ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 67 รักเท่าห้วงสมุทร (1)
ภายในตำหนักเสี่ยวซวง การเจรจากำลังยืดเยื้อ ทันใดนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อผู้ยืนคุ้มกันจักรพรรดิต้ายงอยู่ข้างราชบัลลังก์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเหินร่างออกไปอย่างไม่มีลางบอกสักนิด ผู้คนของสำนักเฟิงอี้คิดว่าเขาจะลอบจู่โจมจึงก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งแทบจะพร้อมกันแล้วตั้งท่าพร้อมโจมตี องครักษ์กับยอดฝีมือจากยุทธภพที่ปกป้องจักรพรรดิต้ายงอยู่ล้วนต่อว่าความบุ่มบ่ามใจร้อนของเสี่ยงซุ่นจื่ออยู่ในใจ ทว่าทำได้เพียงถอยหลังเล็กน้อย บีบวงป้องกันให้แคบลง
ขณะที่การต่อสู้ชุลมุนใกล้บังเกิด ผู้ใดจะคิดว่าเสี่ยวซุ่นจื่อกลับโผเข้าใส่ฉากกันลมวิจิตรอันวาดลวดลายเป็นภาพแผนที่ภูเขาแม่น้ำหลังบัลลังก์มังกร ด้านหลังฉากกันลมคือประตูตำหนักที่เชื่อมกับห้องอุ่น ฉินอี๋ให้คนลั่นดาลประตูตำหนักบานนั้นไว้ก่อนแล้ว เมื่อกองทัพใหญ่ล้อมตำหนักเสี่ยวซวงไว้อย่างแน่นหนา ยิ่งไม่มีผู้ใดสนใจการเคลื่อนไหวภายในนั้น ทว่าเมื่อเสี่ยวซุ่นจื่อกระโจนไปที่นั่น คมกระบี่เจิดจ้าสายหนึ่งพลันตวัดฉับ ฉากกันลมอันงดงามถูกปราณกระบี่สะบั้นขาด เงาร่างสีเขียวร่างหนึ่งพุ่งออกมาปานสายฟ้า แต่ถูกเสี่ยวซุ่นจื่อขวางไว้พอดี ทั้งสองประมือกันกลางอากาศคล้ายพญาเหยี่ยวเหินร่อนฉวัดเฉวียน
ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า คนชุดเขียวผู้นั้นพลันเคลื่อนไหวช้าลงจนถูกเสี่ยวซุ่นจื่อโจมตีหนึ่งฝ่ามือ ได้ยินเสียงคนผู้นั้นครางหนักๆ ออกมาครั้งหนึ่ง แล้วร่วงหล่นจากกลางอากาศ ตอนนี้เอง ดวงตาของจี้กุ้ยเฟยพลันทอประกายวูบหนึ่ง เท้าเรียวเล็กเตะดาบบนพื้นเล่มหนึ่งลอยไปใต้ร่างคนผู้นั้น คนผู้นั้นพลิกกายกลางอากาศ เท้าขวาสะกิดดาบยืมแรงเหินขึ้นใหม่อีกหน ก่อนจะลอยแผ่วเบาลงมาข้างค่ายกลกระบี่ของสำนักเฟิงอี้ คนชุดเขียวมองเสี่ยวซุ่นจื่อด้วยสายตาเย็นยะเยือก เอ่ยเย็นชา “คิดไม่ถึงว่าความพยายามของข้าเหวยอิงจะถูกบ่าวบัณเฑาะก์อย่างเจ้าทำลาย”
ที่แท้ตั้งแต่เหวยอิงทราบว่ายงอ๋องบุกพระราชวังเลี่ยกงก็รีบตรงมายังตำหนักเสี่ยวซวงอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เมื่อมาถึงเขาก็พบว่าพวกหลี่หันโยวกำลังบุกฝ่าเข้ามาในตำหนักหลักอยู่ เหวยอิงหัวไว ทราบว่าตนเข้าไปร่วมก็ไม่มีประโยชน์อันใด จึงอ้อมมาด้านหลังตำหนักหลัก
เดิมทีด้านหลังตำหนักหลักมีกลไกปิดกั้นทางเข้าออกทุกแห่งไว้เพื่อป้องกันคนลอบสังหารจากด้านหลัง หากเป็นผู้อื่นคงไร้หนทางบุกเข้ามาสำเร็จภายในชั่วครู่ชั่วยาม ทว่าเหวยอิงเกิดในตระกูลอัครมหาเสนาบดี ทั้งตนเองยังเป็นขุนนางชั้นสูง เขาเคยทำงานในกรมโยธาธิการ เคยแอบขโมยอ่านแผนผังโครงสร้างพระราชวังและตำหนักแต่ละแห่งของเชื้อพระวงศ์ แล้วเขายังมีประสบการณ์ก่อสร้างตำหนักพอสมควร ดังนั้นใช้เวลาเพียงสองก้านธูปก็เข้ามาภายในตำหนักได้แล้ว
เขาใช้กระบี่ชั้นเลิศซึ่งตัดเหล็กได้ประหนึ่งโคลนทำลายประตูตำหนักอย่างแผ่วเบา แล้วหลบอยู่ด้านหลังฉากกันลมที่ใกล้บัลลังก์มังกรของหลี่หยวนที่สุดจนสำเร็จ แต่แล้วเขาก็ต้องกลัดกลุ้มเมื่อพบว่าสำนักเฟิงอี้ยังไม่บุกเข้ามาในตำหนักหลัก ข้างกายหลี่หยวนมีเหลิ่งชวนกับองครักษ์ผู้วรยุทธ์ไม่เลวหลายคนคอยปกป้อง หากเขาลงมือคงไม่มีทางทำสำเร็จในครั้งเดียว จึงได้แต่ซ่อนตัวไว้ก่อน
จนกระทั่งเมื่อครู่ เพราะพวกยงอ๋องมาถึง และคนสำนักเฟิงอี้ที่รอดชีวิตล้วนถูกกักอยู่ในตำหนักแทบทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้พวกเหลิ่งชวนจึงทุ่มสมาธิทั้งหมดคอยระวังยามศิษย์สำนักเฟิงอี้เหล่านี้จนตรอกแล้วทำเรื่องอันตราย เขาคิดว่าพบโอกาสดีแล้วจึงเตรียมจะจับตัวจักรพรรดิแห่งต้ายงให้สำเร็จในครั้งเดียว ผู้ใดจะคิดว่าทันทีที่จิตสังหารของเขาแผ่ออกมาก็ถูกเสี่ยวซุ่นจื่อพบตัว แล้วอีกฝ่ายยังชิงลงมือก่อน บีบให้เขาปรากฏตัวอีก
เหวยอิงร่ำเรียนวิชามาจากเจ้าสำนักเฟิงอี้ เดิมทีการลอบสังหารจึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญ ในอดีตเขาก็เคยลอบสังหารซื่อจงเจิ้งเสียหน้าประตูจูเชว่มาแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่มือสังหารชั้นยอดผู้ผ่านศึกมานับร้อย ยามลงมือจึงเผยจิตสังหารเบาบางออกมาอย่างมิอาจเลี่ยง จนถูกเสี่ยวซุ่นจื่อผู้มีวรยุทธ์สูงส่งและประสาทสัมผัสเฉียบคมสัมผัสได้
เวลานี้ใบหน้างามสง่าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม หากจับตัวหลี่หยวนได้ ไม่ว่าเขายื่นข้อเสนอใด หลี่จื้อก็ต้องยอม พวกเขาย่อมหนีได้อย่างปลอดภัย คิดไม่ถึงว่าโอกาสดีครั้งใหญ่กลับถูกเสี่ยวซุ่นจื่อทำลายจนไม่เหลือ
เมื่อเห็นภาพนี้ พวกยงอ๋องทั้งตระหนกทั้งโล่งใจ หากหลี่หยวนถูกจับตัวไว้ ถ้าเช่นนั้นขอเพียงเงื่อนไขที่สำนักเฟิงอี้เรียกร้องไม่มากเกินไปนัก พวกเขาก็ต้องยอมรับทั้งหมดอย่างไร้ทางเลือก มิเช่นนั้นยงอ๋องคงยากเลี่ยงคำติฉินว่ายืมดาบสังหารคน หลังจากยงอ๋องเป็นฝ่ายครองความชอบธรรมในวันนี้ จะยอมให้เกิดเรื่องนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ สายตาพวกยงอ๋องที่มองเสี่ยวซุ่นจื่อจึงมีแต่ความซาบซึ้ง
เสี่ยวซุ่นจื่อกลับทำเหมือนมองไม่เห็นแววตาขอบคุณของคนทั้งหลาย ในใจคิดเพียงว่าพระราชวังเลี่ยกงสงบแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราวของคุณชาย ขณะที่กำลังขบคิด ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น แม่ทัพคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามารายงาน “กราบทูลฝ่าบาทและยงอ๋อง ฉีอ๋องกับใต้เท้าเจียง เจียงเจ๋อซือหม่าประจำจวนแม่ทัพเทียนเช่อขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อกับเสี่ยวซุ่นจื่อต่างปีติยินดี หลี่จื้อไม่สนใจว่าฉีอ๋องโผล่มาได้อย่างไร เอ่ยขึ้นทันที “รีบแจ้งให้พวกเขาเข้ามา” กล่าวจบก็เพิ่งนึกได้ว่าเสด็จพ่ออยู่ที่นี่ด้วย จึงรีบค้อมกายคำนับเบื้องบนเป็นการขอพระราชทานอภัย เวลานี้หลี่หยวนเองก็ยินดียิ่งนัก แม้เขาไม่สนับสนุนเรื่องระหว่างเจียงเจ๋อกับองค์หญิงฉางเล่อ แต่เพราะแผนการของเจียงเจ๋อจึงเรียกกองทัพมาช่วยจักรพรรดิสำเร็จ แล้วเมื่อครู่เขาก็ได้เสี่ยวซุ่นจื่อช่วยไว้ จึงมิได้ไม่พอใจกับการกระทำของยงอ๋อง ตรงกันข้ามกลับตรัสอย่างดีพระทัย “ใช่แล้ว รีบให้พวกเขาเข้ามา”
ไม่นานฉีอ๋องก็เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าหนักแน่น องครักษ์สองคนประคองเจียงเจ๋อตามมาด้านหลัง แม้เจียงเจ๋อเพิ่งลงจากเกี้ยวตอนถึงหน้าตำหนักเสี่ยวซวง เดินมาทั้งหมดยังไม่ถึงร้อยก้าว แต่สีหน้าเขาซีดเผือดดุจกระดาษ ยงอ๋องเห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก ไม่พบหน้ากันเพียงสองสามวัน เจียงเจ๋อกลับซูบเซียวจนเห็นกระดูก จอนผมสองข้างมีสีขาวประปราย หลี่จื้อรีบยื่นมือออกไปประคอง น้ำตาคลอดวงเนตร เอ่ยว่า “สุยอวิ๋น ข้าทำร้ายท่านจนเป็นเช่นนี้ ท่าน ท่าน…” อ้ำอึ้งจนสุดท้ายก็เอ่ยต่อมิได้
ข้าย่อมเข้าใจว่าเหตุใดยงอ๋องเศร้าเสียใจเช่นนี้ ความจริงแล้วเมื่อวานยามข้าเห็นหน้าตาของตัวเองในกระจก ข้าก็ตกใจสะดุ้งโหยงเหมือนกัน ตอนนี้ข้าเชื่อคำกล่าวที่ว่าผมขาวในชั่วข้ามคืนแล้ว แต่โชคยังดี ข้ามีผมขาวเพิ่มมาไม่กี่ปอยเท่านั้น
ทว่าเสี่ยวซุ่นจื่อเห็นข้าซูบเซียวเช่นนี้พลันหน้าเขียวทันใด เขาไม่สนใจฝ่าบาทหรือสำนักเฟิงอี้อะไรทั้งสิ้น ทะยานร่างมาข้างกายข้าแล้วจับชีพจรทันที หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมาเขาเริ่มเรียนวิชาแพทย์แล้ว แม้ยังมิอาจเขียนเทียบยาเองได้ แต่ร่ำเรียนการจับชีพจรกับการฝังเข็มได้สำเร็จพอประมาณ นี่อาจเกี่ยวเนื่องกับพลังภายในอันแข็งแกร่งและจิตใจอันละเอียดถี่ถ้วนของเขา ข้ามิกล้ามองคิ้วที่ขมวดแน่นขึ้นทุกขณะของเขา จึงมองไปด้านหน้า แล้วก็ได้เห็นองค์หญิงฉางเล่อเผยสีหน้าตะลึงงัน สายตาที่มองข้าเต็มไปด้วยความห่วงหาอาวรณ์ หากมิใช่นางอุปนิสัยสุขุมนุ่มนวลและจ่างซุนกุ้ยเฟยรั้งชายเสื้อนางไว้เบาๆ เกรงว่านางคงทนไม่ไหวก้าวลงบันไดมาแล้ว ข้าคลี่รอยยิ้มอ่อนโยนมององค์หญิงฉางเล่ออย่างปลอบประโลมครู่หนึ่งก็คำนับเบื้องบนแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมเจียงเจ๋อถวายบังคมฝ่าบาท”
เวลานี้ฉีอ๋องผู้มีสีหน้าตกอยู่ในภวังค์ก็ได้องครักษ์ข้างกายเตือนสติ ก้าวเข้าไปคารวะเช่นกัน “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ”
หลี่หยวนมองฉีอ๋อง จากนั้นสายพระเนตรเคลื่อนไปจับบนร่างฉินเจิง พระขนงขมวดเล็กน้อย เหยียนกุ้ยเฟยมองหลี่หยวนด้วยสีหน้าหวาดหวั่น สุดท้ายหลี่หยวนก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วตรัสว่า “เสี่ยนเอ๋อร์ เรื่องในวันนี้ความจริงยังไม่กระจ่างชัด เจ้าถอยไปด้านข้างก่อน หากเจ้าไม่ได้ร่วมก่อกบฏ พี่รองของเจ้าคงมิกล่าวโทษเจ้า”
หลี่จื้อมองหลี่เสี่ยน ดวงตาปรากฏแววตาซับซ้อน เอ่ยว่า “น้องหกไปพักด้านข้างก่อนเถิด รอข้าปราบกบฏเสร็จค่อยคุยกับเจ้า” หลี่จื้อพูดพลางก็ทำสัญลักษณ์มือท่าหนึ่ง องครักษ์ผู้หัวไวรีบไปขนเก้าอี้หนึ่งตัวมาวางข้างกายข้า ข้าส่งสายตาเป็นเชิงขออนุญาตไปยังเบื้องบน จักรพรรดิแห่งต้ายงพยักพระพักตร์ เป็นนัยว่าให้ข้านั่งตามสบาย ข้าจึงคำนับอีกครั้งแล้วนั่งลง จากนั้นเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก แล้วคลี่รอยยิ้ม เอ่ยว่า “กระหม่อมร่างกายอ่อนแอ โรคภัยรุมเร้า ขายหน้าฝ่าบาทแล้ว องค์ชายมิต้องเป็นห่วง กระหม่อมโชคดีได้ฉีอ๋องเชิญหมอมารักษา จึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”
หลี่จื้อประหลาดใจ สายตาที่มองหลี่เสี่ยนอ่อนโยนลงหลายส่วน หลี่เสี่ยนกลับเอาแต่มองฉินเจิงด้วยแววตาเหม่อลอย แต่ฉินเจิงก้มหน้า จึงเห็นไม่ชัดว่ามีสีหน้าเช่นไร มีเพียงหยาดน้ำตาแวววาวสองสามหยดร่วงหล่นลงบนพื้นเป็นระยะ
หลี่จื้อเอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เสด็จพ่อ เรื่องเหล่านี้พวกเราค่อยๆ คุยกันทีหลัง ก่อนอื่นจับตัวกบฏเหล่านี้ให้ได้ก่อนจึงจะสมควร เหวยอิง หลี่หันโยว พวกเจ้าก่อกบฏ โทษมิอาจละเว้น หากยอมจำนนแต่โดยดี เสด็จพ่ออาจเห็นแก่พวกเจ้าอายุยังน้อย พระราชทานเมตตานอกเหนือกฎมณเฑียรบาล มิฉะนั้นพวกเจ้าล้วนมีครอบครัวมิตรสหาย มิกลัวตระกูลต้องโทษประหารด้วยหรือ”
ข้าฟังถ้อยคำที่ยงอ๋องตะโกนแล้วยิ้มละไม สายตาเคลื่อนไปเห็นเซี่ยโหวหยวนเฟิงผู้ทำสีหน้าจงรักภักดีอยู่ข้างกายจักรพรรดิและฉินชิงผู้มีสีหน้านิ่งเฉยแม้มือกุมกระบี่อยู่ข้างกายองค์หญิงฉางเล่อ อดนึกถึงงานเลี้ยงครั้งนั้นที่ข้าเข้าร่วมเมื่อแรกมาถึงราชสำนักต้ายงมิได้ สามคนนี้ถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะหนุ่ม ทว่าหลังจากเกลียวคลื่นร่อนคัดเม็ดทราย กลับกลายเป็นสภาพในวันนี้