ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 66 ศึกตำหนักเสี่ยวซวง (2)
ตอนนี้เอง ยงอ๋องพลันแหวกผู้คนเดินเข้ามา สายตาเย็นยะเยือกของเขาตวัดผ่านร่างของคนสำนักเฟิงอี้กับหลี่อัน แล้วคำนับหลี่หยวนพลางเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ ลูกมาช่วยเหลือช้า ขอเสด็จพ่อโปรดอภัย”
หลี่หยวนตรัสอย่างปลื้มปีติ “จื้อเอ๋อร์ เจ้าปลอดภัย แม่ทัพฉิน เจ้าน้อมรับราชโองการลับของข้าแล้วเดินทางมาช่วยเหลือ ในใจข้าปลื้มปีติยิ่งนัก เอาละ พวกเจ้ามิต้องสนใจข้า สังหารกบฏเหล่านี้เสียให้หมด”
หลี่จื้อยิ้มเจื่อน แม้หลี่หยวนตรัสเช่นนี้ แต่เขาก็มิกล้าทำ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยว่า “เสด็จพ่อมิต้องกังวลพระทัย ยามนี้กบฏเหล่านี้ล้วนติดอยู่ในกับดักแล้ว ขอเสด็จพ่อรักษาพระวรกาย เมื่อลูกจับกุมพวกนางแล้วจะถวายให้เสด็จพ่อลงโทษ”
หลี่หันโยวเอ่ยเสียงเย็นชา “องค์ชายอย่าได้ใจเกินไปนัก แม้พวกเราล้มเหลว แต่ฝ่าบาทกับรัชทายาทยังอยู่ที่นี่ หากองค์ชายต้องการฉวยโอกาสสังหารบิดา สังหารพี่ชาย ถ้าเช่นนั้นก็สั่งโจมตีได้เลย ถึงเวลาจะได้กำจัดอุปสรรคทิ้ง ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเราก็มาเจรจากันดีๆ เถิด จะได้รักษาเสด็จพ่อกับเสด็จพี่ของท่านไว้”
หลี่จื้อทราบว่าต้องเป็นเช่นนั้น แต่เขารังเกียจการกระทำของหลี่หันโยวยิ่งนัก สายตากวาดมองบนร่างของคนสำนักฟิงอี้รอบหนึ่ง สุดท้ายก็จับอยู่ที่จี้กุ้ยเฟย เขายิ้มเล็กน้อยเอ่ยว่า “ไม่ทราบพระสนมกุ้ยเฟยมีความเห็นเช่นไร หากมากเกินไป เกรงว่าแม้เสด็จพ่อกับข้าจะยอม แต่ทหารเหล่านี้คงไม่ยอม ก่อกบฏมีโทษหนักประหารเก้าชั่วโคตร หากข้ายอมให้ทำตามใจเกินไป ราชสำนักกับประชาชนคงตำหนิ เป็นที่หัวเราะเยาะของใต้หล้า”
แววตาของจี้กุ้ยเฟยแปรเปลี่ยนจากขุ่นมัวเป็นดำทะมึน นางเอ่ยอย่างเย็นชา “หากจะประหารเก้าชั่วโคตร ฝ่าบาทกับท่านก็หนีไม่พ้นคำติฉินอยู่ดีมิใช่หรือ ตอนนี้พูดถึงคำติฉินอันใดล้วนไร้สาระ ขอเพียงองค์ชายเปิดทางรอดให้ พวกเราย่อมไม่ทำร้ายฝ่าบาท”
ดวงตายงอ๋องเป็นประกาย เอ่ยว่า “หากตอนนี้ข้าเปิดทางให้หนี พวกเจ้าก็จะยอมจากไปเช่นนี้หรือ”
จี้กุ้ยเฟยชะงัก หากจากไปเช่นนี้แล้วยงอ๋องกลับคำ พวกตนเหล่านี้ไยมิใช่ต้องตกตายกันหมด รักษาสัตย์พูดไม่คืนคำอันใด นางไม่เชื่อสักนิดว่ายงอ๋องจะไม่โยนหินซ้ำเติม ตอนนี้เอง หลี่หันโยวพลันเอ่ยอย่างเย็นชา “นี่จะมีสิ่งใดยาก หากองค์ชายเปิดทางให้แล้วเอาองค์หญิงฉางเล่อเป็นตัวประกัน มิใช่พอใจทั้งสองฝ่ายหรือ” กล่าวจบ สายตาเปี่ยมจิตสังหารพลันมองไปทางองค์หญิงฉางเล่อ
นางเป็นคนฉลาดเฉลียว ราชโองการลับที่หลี่หยวนเอ่ยถึงกับการหักหลังของเซี่ยโหวหยวนเฟิงย่อมเป็นสาเหตุที่ฉินหย่งนำทัพมาปราบกบฏ แต่ราชโองการลับนี่ตกไปอยู่ในมือเซี่ยโหวหยวนเฟิงได้เช่นไร คิดมาคิดไปก็มีเพียงองค์หญิงฉางเล่อเท่านั้นที่เคยส่งคนออกไปจากตำหนักเสี่ยวซวง ในห้วงเวลานี้ที่ลาภยศสลายกลายเป็นฟองอากาศ หลี่หันโยวชิงชังองค์หญิงฉางเล่อสุดหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น แม้หลี่หันโยวจะมีฐานะเป็นองค์หญิงเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับองค์หญิงฉางเล่อผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่แท้จริงแล้ว แม้หลี่หันโยวจะทะนงตัวว่าเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมความสามารถ แต่ในใจกลับหวาดกลัวและริษยาอยู่เสมอ ดังนั้นนางจึงเสนอให้ใช้องค์หญิงฉางเล่อเป็นตัวประกัน
ถึงแม้นางจะเสนอขึ้นมาด้วยความต้องการส่วนตัว แต่ผู้คนของสำนักเฟิงอี้กลับฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี ความรักที่หลี่หยวนมีต่อองค์หญิงฉางเล่อ ทุกคนล้วนรู้กันทั่ว นางย่อมเป็นตัวเลือกตัวประกันที่ดีที่สุดจริงดังว่า
หลี่หยวนกับหลี่จื้อต่างโกรธจัด พวกเขาต่างละอายใจต่อฉางเล่อเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับหนานฉู่อยู่แล้ว จะตัดใจให้นางเป็นตัวประกันอีกได้เช่นไร ดังนั้นจึงเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่ได้”
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกจากปาก สถานการณ์ในตำหนักพลันตึงเครียด หลี่หยวนกับหลี่จื้อสบตากัน รู้สึกว่ายามนี้ความคิดของพวกตนสองพ่อลูกใกล้เคียงกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เมื่อหลี่จื้อเห็นสีหน้าไม่ยอมประนีประนอมบนใบหน้าของศิษย์สำนักเฟิงอี้เหล่านั้นก็ปวดหัว อดคิดในใจไม่ได้ว่า ข้าให้คนไปตามหาเจียงเจ๋อแล้ว ทำไมยังหาไม่พบอีก หากสุยอวิ๋นอยู่ที่นี่ บางทีอาจมีวิธีการดีๆ อันใดคลี่คลายสถานการณ์ตอนนี้ก็เป็นได้
ก่อนเข้ามาในพระราชวัง ยงอ๋องส่งคนสนิทไปตามหาเจียงเจ๋อแล้ว เจียงเจ๋อมิเกรงกลัวความตาย รั้งอยู่ในสถานที่อันตราย บัญชาการจากเบื้องหลังจนพลิกสถานการณ์ได้ เวลานี้หลี่จื้อรู้สึกขอบคุณเจียงเจ๋ออย่างที่สุด ดังนั้นจึงออกคำสั่งว่าหากพบตัวเจียงเจ๋อให้มารายงานทันที ทว่าตราบจนบัดนี้ก็ยังไร้วี่แวว ยงอ๋องเป็นห่วงความปลอดภัยของเจียงเจ๋อตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
นับตั้งแต่นาทีที่ยงอ๋องบุกเข้ามาในพระราชวังเลี่ยกง ข้าก็ถูกชายฉกรรจ์สี่คนจ้องเขม็ง องครักษ์ข้างกายที่ฉีอ๋องเชื่อใจที่สุดเหล่านี้กังวลอย่างยิ่งว่ายงอ๋องจะฉวยโอกาสชุลมุนส่งคนมาทำร้ายฉีอ๋อง ดังนั้นจึงเกลี้ยกล่อมให้ฉีอ๋องหลบหนีตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ทว่ากลับถูกฉีอ๋องปฏิเสธอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ พวกเขาจนปัญญา จึงได้แต่จับจ้องข้าเขม็ง
องครักษ์สี่นายนี้รู้น้ำหนักของเจียงเจ๋อในใจยงอ๋องดี พวกเขาจึงคิดในใจว่าหากจนหนทางจริงๆ จะใช้คนผู้นี้เป็นตัวประกัน ขอเพียงให้ฉีอ๋องได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทก็พอ ในเมื่อองค์ชายมิได้เข้าร่วมก่อกบฏ ถึงเวลาฝ่าบาทจะตำหนิองค์ชายเช่นไรก็คงไม่มีทางถึงขั้นทำอันตรายชีวิตขององค์ชาย
ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงเอะอะด้านนอกก็ค่อยๆ เงียบลง ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็มีคนมาเคาะประตูเสียงดัง ขันทีผู้คอยรับใช้ในอุทยานเซวียนหวาคนหนึ่งตัวสั่นระริกเดินไปเปิดประตู เมื่อประตูเปิดออก นายทหารกลุ่มหนึ่งก็ผลักขันทีผู้นี้ไปด้านข้าง แล้วเข้าควบคุมทุกส่วนของอุทยานเซวียนหวาอย่ารวดเร็ว แม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งสาวเท้าเข้ามาในตำหนักหลัก ฉีอ๋องกำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก ฝั่งนั้นคือทิศทางของตำหนักเสี่ยวซวง
แม่ทัพหนุ่มผู้นี้คำนับตามธรรมเนียมทหาร แม้ฉีอ๋องจะต้องสงสัยว่าร่วมก่อกบฏ แต่เขาต่างจากรัชทายาท ฉีอ๋องมีบารมีในกองทัพมากยิ่งนัก ความห้าวหาญกับความตรงไปตรงมาของเขาคว้าใจผู้คนไปครองมากมาย แม้เขาจะเสเพลเจ้าชู้และมีนิสัยเสียเรื่องได้ใหม่ลืมเก่า แต่ก็ไม่เคยมีพฤติกรรมแย่งชิงภรรยาหรืออนุภรรยาของผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้น แม้อนุภรรยาในจวนของเขาจะมีมากมาย แต่ก็ไม่เคยใช้กฎบ้านอันโหดร้ายควบคุม ขอเพียงอนุภรรยาหรือหญิงรับใช้นางใดต้องการก็ขออนุญาตออกจากจวนไปแต่งงาน ฉีอ๋องมิเพียงไม่สร้างความลำบากให้ ตรงกันข้ามยังจะมอบสินเดิมของเจ้าสาวให้อย่างบริบูรณ์
ต้นเหตุที่ฉีอ๋องตั้งกฎประการนี้มาจากเรื่องราวอันงดงามเรื่องหนึ่ง ในตอนนั้นจวนฉีอ๋องมีนางระบำที่ผู้อื่นมอบให้อยู่คนหนึ่ง หน้าตางามพิลาศยิ่งนัก ทว่าฉีอ๋องเชยชมเพียงไม่กี่ครั้งก็หมดความสนใจ บังเอิญว่าคนรักที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กของนางระบำผู้นี้ได้เข้ามาเป็นองครักษ์ในจวนฉีอ๋อง ถ่านไฟเก่าระหว่างทั้งสองคนลุกโชนขึ้นใหม่จนลักลอบมีสัมพันธ์กัน ทว่ากลับถูกองครักษ์อีกนายหนึ่งจับได้ องครักษ์นายนี้คิดจะใช้เรื่องนี้บีบบังคับให้นางระบำมีสัมพันธ์กับเขา คาดไม่ถึงว่านางระบำผู้นี้กลับยืนกรานปฏิเสธ ด้วยความโกรธเขาจึงลอบนำความไปบอกฉีอ๋อง ฉีอ๋องเรียกทั้งสองคนมาสอบสวนดังคาด หลังจากถามจนความจริงกระจ่าง จึงสั่งให้ลากองครักษ์ผู้นั้นออกไปโบยหลายสิบไม้ ยามนั้นทุกคนต่างคิดว่าฉีอ๋องคงจะโบยคู่รักคู่นี้จนตาย แต่คิดไม่ถึงฉีอ๋องลงโทษโบยองครักษ์ผู้นั้นจบยกหนึ่งก็ประทานนางระบำผู้นั้นให้แต่งเป็นภรรยาของเขา หลังจากนั้นยังแนะนำให้องครักษ์ผู้นี้ไปเป็นขุนนางฝ่ายทหาร กลับกัน องครักษ์ผู้นำความมาบอกคนนั้นกลับถูกฉีอ๋องไล่ออกจากจวน
หลังจากนั้นฉีอ๋องก็ตั้งกฎข้อนี้ขึ้นมา มีที่ปรึกษาบางคนทัดทานเขา บอกว่าการทำเช่นนี้ออกจะเสื่อมเสียเกียรติยศไปสักหน่อย ผู้ใดจะคิดว่าฉีอ๋องกลับหัวเราะ “ข้าได้ใหม่ลืมเก่า ผู้ใดมิรู้บ้าง สตรีเหล่านี้เฝ้าห้องหอเดียวดายอยู่ในจวนอ๋องของข้าไฉนมิน่าเวทนา มิสู้ให้พวกนางแต่งงานออกไปเสีย จะได้มิเปลืองเงินค่าข้าวของข้า”
แม้ขุนนางบุ๋นที่ครองตนอย่างเคร่งครัดจำนวนมากจะประณามฉีอ๋องอย่างหนักเพราะเรื่องนี้ แต่นายทหารกล้าในกองทัพกลับนับถือฉีอ๋องเพิ่มขึ้นเพราะเรื่องนี้ เหตุเพราะฉีอ๋องมักเรียกเหล่าทหารกล้าในกองทัพมาร่วมงานเลี้ยงอยู่บ่อยครั้ง แล้วในงานเลี้ยงก็มักให้อนุภรรยานางระบำข้างกายมาร้องเพลงเริงรำรินสุรา จนเกิดกรณีที่หญิงงามเหล่านั้นต้องตานายทหารและยินยอมแต่งเป็นภรรยาไปไม่น้อย
ดังนั้นแม้แม่ทัพผู้นี้จะรับบัญชามาคุมตัวฉีอ๋อง แต่กลับไม่ได้มีความเป็นอริมากมายนัก เขาเอ่ยเสียงฉะฉาน “ผู้น้อยเถียนหลงรับบัญชายงอ๋องเดินทางมาคุ้มกันฉีอ๋อง ยงอ๋องสั่งว่าขอองค์ชายอย่าได้ออกไปด้านนอก เพื่อไม่ให้ผู้ใดฉวยโอกาสยามสงครามชุลมุน”
ฉีอ๋องหันกายกลับมา ใบหน้าของเขาซีดขาวแต่สีหน้ากลับสงบยิ่งนัก เขาเอ่ยอย่างสุขุม “สถานการณ์ที่ตำหนักเสี่ยวซวงเป็นเช่นไร”
แม่ทัพผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ผู้น้อยมิทราบ”
เวลานี้เอง รองแม่ทัพก็เข้ามากระซิบข้างตัวเถียนหลง “ในตำหนักข้างมีองครักษ์ของฉีอ๋องหลายคนมิยอมวางอาวุธ”
เถียนหลงเหลือบมองฉีอ๋องแล้วกระซิบเสียงเบา “เรื่องนี้ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าว่าต้องทำเช่นไรอีกหรือ”
รองแม่ทัพเอ่ยด้วยท่าทางลำบากใจ “พวกเขาจับคนผู้หนึ่งเป็นตัวประกัน บอกว่าคือใต้เท้าเจียง เจียงเจ๋อซือหม่าของยงอ๋อง”
เถียนหลงตกตะลึง เขาถูกส่งมาคุมตัวฉีอ๋องย่อมหมายความว่าได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างมาก ดังนั้นเขาย่อมรู้ความสำคัญของเจียงเจ๋อ ยงอ๋องกำชับเหล่าแม่ทัพเป็นพิเศษว่าหากพบตัวเจียงเจ๋อต้องปกป้องคุ้มครองให้ดี เถียนหลงมองฉีอ๋องอย่างระแวดระวังแล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย ขอองค์ชายออกคำสั่งให้ผู้ใต้บัญชาอย่าขัดขืนได้หรือไม่”
หลี่เสี่ยนยิ้มละไมเอ่ยว่า “ข้าต้องการไปตำหนักเสี่ยวซวง มิทราบว่าแม่ทัพจะตัดสินใจได้หรือไม่”
เถียนหลงมีสีหน้าลำบากใจ เขาย่อมไม่มีอำนาจอนุญาตให้ฉีอ๋องไปตำหนักเสี่ยวซวง ทว่าเจียงเจ๋อถูกลูกน้องของฉีอ๋องจับเป็นตัวประกันอยู่ คราวนี้จะทำเช่นไรดีเล่า
เวลานี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงอ่อนโยนดังขึ้น “องค์ชาย ไยต้องทำเช่นนี้เล่า” แม้เห็นชัดว่าเรี่ยวแรงไม่ค่อยมี แต่น้ำเสียงก็แน่วแน่อย่างยิ่ง เถียนหลงกับรองแม่ทัพหันไปมองด้านนอก ก็เห็นบัณฑิตชุดเขียวผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า มีองครักษ์ของฉีอ๋องสองนายคอยประคอง องครักษ์อีกสองนายถือดาบคอยคุ้มกัน ในมือบัณฑิตผู้นั้นถือป้ายทองแผ่นหนึ่ง นั่นเป็นป้ายทองที่สลักว่า ‘ดุจจักรพรรดิเสด็จ’ เดิมทียามนี้ป้ายทองแผ่นนี้ไม่แน่ว่าจะใช้การได้ แต่มุมล่างขวาของป้ายทองกลับสลักอักษรตัวน้อยไว้แถวหนึ่ง เขียนว่า ‘พระราชทานแก่ยงอ๋องสกุลหลี่’ บ่งบอกว่าป้ายทองแผ่นนี้คือสิ่งที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้ยงอ๋อง ดังนั้นจึงมิมีผู้ใดกล้าขัดขวาง
เถียนหลงรู้ทันทีว่าบัณฑิตผู้นี้ก็คือเจียงเจ๋อซือหม่าของยงอ๋อง จึงรีบก้าวเข้าไปคารวะ
ข้าโบกมือให้แม่ทัพสองนายนั้นถอยไปด้านข้างแล้วเอ่ยว่า “องค์ชาย ยามนี้ผลแพ้ชนะปรากฏแล้ว มิอาจแก้สถานการณ์ได้อีก ท่านไยต้องไปตำนักเสี่ยวซวงเล่า”
หลี่เสี่ยนเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ก็เพราะผลแพ้ชนะปรากฏแล้ว ข้าจึงต้องไปดูสักหน่อย ท่านก็น่าจะเข้าใจ พระชายาของข้าอยู่ที่นั่น”
ข้าส่ายศีรษะ บางครั้งฉีอ๋องก็ช่างดื้อรั้นยิ่งนัก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดข้าก็เอ่ยว่า “ผู้น้อยกำลังจะไปตำหนักเสี่ยวซวง หากองค์ชายมิรังเกียจก็ไปด้วยกันกับผู้น้อยเถิด”
หลี่เสี่ยนสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลันแล้วเอ่ยว่า “ร่างกายของท่านสภาพเป็นเช่นไร ตนเองมิรู้ชัดอีกหรือ เวลานี้ยังจะอวดเก่งอันใด”
ข้ายิ้มละไมเอ่ยว่า “วันนี้คือวันที่ข้าเฝ้ารอทุกคืนวันเพื่อจะได้เห็น จะอดใจรออยู่ที่นี่ได้เช่นไร ขอองค์ชายให้ข้ายืมใช้เกี้ยวสักครั้ง”
หลี่เสี่ยนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา ก่อนจะเอ่ยว่า “ได้ ข้าอนุญาต”
พวกเถียนหลงเอ่ยอย่างตกตะลึง “องค์ชาย ใต้เท้า เรื่องนี้?”
ข้าชูป้ายทองแล้วเอ่ยว่า “อยู่ต่อหน้ายงอ๋อง มีโทษอันใดข้าจะรับผิดชอบเอง มิให้เกี่ยวพันถึงพวกท่าน” ทั้งสองคนจึงเงียบ
ในเวลานี้ ณ ทุ่งกว้างไกลออกไป เงาร่างสีขาวเลือนรางร่างหนึ่งกำลังพุ่งตรงมายังพระราชวังเลี่ยกงอย่างรวดเร็วประหนึ่งดาวตก สายลมสารทโชยพัด ผืนผ้าไหมขาวชิ้นหนึ่งเลื่อนหลุดร่วงลงบนผืนธรณี บนผืนผ้าไหมมีรอยคราบเลือดสีแดงฉาน