ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 64 สถานการณ์พลิกผัน (2)
เซี่ยโหวหยวนเฟิงมองซ้ายขวาครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงเบา “องค์หญิง ท่านเลอะเลือนเสียแล้ว เรื่องนี้เป็นมาอย่างไร พวกเราล้วนรู้ดีแก่ใจ หากรัชทายาทถือศีรษะยงอ๋องมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทยามนี้ ฝ่าบาทพิโรธทำสิ่งใดไม่เหมาะสมขึ้นมา เรื่องแพร่ออกไปย่อมไม่ดี แม้ผู้น้อยตำแหน่งต้อยต่ำ แต่อยู่ข้างพระวรกายมาหลายปีจึงคุ้นเคยกับนิสัยของฝ่าบาทพอสมควร ใต้เท้าเส้าฟู่จึงให้ข้ามาเกริ่นกับฝ่าบาทไว้ก่อน รอจนฝ่าบาทคลายโทสะ ใจเย็นลงแล้ว รัชทายาทจึงจะมาเข้าเฝ้าด้วยตนเองอีกครั้ง องค์หญิงอย่าได้เสียงดังไป ตอนนี้ยังไม่มีคนนอกล่วงรู้เรื่องนี้ แม้แต่กองทหารที่ไล่ล่าสังหารยงอ๋อง ข้าก็ยังไม่ได้ให้พวกเขากลับมา รอหลังจากฝ่าบาทตกลงสละบัลลังก์จึงจะประกาศข่าวการตายของยงอ๋องแก่ใต้หล้า”
หลี่หันโยวขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อะไรกัน เจ้าได้พบใต้เท้าหลู่แล้วหรือ”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงหัวเราะหยัน “องค์หญิง นี่ข้ามิได้จะตำหนิท่าน แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้ลงเรือลำเดียวกัน สิ้นวิหคซ่อนเกาทัณฑ์ องค์หญิงคิดจะซ่อนเกาทัณฑ์เสียแล้วหรือ ข้ามิได้อยากสร้างความลำบากให้สำนักท่าน ดังนั้นจึงไม่ได้ปล่อยใต้เท้าหลู่ออกมา ข้าเพียงต้องการหารือกับหลู่เส้าฟู่สองสามคำเท่านั้น ต่อให้เป็นพระชายาเซียวก็มิอาจขัดขวางอย่างไร้เหตุผล”
ดวงตาหงส์ของหลี่หันโยวทอประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง แม้จะเกลียดชังหลู่จิ้งจงยิ่งนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นวิธีที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อเห็นองครักษ์สองนายที่ยืนก้มหัวอย่างนอบน้อมอยู่หลังร่างเซี่ยโหวหยวนเฟิง หลี่หันโยวพลันเอ่ยว่า “เจ้าเข้าไปได้ องครักษ์สองนายนี้ไม่ได้”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด แล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ได้ พูดอย่างไม่เกรงใจสักหน่อยตอนนี้ยงอ๋องตายแล้ว พวกเราล้วนอยู่บนเรือของรัชทายาท ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเจ้าเตรียมโม่แป้งเสร็จฆ่าลาเมื่อใด องครักษ์สองคนนี้ของข้าเป็นองครักษ์คนสนิท วรยุทธ์ไม่เป็นรองข้า หากไม่มีพวกเขาคอยคุ้มกัน ข้าคงมิกล้าเข้าตำหนักเสี่ยวซวง”
หลี่หันโยวเข้าใจผิดคิดว่าองครักษ์สองนายนี้เป็นมือสังหารของนิกายจันทราจึงซ่อนหน้าซ่อนตา แน่นอนว่านี่เป็นผลลัพธ์จากการที่เซี่ยโหวหยวนเฟิงจงใจชี้นำให้นางเข้าใจผิด ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยเสียดสีว่า “เจ้าช่างรอบคอบเสียจริง เอาเถิด ข้าก็แค่ระวังสักหน่อยเท่านั้น จะทรยศหักหลังได้หรือไร เจ้าเข้าไปเถอะ แต่บอกไว้ก่อน หากเจ้าคิดเล่นเล่ห์ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้ ตอนนี้ศิษย์พี่เยี่ยน ศิษย์พี่เซี่ยของข้าล้วนอยู่ด้านใน พวกเจ้าสามคนไม่มีทางก่อเรื่องอันใดได้ จริงสิ เหวยอิงเล่า เขายังลาดตระเวนอยู่หรือ”
เซี่ยโหยวหยวนเฟิงหัวเราะ “สนใจเขาทำอะไร เป็นบุตรชายของอัครมหาเสนาบดีแท้ๆ แต่กลับจะมาแย่งชิงความชอบกับพวกเราเหล่านี้ ยามปกติทำตัวเป็นคนดีมีศีลธรรม ข้าดูแคลนเขานัก”
หลี่หันโยวขมวดคิ้วตอบว่า “เจ้าช่างจิตใจคับแคบเหลือเกิน เหวยอิงก็แค่ปิดบังสายตาเจ้าสำเร็จก็เท่านั้น หลังจากวันนี้พวกเจ้าล้วนต้องเป็นขุนนางในราชสำนักเดียวกัน อย่าแตกคอกันจะดีที่สุด”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงแค่นหัวเราะแล้วขานตอบ “รับบัญชา” หลี่หันโยวเห็นปากเขายิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาสง่างามแฝงแววเยาะหยัน แต่นางคิดว่าเขาเพียงริษยาเท่านั้นจึงมิได้พูดมาก เอ่ยว่า “เอาละ เจ้าเข้าไปเถอะ พวกฝ่าบาทล้วนพักผ่อนอยู่ในห้องอุ่นด้านในตำหนักหลักของตำหนักเสี่ยวซวง ตำหนักหลักเป็นที่ห้ามพวกเราเข้าไป เจ้าไปเข้าเฝ้าเองเถิด”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงเข้ามาในตำหนักเสี่ยวซวงได้ก็ผ่อนลมหายใจ เขากวาดสายตาจนรอบ การคุ้มกันแน่นหนายิ่งนัก ประตูตำหนักข้างฝั่งตะวันตกมีสตรีโฉมสะคราญผู้งามล้ำกว่าหญิงใดคนหนึ่งกำลังกุมกระบี่คู่กายมองมาทางตน เซี่ยโหวหยวนเฟิงรู้ว่าสตรีนางนั้นก็คือเยี่ยนอู๋ซวง เพราะนางไม่ชำนาญวิชาขี่ม้าจึงไม่ได้ติดตามเหวินจื่อเยียนไปไล่ล่ายงอ๋อง แต่มาช่วยหลี่หันโยวที่นี่ เขายิ้มละไมผงกศีรษะทักทายเยี่ยนอู๋ซวง เยี่ยนอู๋ซวงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกลับไปยังตำหนักข้าง เซี่ยโหวหยวนเฟิงจึงเดินไปยังประตูตำหนักหลัก จากนั้นเคาะประตูเอ่ยว่า “กระหม่อมเซี่ยโหยวหยวนเฟิง ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ตำหนักหลักของตำหนักเสี่ยวซวง นอกจากพระที่นั่งทองคำด้านหน้า ด้านหลังยังมีห้องอุ่นอีกหกห้อง ยามนี้พวกหลี่หยวนล้วนพักผ่อนอยู่ด้านใน มีเพียงพวกองครักษ์ ฉินอี๋กับเฉิงซูที่ผลัดเวรกันเฝ้าอยู่ตรงพระที่นั่งทองคำ สิ่งนี้ทำเพื่อป้องกันกบฏบุกเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยโหวหยวนเฟิง เฉิงซูผู้รับผิดชอบเฝ้าเวรกลางคืนก็ขมวดคิ้ว หากเป็นฉินอี๋อาจหน้าบึ้งบอกให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงมาใหม่ตอนฟ้าสว่าง แต่เฉิงซูเป็นผู้ที่มีนิสัยยืดหยุ่นที่สุด ยามนี้ล่วงเกินเซี่ยโหวหยวนเฟิงอย่างไม่มีเหตุย่อมไม่มีความหมายอันใด เขาจึงเดินไปที่ประตูตำหนัก แล้วให้องครักษ์ที่เฝ้าอยู่เปิดประตู
ประตูเปิดออก เฉิงซูเห็นเซี่ยโหวหยวนเฟิงกับองครักษ์ที่ก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านหลังเขาสองนาย เขากำลังจะเอ่ยปากพูดให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงเข้ามาคนเดียว องครักษ์คนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เฉิงซูตกตะลึง ก่อนจะได้สติในทันใด จากนั้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เข้ามาสิ หากเจ้าคิดจะอาศัยลูกน้องสองคนใช้แผนสกปรก ตาเฒ่าเฉิงคนนี้จะไม่ละเว้นขุนนางเนรคุณที่ทรยศความเมตตาของฝ่าบาทเช่นเจ้า”
พวกเซี่ยโหวหยวนเฟิงสามคนเข้าไปด้านในตำหนักหลัก ประตูตำหนักปิดลงอีกครั้ง เฉิงซูกำลังจะเอ่ยวาจา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ผ่านลมผ่านฝนมามาก จึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาทยังทรงพักผ่อนอยู่ ตอนนี้คงไม่ต้องมีพิธีรีตองระหว่างเจ้าแผ่นดินขุนนางอันใดอีกแล้ว พวกเจ้าตามข้าเข้าไปเถิด” กล่าวจบก็นำพวกเซี่ยโหวหยวนเฟิงสามคนเข้าไปด้านหลัง องครักษ์เหล่านั้นแม้ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถามมากความ
ห้องอุ่นที่ฝ่าบาททรงพักผ่อนมีการเฝ้าระวังด้านนอกอย่างเข้มงวด จ่างซุนกุ้ยเฟย เหยียนกุ้ยเฟยกับองค์หญิงฉางเล่อพักอยู่ที่ห้องอุ่นอีกห้องหนึ่ง เฉิงซูพาพวกเซี่ยโหวหยวนเฟิงสามคนเดินมาถึงหน้าประตูห้องอุ่น องครักษ์เหล่านั้นใช้สายตาระแวดระวังมองเซี่ยโหวหยวนเฟิง พวกเขาล้วนรู้ว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงเป็นพวกเดียวกับรัชทายาท เวลานี้ประตูห้องอุ่นก็เปิดออก เหลิ่งชวนก้าวออกมา สายตาแฝงแววเป็นอริ เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ฝ่าบาทถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
องครักษ์ผู้นั้นที่ยืนอยู่ด้านหลังทางขวาของเซี่ยโหวหยวนเฟิงเงยหน้าขึ้นแล้วปลดหมวกลง จากนั้นเอ่ยว่า “หลี่ซุ่นจากจวนยงอ๋องรับบัญชาองค์ชาย เดินทางมาคารวะฝ่าบาท”
เหลิ่งชวนดวงตาเป็นประกาย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านก็คือเงามารหลี่ซุ่นหรือ” เด็กหนุ่มผู้นี้หน้าตาเกลี้ยงเกลา แววตาเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง แต่เสียงนุ่มนวล สอดพ้องกับรูปลักษณ์ของเงามารหลี่ซุ่น แต่เหลิ่งชวนก็ยังคงใช้สายตาตั้งคำถามมองไปหาเฉิงซูกับฉินอี้ที่รีบเร่งมาจากห้องอุ่นด้านข้าง สายตาของทั้งสองคนมองสำรวจหลี่ซุ่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้ายืนยัน
เหลิ่งชวนเข้าไปด้านในครู่หนึ่งก็ออกมากล่าวว่า “ฝ่าบาทเรียกหลี่ซุ่นกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงเข้าเฝ้า แม่ทัพใหญ่กับเว่ยกั๋วกงก็เชิญเข้าไปด้วย”
หลี่ซุ่นกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงเดินเข้าไป สองวันมานี้หลี่หยวนจักรพรรดิแห่งต้ายงร้อนใจจนแลดูแก่ชราขึ้นกว่าเดิม เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เขาจึงเข้านอนพร้อมเสื้อผ้า เวลานี้เขานั่งอยู่บนพระแท่นบรรทม สายตามีความหวัง เอ่ยว่า “ยามนี้จื้อเอ๋อร์เป็นเช่นไร”
หลี่ซุ่นอยู่ในวังหนานฉู่มาหลายปีย่อมรู้ขนบธรรมเนียม เขาก้าวเข้าไปคุกเข่ากราบทูล “บ่าวหลี่ซุ่น รับบัญชายงอ๋องเดินทางมาคารวะ ยามนี้ยงอ๋องรวมพลกับแม่ทัพฉินหย่งแล้ว ทหารกบฏที่ไล่ล่าสังหารองค์ชายถูกประหารสิ้นทั้งกองทัพ องค์ชายตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่ป้อมผิงหยวน ยามนี้เคลื่อนทหารมายังพระราชวังเลี่ยกงได้ทันที แต่องค์ชายเป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาท จึงตั้งใจส่งบ่าวเดินทางมารายงาน”
พระพักตร์ของหลี่หยวนปีติยินดี เมฆครึ้มที่ปกคลุมมาตลอดในที่สุดก็เริ่มมลายหาย พระองค์อดมิไหวกระโดดลงจากเตียง แล้วเดินวนอยู่หลายรอบ “เซี่ยโหว เจ้าเป็นมาอย่างไร เหตุใดจึงพาผู้ส่งสารของยงอ๋องเข้ามา”
เซี่ยโหวหยวนเฟิงย่อมไม่โง่เขลาจนเล่าความจริง เขากล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมผูกมิตรกับรัชทายาทก็เพราะรัชทายาทเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่มิได้มีจิตใจคิดทรยศ ดังนั้นเมื่อรัชทายาทส่งกระหม่อมไปประกาศพระราชโองการเพื่อเคลื่อนกำลังทหารใต้บัญชาของแม่ทัพฉินหย่ง กระหม่อมจึงนำพระราชโองการลับของฝ่าบาทที่ใต้เท้าเจียงเจียงเจ๋อซือหม่าของยงอ๋องมอบให้ไปด้วย แม่ทัพฉินหย่งภักดีไม่มีใจคิดเป็นอื่นจึงส่งทหารไปช่วยยงอ๋องทันที หลังจากได้พบองค์ชาย กระหม่อมจึงรับบัญชาแฝงตัวกลับมาที่พระราชวังเลี่ยกงเพื่อประสานจากด้านใน” แม้คำพูดนี้ของเขามิใช่ความจริงทั้งหมด แต่ในเมื่อเขาสร้างความชอบครั้งใหญ่ไว้ จึงไม่มีผู้ใดคิดเปิดโปงเขา
หลี่หยวนคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า ตลอดมาเขากลัดกลุ้มเรื่องกบฏมาตลอด เวลานี้เมื่อสถานการณ์ส่อเค้าจะคลี่คลาย เขาจึงอดไม่ได้ คิดขึ้นมาว่าเจียงเจ๋อซือหม่าของยงอ๋องเหตุใดจึงร้องขอตราประทับของพระองค์ผ่านฉางเล่อได้ หรือคำร่ำลือในวังก่อนหน้านี้ที่ว่าฉางเล่อกับคนผู้นั้นมีใจให้กันจะเป็นเรื่องจริง แต่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนผู้นั้นเป็นขุนนางเชลยจากหนานฉู่ ฐานะไม่เหมาะสมกับฉางเล่อ ยังเคยได้ยินอีกว่าคนผู้นี้ร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก แม้เจียงเจ๋อสร้างความชอบใหญ่หลวงในครานี้ จะพระราชทานสมรสให้มิใช่จะไม่ได้ แต่คนผู้นี้ร่างกายอ่อนแอป่วยออดแอดจะมอบความสุขให้ฉางเล่อได้เช่นไร อย่าเลย ใช้วิธีอื่นให้รางวัลเขาก็แล้วกัน เชื่อว่าเขาเองก็คงมิกล้าฝ่าฝืนขนบประเพณีสู่ขอองค์หญิงเป็นภรรยาเหมือนกัน
หลังจากขบคิดในใจจนได้ข้อสรุป หลี่หยวนก็สั่งให้ปลุกทุกคนแล้วไปรอคอยกองทัพของยงอ๋องอย่างสงบที่ห้องโถง เซี่ยโหวหยวนเฟิงหารือกับเหลิ่งชวนเสร็จก็หาช่องโหว่ที่จะปล่อยให้ยอดฝีมือสองสามคนด้านนอกลักลอบเข้ามาพบ เสี่ยวซุ่นจื่อกับเหลิ่งชวนสองคนลงมือด้วยกัน จัดการกุมตัวทหารราชองครักษ์สิบกว่านายเอาไว้ ต่อจากนั้นให้ทหารกองหนุนที่มาด้วยกันกับพวกเขาเข้ามา แม้ทำเช่นนี้จะเสี่ยงอันตรายอย่างมาก ทว่ายงอ๋องกำลังจะเคลื่อนพลแล้วจึงไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ หลังจากซ่อนคนเหล่านี้ไว้ชั่วคราว เซี่ยโหวหยวนเฟิงก็รีบไปรับมือคนของสำนักเฟิงอี้ที่เริ่มนึกสงสัย
จี้กุ้ยเฟยสีหน้าเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง นางยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก ยืนกรานจะเข้าไปให้ได้ นางอยู่ในวังมานานปี คุ้นเคยกับเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายมานานแล้ว เมื่อฟังเยี่ยนอู๋ซวงเล่าเรื่องนี้ แม้นางรู้สึกว่าสมเหตุสมผล แต่นางก็นึกสงสัยยิ่งนักว่าเหวินจื่อเยียนมีหรือจะปล่อยให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงฉกฉวยผลประโยชน์ไปได้ นางมุ่งหน้ามาที่ตำหนักหลักเพื่อตรวจสอบให้ชัด ตั้งใจไว้ว่ายอมฆ่าผิดคนดีกว่าปล่อยเอาไว้
ฉินอี๋กับเฉิงซูขวางอยู่หน้าประตูตำหนักมิให้นางเข้าไป แม้ทั้งสองคนบอกว่าฝ่าบาทมิอยากพบหน้านาง แต่จี้เสียกลับตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะต้องพบหลี่หยวนกับเซี่ยโหวหยวนเฟิงให้ได้ สำหรับนางแล้ว หากเซี่ยโหวหยวนเฟิงพูดความจริง ถ้าเช่นนั้นตนเองทำเช่นนี้อย่างมากที่สุดก็ล่วงเกินเซี่ยโหวหยวนเฟิงเท่านั้น นางไม่เห็นคนของพรรคมารอยู่ในสายตา แต่หากเป็นคำลวง ถ้าเช่นนั้นตนเองอาจจะยังกู้สถานการณ์ได้อยู่
ด้วยเหตุนี้ ถ้อยคำของนางจึงยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที หลี่หันโยว เยี่ยนอู๋ซวง เซี่ยเสี่ยวถงก็ล้วนถูกนางเรียกมาด้วย แม้ทั้งสามคนยังไม่เห็นด้วยกับความคิดของจี้เสีย แต่ในเมื่อมีศัตรูร่วมกัน อย่างน้อยพวกนางก็ไม่คิดคัดค้านการตัดสินใจของจี้เสีย
ในตอนนี้เอง ด้านนอกพระราชวังเลี่ยกงพลันมีเสียงแตรกึกก้อง กองทัพของยงอ๋องมาถึงแล้ว เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามกองทัพใหญ่ก็อาศัยรัตติกาล ลดธงหยุดตีกลองศึก ลอบเข้ามาประชิดพระราชวังเลี่ยกงอย่างเงียบเชียบ เพราะภายในพระราชวังเลี่ยกงมีคนที่ภักดียอมถวายหัวให้สำนักเฟิงอี้ไม่มาก ดังนั้นสำนักเฟิงอี้จึงจำต้องละทิ้งการลาดตระเวนรอบนอก แล้วยงอ๋องยังให้ทหารทั้งกองทัพคาบแผ่นไม้ อาชาปลดกะพรวน กีบเท้าม้าก็ใช้ผ้าหนาหุ้มเอาไว้ จนมาถึงนอกพระราชวังเลี่ยกงยามรุ่งสาง ด้านในพระราชวังก็ยังมิมีผู้ใดล่วงรู้ ยามแสงแรกโผล่พ้นขอบเมฆ ยงอ๋องจึงให้สัญญาเป่าแตรศึก ยกพลเข้าโจมตี ทหารราชองครักษ์ด้านในพระราชวังเลี่ยกงเดิมก็คลางแคลงใจอย่างยิ่งอยู่แล้วจึงไม่มีจิตใจจะสู้แม้แต่น้อย ขณะที่กองทหารที่ยงอ๋องนำมามีเป้าหมายชัดเจน เพียงครู่เดียวจึงบุกทะลวงเข้ามาถึงในพระราชวังเลี่ยกง