ด้านข้าง แม้หลู่จิ้งจงจะถูกสำนักเฟิงอี้คุมตัวไว้ แต่ยามนี้สถานการณ์เร่งด่วน เมื่อรัชทายาทขอร้อง สำนักเฟิงอี้จึงมิอาจไม่ปล่อยเขาออกมา ถึงกระนั้นก็ไม่อนุญาตให้เขาออกจากตำหนักอวี้หลิน อาจเพราะเหตุนี้ รวมกับที่รัชทายาทไม่พยายามปกป้อง สีหน้าของเขาจึงดูเย็นชาย่ำแย่อยู่บ้าง
เมื่อเห็นหลี่เสี่ยน หลี่อันพลันก้าวเข้ามาหาแล้วกุมมือหลี่เสี่ยนอย่างสนิทสนม “น้องหก เจ้ามาแล้ว ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยพี่นะ เจ้าก็รู้ ยามนี้พี่ล่องเรือลงน้ำแล้วมิอาจหันหลังกลับ หากไม่อาจขึ้นครองราชย์ก็คงถูกจองจำประทานความตาย น้องสะใภ้ก็ร่วมก่อกบฏแล้ว หากเจ้าไม่ยอมทุ่มเทสุดกำลัง ถึงเวลาหากพี่โชคร้ายพ่ายแพ้ เจ้าก็หนีความเกี่ยวข้องไม่พ้น”
หลี่เสี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “น้องรู้สถานการณ์ยามนี้ดี แต่รัชทายาทมิใช่ออกพระราชโองการปลอมเรียกแม่ทัพฉินมาแล้วหรือ”
หลี่อันชะงักวูบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างละอายใจ “ถึงอย่างไรแม่ทัพฉินก็มิใช่พรรคพวกของข้า หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นยากจะควบคุมได้ หากกองทัพของน้องหกมา บัลลังก์ของพี่จึงจะมั่นคงประหนึ่งเขาไท่ซาน”
หลี่เสี่ยนจึงเอ่ยตอบพลางยิ้มเยาะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอรัชทายาทโปรดแก้พิษให้ข้า ให้ข้าไปบัญชาการในกองทัพเป็นเช่นไร”
เมื่อประโยคนี้เอ่ยออกมา หลี่อันก็พูดไม่ออกในทันใด เขาหันไปมองเซียวหลาน สีหน้าลำบากใจเล็กน้อย เวลานี้หลู่จิ้งจงจึงกล่าวขึ้นมา “พระวรกายฉีอ๋องมีค่าดุจทองพันชั่ง ยามนี้ยงอ๋องยังหลบหนีอยู่ หากองค์ชายนำตนไปเสี่ยงอันตราย เกิดเป็นอันใดไปขึ้นมา ไยมิใช่ทำให้รัชทายาทกังวล อยู่ที่นี่เสียดีกว่า ขอเพียงองค์ชายเขียนสารหนึ่งฉบับสั่งการกองทัพขององค์ชายให้รีบเร่งเดินทัพมายังพระราชฐานก็พอ มิทราบว่าองค์ชายจะยอมช่วยเหลือรัชทายาทหรือไม่”
หลี่เสี่ยนเอ่ยอย่างเย็นชา “ผู้ใดมิทราบว่ากองทัพของยงอ๋องกำลังจับจ้องตาเป็นมัน หากกองทัพของข้าเคลื่อนพล เกรงว่าจะทำให้พวกเขาเคลื่อนไหว เส้าฟู่ไม่กังวลว่าจะอวดฉลาดกลับกลายเป็นเสียโง่หรือ”
หลู่จิ้งจงหัวเราะ “กองทัพองครักษ์ของยงอ๋องโง่เง่าไม่เฉลียวใจ ถึงอย่างนั้นแม้รัชทายาทจะส่งคนไปไล่ล่าสังหารยงอ๋องแล้ว และกองทัพตระกูลฉินก็ใกล้จะเดินทางไปโอบล้อมกวาดล้างแล้ว แต่หากโชคไม่ดีปล่อยให้ยงอ๋องรวมตัวกับกองทัพของตนได้ การสู้รบก็คงยุ่งยากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นรัชทายาทจึงหวังให้องค์ชายส่งกองทัพไปสังหารทัพของยงอ๋องให้สิ้น กองทัพขององค์ชายกับกองทัพของยงอ๋องกำลังทหารใกล้เคียงกัน ความเก่งกาจก็สูสีทัดเทียม เชื่อว่าองค์ชายจักต้องได้สะบัดธงประกาศชัยชนะเป็นแน่ ต่อให้องค์ชายมิอาจคว้าชัยได้ตอนนี้ หลังจากรัชทายาทบัญชาให้กองทัพตระกูลฉินสังหารยงอ๋อง นำศีรษะของยงอ๋องเดินทางไปช่วยองค์ชายปราบกองทัพกบฏ ถึงเวลาองค์ชายย่อมเป็นขุนนางผู้สร้างความชอบมากที่สุดในการช่วยองค์จักรพรรดิ รัชทายาทจักต้องตบรางวัลอย่างงามแน่นอน”
หลี่เสี่ยนมองลึกลงไปในดวงตาของหลู่จิ้งจง ในใจคิดว่าคนผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมจริง จะให้ตนไปทำลายกองทัพของยงอ๋อง ถึงเวลาแม้ตนโชคดีทำสำเร็จ แต่ไม่ตายก็คงบาดเจ็บหนัก ส่วนกองทัพของยงอ๋องกับตนส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ชายแดน กองทัพตระกูลฉินที่พิทักษ์เมืองหลวงก็ภักดีเพียงองค์จักรพรรดิ ขอเพียงคุมตัวเสด็จพ่อได้ก็รับประกันได้ว่าหลี่อันจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ ทว่าหลี่เสี่ยนมิเปิดโปงความคิดโหดเหี้ยมของคนผู้นี้ เพียงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ได้ ข้าเขียนสารสั่งเคลื่อนกองทัพให้ แต่รัชทายาทต้องรับปากเงื่อนไขของน้องสองสามข้อ”
หลี่อันยินดียิ่งนักเอ่ยว่า “น้องหกเชิญพูด”
หลี่เสี่ยนเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ประการแรก มิว่าพวกเราแย่งชิงราชบัลลังก์กันเช่นไร แต่อย่าให้คราวเคราะห์ตกไปถึงลูกเมีย ข้าไม่สนความเป็นความตายของพี่รอง แต่พี่สะใภ้รองกับหลานชาย ห้ามท่านสังหาร”
หลี่อันขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยว่า “ตัดหญ้ามิถอนราก น้องหกใจอ่อนเกินไปแล้ว หากน้องรองชนะ ลูกเมียของพวกเราก็มีแต่ตายสถานเดียวเช่นกัน”
หลี่อันเงียบไม่พูดจา หลู่จิ้งจงลอบส่งสายตา หลี่อันจึงได้แต่ฝืนพยักหน้า “ตามใจเจ้า”
หลี่เสี่ยนคลี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เงื่อนไขประการที่สอง หากเสด็จ็จจพี่สืบทอดบัลลังก์ จะปลดพี่สะใภ้กับซื่อจื่อเพราะความดีความชอบของสำนักเฟิงอี้มิได้”
หลี่อันตอบทันที “เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา ข้าก็คิดเช่นนี้อยู่แล้ว”
หลี่เสี่ยนเอ่ยต่ออย่างนิ่งสงบ “เงื่อนไขข้อที่สาม ข้าทราบว่าก่อนนี้รัชทายาทไม่พอใจข้าอยู่บ้าง ขอรัชทายาทอย่าชำระความหลังเสร็จงาน”
หลี่อันเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “จะทำอย่างนั้นได้เช่นไรเล่า น้องหก เจ้าช่วยข้าชิงราชบัลลังก์มาได้ ข้าย่อมไม่สนองโทษตอบแทนคุณแน่นอน”
หลี่เสี่ยนพยักหน้าเอ่ยว่า “ยังมีเงื่อนไขเล็กๆ อีกข้อหนึ่ง ยามนี้ข้าถูกคุมขังด้วยยา แม้แต่ลงจากเตียงยังยากเย็น คลายพิษให้ข้าก่อนค่อยว่ากัน”
หลี่อันเหลือบมองเซียวหลาน เซียวหลานลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หม่อมฉันมีเพียงยาแก้ที่ทำให้ท่านอ๋องเคลื่อนไหวได้ดั่งใจชั่วคราว หากจะฟื้นฟูวรยุทธ์ เกรงว่าต้องรอให้อาจารย์มาถึงจึงจะทำได้”
หลี่อันหันไปมองฉีอ๋อง กังวลว่าเขาจะเปลี่ยนท่าทีเพราะเหตุนี้ แต่ผู้ใดจะคิดว่าหลี่เสี่ยนเพียงเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ข้าก็แค่นอนอยู่บนเตียงจนเบื่อเท่านั้น เดิมก็ไม่รีบร้อนฟื้นฟูวรยุทธ์อยู่แล้ว”
เซียวหลานสีหน้าผ่อนคลายลงแล้วหยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาส่งให้หลี่เสี่ยน หลี่เสี่ยนรับยาลูกกลอนมาแล้วกินลงไป ผ่านไปครู่เดียวก็รู้สึกว่าพละกำลังค่อยๆ ฟื้นกลับมา จากนั้นจึงเดินไปหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ สะบัดมือครู่เดียวก็เขียนสารฉบับหนึ่งจนเสร็จแล้วหมุนตัวเดินออกไป
หลี่เสี่ยนก้าวเท้าบนทางเดินพระราชวัง สีหน้าผ่อนคลายสบายใจคล้ายไม่มีเรื่องราวในใจอันใดอีก เขาไม่นั่งเกี้ยว แต่เดินทอดน่องไปยังอุทยานเซวียนหวา ฉินเจิงเห็นเขามีความสุข ในใจก็สุขยิ่งนักด้วย จึงเดินเอื่อยเฉื่อยไปด้วยกันกับเขา
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดสนใจทหารแบกเกี้ยวทั้งหลายที่ผ่อนความเร็วลง แล้วเปลี่ยนเส้นทางไปยังอุทยานหันเซียงที่อยู่ใกล้ๆ
สถานที่แห่งนี้เงียบเหงาอย่างยิ่ง ราชองครักษ์ที่คอยเฝ้าก็มีไม่มาก ทั้งสี่คนเลือกจุดที่มิดชิดแห่งหนึ่งซ่อนเกี้ยวเอาไว้ จากนั้นทะยานร่างเข้าไปในอุทยานหันเซียง หลังเข้าไปสำเร็จ คนหนึ่งก็คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก ส่วนสามคนเข้าไปด้านในอุทยานหันเซียงแล้วตรวจสอบรอบด้านอย่างเงียบเชียบ คนที่ตรวจห้องบรรทมขององค์หญิงเป็นสถานที่สุดท้ายทำสัญลักษณ์มือท่าหนึ่ง อีกสองคนพลันทะยานร่างเข้าไปทันที คนหนึ่งในนั้นผลักประตูห้องบรรทมแผ่วเบา หลังจากนั้นแฉลบหลบในพริบตา
ต่งเชวียที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงดัง ทั่วทั้งร่างก็พลันตื่นตัว เมื่อหันหลังกลับไปมองก็เห็นว่ามีนายทหารสองคนพุ่งเข้ามาแล้ว ต่งเชวียร่ำร้องว่าแย่แล้วอยู่ในใจ หรือว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงจะปูดความลับออกไป แต่หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงมีทหารมาเพียงสองนายเล่า เขามิกล้าส่งเสียงและไม่มีเวลาสนใจเจียงเจ๋อที่สลบไม่ได้สติ ทำได้แต่ชักกระบี่กระโจนใส่นายทหารทั้งสองคน
ทหารทั้งสองนายนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง พวกเขาชักดาบสวนกลับพร้อมกัน ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบกริบไม่ส่งเสียง เพิ่งประมือกันสองสามกระบวนท่า บาดแผลที่ต่งเชวียได้รับมาเมื่อครู่ก็เริ่มมีเลือดซึม เขาเริ่มต้านไม่ไหว ทันใดนั้น นายทหารอีกคนหนึ่งก็พุ่งหลบการต่อสู้ของทั้งสามคนจนไปถึงข้างเตียงแล้วก้มมองดูหน้าตาของเจียงเจ๋อ ครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าทำสัญลักษณ์มือท่าหนึ่ง ทหารทั้งสองนายนั้นต่างสีหน้าฮึกเหิมทันควัน เพลงดาบยิ่งดุดันขึ้นอีก ทหารคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “พวกเราคือลูกน้องของฉีอ๋อง มิว่าท่านมีสถานะใดที่จวนยงอ๋อง น่าจะทราบว่าฉีอ๋องมิเคยมีเจตนาร้ายต่อใต้เท้าเจียง ยามนี้พวกท่านตกอยู่ในแดนอันตราย มิสู้มาอยู่ใต้ความคุ้มครองขององค์ชายชั่วคราวเป็นเช่นไร”
ต่งเชวียแววตาวูบไหว เพลงกระบี่ยิ่งสับสน ทหารสองนายนั้นเห็นสภาพจึงหยุดมือไม่โจมตีต่อ เพียงแค่ป้องกันกระบวนท่าของต่งเชวียเท่านั้น ต่งเชวียหยุดตามแล้วมองไปข้างเตียง แม้ทหารนายนั้นเอ่ยอย่างเป็นมิตร ทว่าเมื่อเห็นมือของเขาวางอยู่บนด้ามดาบขณะยืนอยู่ข้างตัวเจียงเจ๋อ ต่งเชวียก็รู้ว่าไม่มีทางให้ขัดขืนแล้ว แต่เขารู้ดีว่าตัวตนของตนจะให้ผู้คนล่วงรู้มิได้ หากพบหน้าฉีอ๋องคงมีแต่ผลร้ายไม่มีผลดี คิดเพียงครู่เดียวเขาก็พลันหมุนตัวพุ่งออกจากห้องบรรทม ทหารหลายนายนั้นต่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าเขาจะทิ้งนายหนีเอาตัวรอด ตอนที่ทหารสองนายไล่ตามออกจากประตูมา ต่งเชวียผู้มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศก็หายไร้ร่องรอยนานไปแล้ว ทั้งสามคนหารือกันครู่หนึ่งก็สรุปว่า มิว่าต่งเชวียจะเป็นอย่างไรก็คงไม่อาจเที่ยวไปเปิดเผยความลับได้ กลับกัน ในเมื่อได้เจียงเจ๋อมาอยู่ในมือแล้วรีบกลับเร็วหน่อยจะดีกว่า
พวกเขาแบกเจียงเจ๋อที่หมดสติออกมาด้านนอกแล้วซ่อนเขาไว้ในเกี้ยว หลังจากนั้นจึงแบกเกี้ยวกลับไปยังอุทยานเซวียนหวาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ระหว่างทางไม่มีผู้ใดสักคนสนใจการกระทำของพวกเขา