ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 68 รักเท่าห้วงสมุทร (2)
เหวยอิงกลัดกลุ้มทันทีที่เจียงเจ๋อก้าวเข้ามา เขาเห็นค่าสติปัญญาของเจียงเจ๋อมากกว่าสตรีหยิ่งจองหองเหล่านั้นของสำนักเฟิงอี้ จึงยอมล่วงเกินองค์หญิงฉางเล่อเพื่อค้นอุทยานหันเซียงให้จงได้ ไม่รู้เหตุใดเมื่อคนผู้นี้ก้าวเข้ามา ใจเขาพลันเกิดสังหรณ์ร้าย
เพื่อปัดเป่าความรู้สึกเช่นนี้ เขาจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ไฉนยงอ๋องจึงเอ่ยอย่างสง่าผ่าเผยนักเล่า องค์ชายเองก็มิใช่เพิ่งคิดชิงตำแหน่งจักรพรรดิ ผู้ใดมิรู้บ้างว่าเจียงซือหม่าคนนี้คือกุนซือผู้เป็นมันสมองขององค์ชาย แต่เดิมองค์รัชทายาทมีศักดิ์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ หากมิใช่ท่านบีบคั้นไล่ต้อน รัชทายาทไยจักไร้ทางเลือกจนต้องทำเช่นนี้ ในอดีตฮั่นอู่ตี้เป็นจักรพรรดิผู้ปรีชา แต่เพราะคิดปลดรัชทายาท รัชทายาทจึงมิอาจไม่ก่อกบฏด้วยความช่วยเหลือของขุนนางผู้ภักดี แม้สุดท้ายรัชทายาทวายชีวา ทว่าอู่ตี้กลับสร้างตำหนักอาลัยพระโอรสกับหอคะนึงหวนเป็นการรำลึกถึงรัชทายาท แม้วันนี้พวกข้าพ่ายแพ้ แต่องค์ชายก็ต้องการฉวยโอกาสชิงอำนาจจักรพรรดิหรือมิใช่เล่า น่ากลัวว่าหลังจากวันนี้ ฝ่าบาทคงถูกท่านกักอยู่ในตำหนัก หากไม่สังหารพวกข้าเสีย องค์ชายคงกังวลว่ายากจะปิดปากคนทั่วใต้หล้าสินะ”
ข้าเห็นเหวยอิงใช้วาจาคมคายจนใบหน้าของจักรพรรดิต้ายงกับคนทั้งหลายในที่นั้นปรากฏสีหน้าลังเล จึงตะเบ็งเสียงเอ่ยว่า “คำพูดนี้ของใต้เท้าเหวยช่างกลับดำเป็นขาว แม้องค์รัชทายาทมีศักดิ์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่กลับประพฤติเหลวไหลเสื่อมคุณธรรม ทั้งในและนอกราชสำนักผู้ใดมิทราบบ้าง ยงอ๋องคุณงามความชอบมากล้น แม้เพราะลำดับอาวุโสจึงมิอาจสืบทอดบัลลังก์ แต่องค์ชายมิเคยมีใจคิดเคียดแค้นริษยา ตรงข้ามกลับทุ่มเทกำลัง เหน็ดเหนื่อยรากเลือดเพื่อแผ่นดินต้ายง หวังว่าองค์รัชทายาทจะใจกว้างเมตตา ปฏิบัติต่อพี่น้องผู้เป็นขุนนางมีความชอบอย่างดี เพียงเท่านั้นองค์ชายของข้าก็พร้อมใจยอมเป็นขุนนาง
แต่องค์รัชทายาทกลับรู้จักแต่ริษยาความสามารถ ทำร้ายยงอ๋องหลายครั้งหลายครา แล้วยังลุ่มหลงสุรานารี กระทำตามอำเภอใจ วิญญูชนอับอายเกินคบหา มั่วสุมแต่คนถ่อย วันนี้ยังก่อกบฏอย่างไม่เห็นแก่ความเป็นเจ้าแผ่นดิน หรือความเป็นบิดาทั้งสิ้น แล้วยังใช้ราชโองการปลอมเรียกตัวหมายทำร้ายองค์ชายของข้าอีก หากมิใช่สวรรค์เห็นใจความดีขององค์ชาย กับแม่ทัพทหารกล้าทุกนายสละชีวิตให้ องค์ชายคงมอดม้วยอยู่ในพระราชวังเลี่ยกงนานแล้ว ยามนี้องค์ชายได้รับราชโองการลับจากฝ่าบาทนำกองทัพเดินทางมาช่วยเหลือองค์จักรพรรดิ เรื่องนี้เป็นประสงค์ฟ้าและผู้คน พวกท่านขุนนางกบฏมิรู้จักสำนึก กลับคิดยุแยงพ่อลูกให้แตกแยก ตายหมื่นหนก็ยากชดใช้ความผิดโดยแท้”
เหวยอิงโต้ตอบอย่างโกรธเกรี้ยว “เจียงซือหม่า แม้ท่านเป็นขุนนางคนโปรดของยงอ๋อง ทว่าตำแหน่งต้อยต่ำ ในท้องพระโรงเช่นนี้ไหนเลยมีที่ให้ท่านเอ่ยวาจา หวนนึกอดีตท่านเป็นจ้วงหยวนและบัณฑิตฮั่นหลินแห่งหนานฉู่ เจ้าแคว้นหนานฉู่สองรัชกาลรวมถึงเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยล้วนมีพระคุณมากมายต่อท่าน แต่ท่านกลับร่ำเรียนวิชาของเหล่านักปราชญ์มาเสียเปล่า ยอมสวามิภักดิ์ต่อเจ้านายเลวเพื่อรักษาชีวิต ออกอุบายวางแผนการใช้เล่ห์เหลี่ยมเพทุบายนับไม่ถ้วนเพื่อเขา รัชทายาทซื่อสัตย์ภักดีแต่พลาดตกลงไปในกับดักของท่านวันนี้จึงชื่อเสียงย่อยยับ คนชั่วช้าขุนนางสองนายไร้ความภักดีเช่นท่าน ยังกล้ากล่าววาจาต่อหน้าผู้คน พวกข้าสู้เพื่อความถูกต้อง กำจัดขุนนางชั่วข้างกายนาย แม้พ่ายแพ้ แต่ใช่ว่าคนถ่อยเช่นท่านจะมาใส่ร้ายลบหลู่ได้”
สีหน้าเยาะหยันปรากฏบนใบหน้าของข้า ข้ายกมือห้ามยงอ๋องผู้กำลังจะตวาดด้วยความโกรธ แล้วเอ่ยตอบว่า “ใต้เท้าเหวย ในอดีตผู้แซ่เจียงเคยได้รับความเมตตาจากนายแคว้นหนานฉู่ แต่กลับยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง คำเรียกขานขุนนางสองนายนี้ ข้ายอมรับ ทว่าโบราณกล่าวไว้ เจ้าแผ่นดินไร้คุณธรรม ขุนนางหันพึ่งแคว้นอื่น ดังที่กล่าวกันว่านกเลือกไม้ทำรัง บ่าวเลือกนายรับใช้ ยามผู้แซ่เจียงอยู่หนานฉู่เคยมีความดีน้อยนิดคือเคยถวายฎีกาแนะนำ แต่น่าเสียดายเจ้าแผ่นดินมิรับฟังถ้อยคำสัตย์จริง กลับปลดข้าเป็นสามัญชน หลังจากข้าสวามิภักดิ์ต่อต้ายง หนานฉู่ก็ส่งมือสังหารมาทำร้าย กล่าวไปแล้วหนานฉู่ทอดทิ้งข้าก่อน
ยงอ๋องมิรังเกียจคนไร้ความสามารถเช่นเจียงเจ๋อแล้วยังเป็นห่วงเป็นใย ต่อให้เจียงเจ๋อใจแข็งเป็นหินแต่จะทอดทิ้งมิสนใจได้เช่นไร เจียงเจ๋อเข้ามาอยู่ใต้บัญชาองค์ชายก็ล้มหมอนนอนเสื่อนับปี มิอาจแบ่งเบาภาระองค์ชายได้ แต่องค์ชายกลับไม่คิดเดียดฉันท์ ยงอ๋องมีจิตใจของปั๋วเล่อ[1] ให้เกียรติผู้มีความสามารถทั่วหล้า ผู้แซ่เจียงเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ท่านอ๋องให้เกียรติต้อนรับอย่างดี ดังนั้นผู้แซ่เจียงจึงยินยอมรับคำเรียกขุนนางสองนายนี้ แม้ตายก็ไม่เสียใจ
ทว่าคนชั่วช้าคำนี้ ผู้แซ่เจียงมิกล้ารับ ใต้เท้าเหวย บิดาท่านเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี เป็นชนชั้นผู้นำ ตัวใต้เท้าเหวยเองก็สอบขุนนางได้แต่ยังเยาว์ ก้าวหน้าเร็วไว เลื่อนขั้นรวดเร็ว ทั้งใต้หล้าหายากนัก ยังไม่ทันอายุสามสิบก็เข้ามาในแกนกลางราชสำนัก ตำแหน่งเสนาบดีช้าเร็วย่อมเป็นของในกระเป๋าท่าน แต่ใต้เท้ามิระลึกถึงความเมตตามากล้นของฝ่าบาท สมคบกบฏ ยุยงรัชทายาทให้เมินเฉยความต่างของเจ้าแผ่นดินกับขุนนาง ความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรจนก่อกบฏ คำว่าคนชั่วช้าคำนี้ นอกจากใต้เท้าเหวยแล้ว ยังมีผู้ใดแบกรับได้อีก”
เพิ่งสิ้นเสียงของข้า ในตำหนักพลันมีเสียงตะโกนชมดังลั่น เว่ยกั๋วกงเฉิงซูเอ่ยเสียงดัง “ใต้เท้าเจียง ท่านกล่าวได้สาแก่ใจจริง ตาเฒ่าเฉิงเป็นคนหยาบกระด้าง อยากด่าเด็กชั่วช้าคนนี้ให้แสบทรวงสักยกอยู่ก่อนแล้ว ติดที่พูดเป็นแต่ถ้อยคำหยาบคาย จึงมิกล้าเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ก็เท่านั้น เหวยอิง เจ้าคนชั่วช้าทรยศพระคุณของฝ่าบาท สมควรสับร่างเป็นหมื่นชิ้นเสียนานแล้ว เจ้าต่างหากที่ไม่คู่ควรพูดในท้องพระโรงแห่งนี้”
เหวยอิงสีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวแดงก่ำ เขานึกเสียใจ ไม่ควรลืมว่าเจียงเจ๋อผู้นี้วาจาประหนึ่งดาบ ยามนั้นที่สู่จง คนผู้นี้ประพันธ์บทกวีบทเดียวบีบสู่อ๋องจนสิ้นชีพ ในงานเลี้ยงปีใหม่ของต้ายงก็สวนกลับคำค่อนแคะของฉินชิงจนเขาหมดท่า เหตุใดตนจึงเลอะเลือนเช่นนี้ ดันมาโต้คารมวัดแพ้ชนะกับเจียงเจ๋อ
เขาสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กำลังคิดจะเลี่ยงประเด็นนี้กลับไปเจรจาต่อ ทันใดนั้นเรือนร่างอรชรของเซี่ยเสี่ยวถงก็เริ่มโงนเงน หลังจากนั้นฉินเจิง หลี่หันโยว ศิษย์สำนักเฟิงอี้แต่ละคนก็เริ่มโงนเงนทรุดล้มตามกัน มีเพียงเซียวหลานกับเฟิ่งเฟยเฟยที่แม้สีหน้าตื่นตระหนกแต่ไม่ทรุดลงไป เหวยอิงตกใจยิ่งนัก เขารู้ดีว่าหากกองหนุนสำนักเฟิงอี้เหล่านี้เป็นอันใดไป ตนย่อมจับตัวฝ่าบาทเป็นประกันไม่ได้แน่ เมื่อไม่ต้องกังวลว่าตีมุสิกแล้วจะถูกของล้ำค่า พวกตนคงตายไร้ที่ฝังร่างในบัดดล
ผู้คนในตำหนัก นอกจากจักรพรรดิและขุนนางต้ายงแล้วก็มีแต่แม่ทัพทหารผู้รักษาคำสั่งอย่างเคร่งครัดกับยอดฝีมือจากยุทธภพผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศ จึงไม่มีผู้ใดร้องตระหนกตกใจ แต่ในดวงตาล้วนมีแววตาจับต้นชนปลายมิถูก ผู้ที่ความคิดไม่ลึกซึ้งนักต่างเผยสีหน้าตกใจหันมองหน้ากัน ข้ากลับเอ่ยอย่างเหนื่อยล้า “องค์ชาย การใหญ่สำเร็จแล้ว ลงมือได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ยงอ๋องเหลือบมองข้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง แต่เขาไม่มีเวลาตั้งคำถามข้า เพียงโบกมือหมายจะออกคำสั่งให้จับตัวกบฏทั้งหมด
ตั้งแต่หลี่เสี่ยนไปยืนด้านข้าง สายตาเขาก็จับจ้องฉินเจิงอยู่ตลอด ทว่าฉินเจิงกลับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาเลย ทั้งสองคนลืมเลือนทุกสิ่งรอบด้านอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งฉินเจิงทรุดลงกับพื้น หลี่เสี่ยนพลันอุทานตกใจ แล้วคิดจะก้าวเท้าเข้าไป แต่ถูกองครักษ์คนสนิทข้างกายดึงเอาไว้ องครักษ์ผู้นั้นเอ่ยเสียงเบา “องค์ชายจะให้ผู้อื่นกำจุดอ่อนมิได้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่เสี่ยนจึงจำใจหยุดฝีเท้า
เมื่อยงอ๋องโบกมือออกคำสั่ง เหลิ่งชวนก็นำองครักษ์สิบกว่านายโถมเข้าใส่พวกเหวยอิงสามคน ทันใดนั้นพลันเกิดเสียงดังสนั่น ฝุ่นผงเศษไม้และกระจกกระเบื้องสีทองสีเขียวร่วงกราว เพดานท้องพระโรงทะลุเป็นรูใหญ่ เงาสีขาวพลิ้วกายลงมา เสียงผิวปากแผ่วเบาดุจเสียงพญาหงส์จากสรวงสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างนั้นโผเข้าใส่หลี่หยวนจักรพรรดิแห่งต้ายง
ผู้คนส่วนใหญ่ถูกเสียงผิวปากนั่นเล่นงานจนหัวใจสั่นไหว ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง หมดกำลังจะขัดขวาง มีเพียงเหลิ่งชวนกับเสี่ยวซุ่นจื่อตวาดเกรี้ยวกราดออกมาพร้อมกันแล้วทะยานร่างเข้าขวาง เงาร่างของทั้งคู่เคลื่อนประดุจสายฟ้า โจมตีออกมาเต็มกำลัง ผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่าคนในอาภรณ์สีขาวผู้นั้นเพียงสะบัดแขนเสื้อ เหลิ่งชวนกับเสี่ยวซุ่นจื่อก็ถูกกระแสลมแข็งกร้าวพัดกระแทกจนเซถอย ทว่าเหลิ่งชวนกับเสี่ยวซุ่นจื่อต่างเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นยอดฝีมือชั้นเลิศได้ด้วยตัวเอง แม้คนผู้นั้นบีบให้ทั้งสองคนถอยสำเร็จในหนึ่งกระบวนท่า แต่ความเร็วก็ยังชะลอช้าลง
ในชั่วลมหายใจนี้เอง องครักษ์กับยอดฝีมือแห่งยุทธภพข้างกายจักรรพรรดิต้ายงต่างใช้สุดยอดวิชาของแต่ละคนขัดขวาง ทว่าเสียงมังกรคำรามพลันดังขึ้น ในมือคนผู้นั้นมีกระบี่ยาวเพิ่มมาเล่มหนึ่ง เสียงกังวานดังขึ้นสิบกว่าครั้ง ยอดฝีมือที่คุ้มกันจักรพรรดิต้ายงถูกคนผู้นั้นแทงถ้วนหน้า แล้วยังมีคนหนึ่งถูกคนชุดขาวผู้นั้นฟันสะบั้นศีรษะในหนึ่งกระบี่ โลหิตกระเซ็นรอบด้าน บันไดเก้าขั้นหน้าราชบัลลังก์กลายเป็นลานสังหารอันคลุ้งคาวเลือด
เพียงพริบตา คนผู้นั้นก็มาถึงหน้าพระพักตร์จักรพรรดิต้ายง ก่อนหน้านี้จ่างซุนกุ้ยเฟยกับเหยียนกุ้ยเฟยหวาดกลัวจนขยับตัวไม่ได้ ทว่ายามคนผู้นั้นฟาดฟันกระบี่สังหารองครักษ์ ทั้งสองนางมิทราบเอาความกล้าหาญมาจากที่ใด ต่างโถมเข้าไปหาหลี่หยวนพร้อมกัน จ่างซุนกุ้ยเฟยอยู่ใกล้กว่าเล็กน้อยจึงโถมไปถึงตัวหลี่หยวน เอาตัวบังจุดสำคัญของเขาเอาไว้ แม้เหยียนกุ้ยเฟยช้ากว่าอยู่บ้าง แต่นางก็กางสองแขนขวางอยู่หน้าหลี่หยวนกับจ่างซุนกุ้ยเฟย คนผู้นั้นเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย ปลายกระบี่ยาวจรดอยู่ตรงหน้าอกของเหยียนกุ้ยเฟยแล้วแต่กลับไม่แทง เวลานี้เอง องค์หญิงฉางเล่อกับหลี่เสี่ยนพลันตะโกนอย่างตกใจพร้อมกัน “เสด็จพ่อ เสด็จแม่!”
ยามนี้ทุกคนจึงเพิ่งเรียกสติกลับมาได้ พวกเขาต่างมองไปยังคนผู้นั้น คนผู้นั้นเรือนร่างอ้อนแอ้น สวมอาภรณ์สีหิมะทั้งร่าง เส้นผมดำดั่งหมึก ผ้าไหมขาวพิสุทธิ์ปิดบังใบหน้าไว้ค่อนครึ่ง แม้กระบี่ยาวของคนผู้นั้นจ่ออยู่ที่เหยียนกุ้ยเฟยเพียงคนเดียว ทว่าทุกคนต่างรู้สึกว่าขอเพียงนางเสือกกระบี่ลงไป จักรพรรดิกับพระสนมกุ้ยเฟยทั้งสองอย่าได้คิดจะมีชีวิตรอด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ตอนนี้เอง ภายในท้องพระโรงพลันมีเสียงไอหนักๆ ดังขึ้น แม้คนในอาภรณ์สีหิมะผู้นั้นยังคงน่าเกรงขามดุจเดิม ทว่ามิทราบเกิดอันใดขึ้น ทุกคนจึงรู้สึกว่าจิตสังหารของนางคล้ายจะลดทอนลงบางส่วน หัวใจผ่อนคลายความตึงเครียดลงอย่างไม่รู้ตัวแล้วมองตามเสียงไป ด้วยอยากจะดูว่าผู้ใดคิดวิธีนี้ออกมาแก้สถานการณ์ตึงเครียดเมื่อครู่ เมื่อเห็นตัวคนก็อดอุทานอย่างคิดไม่ถึงไม่ได้ เจียงเจ๋อใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาวโพลนผืนหนึ่งปิดปากไว้แล้วไอไม่หยุด พริบตาเดียวผ้าเช็ดหน้าไหมผืนนั้นก็มีคราบเลือดสีแดงฉานซึมออกมา เจียงเจ๋อถูกเสียงผิวปากแฝงพลังภายในของมือสังหารผู้นั้นทำร้ายจนไอเป็นเลือดไม่หยุด
ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อทอประกายเย็นเยือกประหนึ่งสายฟ้าอันหนาวเหน็บ ใบหน้าที่เย็นชาอยู่แล้วยิ่งเคร่งเครียดขึ้นอีก เขาทะยานร่างมาข้างกายเจียงเจ๋อแล้วหยิบยาลูกกลอนหุ้มขี้ผึ้งสีเหลืองเม็ดหนึ่งออกมา จากนั้นปาดขี้ผึ้งทิ้งจนยาลูกกลอนเม็ดใหญ่สีขาวพิสุทธิ์ดั่งดวงตามังกรปรากฏโฉม ทันใดนั้นกลิ่นยามหอมชื่นใจพลันอบอวลทั่วท้องพระโรง เสี่ยวซุ่นจื่อยัดยาลูกกลอนเข้าปากเจียงเจ๋อ ผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าของเจียงเจ๋อจึงค่อยๆ สงบ ไม่ไอเป็นเลือดอีก เขาคิดจะใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมเช็ดเลือดที่มุมปาก แต่ผ้าเช็ดหน้าไหมผืนนั้นถูกเลือดย้อมจนทั่ว ใช้การไม่ได้เสียแล้ว
ในตอนนั้นเอง องค์หญิงฉางเล่อผู้ยืนอยู่บนบันไดพลันก้าวลงมาอย่างเชื่องช้า หากนางคิดจะเดินลงจากบันไดย่อมต้องเดินผ่านข้างตัวสตรีอาภรณ์สีหิมะผู้นั้น ดังนั้นหลี่หยวนกับจ่างซุนกุ้ยเฟยจึงตะโกนอย่างตกใจพร้อมกัน “เจินเอ๋อร์ อย่าบุ่มบ่าม”
ทว่าองค์หญิงฉางเล่อคล้ายไม่ได้ยิน นางก้าวแช่มช้าผ่านข้างกายสตรีอาภรณ์สีหิมะผู้นั้น สองวันที่ผ่านมา ความกังวลจนมิเป็นอันนอนทำให้ดวงหน้างามขององค์หญิงฉางเล่อซูบเซียว เวลานี้สีหน้าประหนึ่งสติหลุดลอยออกจากร่างของนางยิ่งชวนให้คนสงสาร นางย่างเท้าเชื่องช้าจนไปถึงข้างกายเจียงเจ๋อแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยกผ้าเช็ดหน้าไหมในมือขึ้นตั้งใจจะเช็ดคราบเลือดให้เจียงเจ๋อ แต่เมื่อยกขึ้นมากลับพบว่าผ้าเช็ดหน้าไหมผืนนั้นถูกนางดึงทึ้งระหว่างร้อนใจจนขาดเสียแล้ว
ดวงเนตรของนางกะพริบไหว น้ำตาแวววาวดุจไข่มุกหยดร่วงลงบนกระโปรงหงส์สีขาวนวล ทันใดนั้นดวงตาของนางก็ทอประกายแล้วลงมือฉีกชายกระโปรง เสียงผืนผ้าขาดดังกระจ่างชัดท้องพระโรง ในที่สุดนางก็ฉีกผ้าสีขาวนวลปักลายผืนหนึ่งออกมาสำเร็จ เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าให้เจียงเจ๋ออย่างแผ่วเบา หลังจากนั้นองค์หญิงฉางเล่อพลันก้มศีรษะซบบนตักของเจียงเจ๋อ เสียงร่ำไห้ดังออกมาเบาๆ
ชั่วขณะนั้น ภายในท้องพระโรงเงียบกริบ มีเพียงเสียงสะอื้นอย่างพยายามฝืนกลั้นขององค์หญิงฉางเล่อ
ข้ากลืน ‘โอสถพิทักษ์หัวใจเก้าสกัด’ ที่ท่านหมอซังผู้นั้นกำชับกำชาฝากฝังไว้กับเสี่ยวซุ่นจื่อเสร็จ ก็ทราบว่ารักษาชีวิตน้อยๆ ของตนไว้ได้อีกครั้งแล้ว แต่การกระทำขององค์หญิงฉางเล่อกลับทำให้ข้าอึ้งงันอย่างสมบูรณ์ ตลอดมาความรู้สึกที่ข้ามีต่อองค์หญิงฉางเล่อคือความสงสารมากกว่าความรัก ทว่าวินาทีนี้ข้าได้สัมผัสความรักที่องค์หญิงฉางเล่อมีให้ข้าอย่างชัดแจ้ง ในใจบังเกิดความรู้สึกอ่อนหวานท่วมท้นอย่างมิอาจห้าม ข้าไม่สนใจธรรมเนียมระหว่างเชื้อพระวงศ์กับขุนนาง ความแตกต่างระหว่างบุรุษกับสตรีอันใดอีก เอื้อมมือออกไปลูบเรือนผมของนางแผ่วเบา ยามนี้ข้าตระหนักชัดเจนอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อนว่าสตรีผู้นี้ได้เข้ามาครองตำแหน่งสำคัญในดวงใจของข้าแล้ว
ทุกคนในท้องพระโรงต่างสูดลมหายใจด้วยความตกใจ หลังจากองค์หญิงฉางเล่อปฏิเสธพระราชบุตรเขยที่จักรพรรดิเลือกให้ ใช่ว่าไม่มีใครเคยคาดเดาว่านางอาจมีคนในดวงใจอยู่แล้ว สำนักเฟิงอี้กับรัชทายาทเองก็เคยกระจายข่าวลือ ใช่ว่าไม่มีใครเคยได้ยินข่าวลือเรื่องความรักระหว่างเจียงเจ๋อกับองค์หญิงฉางเล่อ แต่สองคนนี้ คนหนึ่งเก็บตัวอยู่ในจวน คนหนึ่งครองตัวบริสุทธิ์ แทบไม่ได้พบหน้ากันแต่อย่างใด ดังนั้นส่วนมากทุกคนจึงคิดว่าเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้พวกเขาเชื่อข่าวลือเรื่องนั้นเป็นครั้งแรก แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือ ทุกคนไม่รู้สึกว่าสองคนนี้กำลังฝ่าฝืนขนบธรรมเนียม กลับกัน ในใจเกิดความรู้สึกสงสารเห็นใจอย่างแรงกล้า
เวลานี้ สตรีอาภรณ์สีหิมะผู้นั้นเก็บกระบี่ยาวแล้วหมุนกายกลับมาอย่างเชื่องช้า เหนือผ้าแพรสีขาวที่บดบังใบหน้า ดวงตาสุกสกาวดั่งดวงดาราเย็นเยือกคู่นั้นกลอกกลิ้งเล็กน้อย ทุกคนในตำหนักล้วนรู้สึกว่าสตรีนางนั้นกำลังมองตนอยู่ แววตาเย็นเยียบเสียดแทงกระดูกนั่นประหนึ่งโจมตีหนักหน่วงตรงหัวใจจนต้องถอยหลังหลายก้าวอย่างห้ามไม่ได้
หลี่จื้อสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฟิงอี้มาเยือน ข้าเป็นเกียรติยิ่งนัก แต่มิทราบว่าท่านเจ้าสำนักมีสิ่งใดชี้แนะ”
[1]ปั๋วเล่อ เล่ากันว่าเป็นชาวแคว้นฉินในสมัยชุนชิวผู้มีความสามารถในการเฟ้นหายอดอาชา ต่อมาใช้เปรียบเปรยถึงผู้ที่ชำนาญในการเฟ้นหาคนเก่งมาชุบเลี้ยงและใช้งาน