ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 69 ถอยเพื่อรุก (1)
สายตาของเจ้าสำนักเฟิงอี้จับอยู่บนร่างของเจียงเจ๋อ ดวงตาทอประกายประหลาด นางเอ่ยเสียงเย็น “ยงอ๋อง เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ มิว่าเจตนาดั้งเดิมของสำนักเฟิงอี้เราคือสิ่งใด พวกเราก็กลายเป็นกบฏและศัตรูคู่แค้นของต้ายงแล้ว หากองค์ชายต้องการสังหารสำนักเฟิงอี้ให้ตกตายหมดสิ้นก็คงมิมีผู้ใดขัดขวางได้ ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อเตือนองค์ชายเรื่องหนึ่ง แม้องค์ชายเป็นฝ่ายได้เปรียบในวันนี้ แต่ขอเพียงมีข้าอยู่ที่นี่ องค์ชายคงต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของตนเองสักหน่อย
ฝ่าบาทกับข้าเคยร่วมทุกข์มาด้วยกัน ข้าคงไม่ลงมือโหดเหี้ยมกับเขา แต่พระสนมกุ้ยเฟยทั้งสอง องค์หญิงฉางเล่อ ตัวท่านยงอ๋อง ฉีอ๋องหลี่เสี่ยน และขุนนางภักดีกับทหารกล้าเหล่านี้ หากข้าตั้งใจ พวกท่านสักคนก็อย่าคิดจะหนีออกจากตำหนักเสี่ยวซวงได้ ถึงลูกศิษย์เหล่านี้ของข้าต้องวายชีวาในพระราชวังเลี่ยกงเพราะเหตุนี้ด้วย แต่สำนักเฟิงอี้ของข้ายังมีขุมกำลังซ่อนเร้นอยู่อีก ไม่มีทางล้มไม่ลุกเพราะเรื่องนี้
กล่าวไปแล้วเรื่องนี้เดิมทีเป็นความปรารถนาส่วนตัวของข้า ศิษย์น้องและหญิงรับใช้เหล่านั้นของข้าล้วนเป็นผู้รอดชีวิตจากศึกนับร้อย ข้าจึงไม่ยินดีให้พวกนางมาเสี่ยงอันตรายอีก อีกทั้งข้าดูแคลนยงอ๋องอยู่บ้าง คิดว่าอาศัยพวกเหวยอิงกับหันโยวก็คงยึดพระราชวังได้อย่างราบรื่น จึงเหลือขุมกำลังส่วนนี้ไว้เพื่อรับมือพรรคมารที่อาจมาท้ารบ
องค์ชาย ท่านย่อมรู้ชัดยิ่ง มิว่าท่านหรือข้าผู้ใดจักชนะ ผู้ใดจักแพ้ พรรคมารแห่งเป่ยฮั่นล้วนไม่มีทางปล่อยโอกาสครั้งนี้ผ่านไป มิฉะนั้นองค์ชายกับฉีอ๋องคงไม่ออกคำสั่งลับล่วงหน้าให้กองทัพใหญ่คุมด่านเข้มงวด ป้องกันเป่ยฮั่นโจมตี ยามนี้หากองค์ชายมิยอมเปิดทางออกให้สักทาง ถ้าเช่นนั้นข้าคงได้แต่เปิดฉากสังหาร แต่ข้าจะละเว้นชีวิตองค์ชายไว้ หลังจากนั้นกลับไปนำคนที่เหลือของสำนักข้าก่อความวุ่นวายในอาณาเขตแคว้นต้ายง ถึงเวลาภายในไม่สงบ กองทัพเป่ยฮั่นฉวยโอกาสรุกราน แผ่นดินต้ายงมีทั้งศึกในศึกนอก แม้องค์ชายยังมีชีวิตอยู่ก็คงนึกเสียใจเมื่อสาย ได้แต่คิดแค้นที่ยังไม่ตาย”
แม้เสียงของนางจะราบเรียบ แต่เมื่อทุกคนในตำหนักฟังแล้วกลับหนาวยะเยือกในใจ
ตอนนี้เอง หลี่หยวนกำลังประคองจ่างซุนกุ้ยเฟยลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ “เจ้าสำนักฟ่าน อย่าเพิ่งใช้อารมรณ์ ความตกต่ำรุ่งเรืองของเจ้าสำนักผูกพันกับต้ายง หากแผ่นดินต้ายงล่มสลาย เจ้าสำนักเองก็หนีไม่พ้นคราวเคราะห์ แม้ครั้งนี้ศิษย์สำนักท่านก่อความผิดมหันต์ แต่ทุกเรื่องล้วนเจรจากันได้ ขอเจ้าสำนักโปรดระงับโทสะ”
เมื่อเขาตรัสเช่นนี้ ผู้คนในท้องพระโรงต่างส่งเสียงฮือฮา มิว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้จะวรยุทธ์สูงส่งเช่นไร สุดท้ายก็เป็นกบฏ หลี่หยวนเป็นเจ้าแผ่นดิน จะอ่อนข้อเช่นนี้ได้อย่างไร หลี่จื้อขมวดคิ้วมองเสด็จพ่อแล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่เสด็จพ่อเอ่ยเหมือนดั่งสิ่งที่ข้าคิด เจ้าสำนักเป็นผู้สง่าผ่าเผย เรื่องอย่างการก่อกบฏเช่นนี้ เจ้าสำนักคงมิใช่ผู้บงการ ขอเพียงเจ้าสำนักใจแข็ง ส่งมอบกบฏเหล่านี้ให้ข้าจัดการ หลังจากนี้หากเจ้าสำนักยินยอม ราชวงศ์ต้ายงยินดีสร้างตำหนักให้เจ้าสำนักปลีกวิเวกฝึกปรือวิชา”
แม้หลี่จื้อบอกว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลี่หยวน แต่ทุกคนล้วนฟังออกว่า หลี่จื้อต้องการให้เจ้าสำนักเฟิงอี้สังหารผู้เข้าร่วมก่อกบฏด้วยมือตน หลังจากนั้นยินยอมถูกกักตัว ถึงเวลานั้น หลังจากสำนักเฟิงอี้ถูกชำระล้างย่อมเป็นได้เพียงบริวารของราชวงศ์ ส่วนเจ้าสำนักเฟิงอี้แม้เข้าร่วมก่อกบฏ แต่หากคุมตัวนางเอาไว้ได้ ฐานะปรมาจารย์ของนางย่อมข่มขวัญพรรคมารของเป่ยฮั่นได้ นี่เป็นสิ่งที่หลี่จื้อทำเพราะไร้ทางเลือก ไม่เห็นร่องรอยผู้อาวุโสซือเจินที่รับผิดชอบรั้งตัวเจ้าสำนักเฟิงอี้ แต่เจ้าสำนักเฟิงอี้กลับเดินทางมาถึงพระราชวังเลี่ยกง เมื่อคิดเชื่อมโยงกับฐานะอันดับหนึ่งในสามปรมาจารย์ของเจ้าสำนักเฟิงอี้ เกรงว่าผู้อาวุโสซือเจินคงประสบเรื่องร้ายแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเจ้าสำนักเฟิงอี้หันหลังให้ต้ายงอีก ต้ายงย่อมสูญเสียผู้ที่คานอำนาจกับพรรคมารของเป่ยฮั่นได้ ดังนั้นแม้หลี่จื้อเคียดแค้นชิงชังสำนักเฟิงอี้ยิ่งนักก็มิอาจไม่เสนอทางประนีประนอม
แววตาย่ามใจปรากฏขึ้นในดวงตาของฟ่านฮุ่ยเหยา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด พลันได้ยินเสียงแตกดังกังวาน พอเงยหน้ามองไปก็เห็นเจียงเจ๋อสีหน้าเย็นชา องค์หญิงฉางเล่อลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว ขนงงามขมวดมุ่น ดวงตาที่มองเจียงเจ๋อเต็มไปด้วยความกังวล หยกอวี้เจวี๋ย[1]ใสแวววาวชิ้นหนึ่งแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยอยู่แทบเท้าเจียงเจ๋อ เห็นชัดว่าเจียงเจ๋อเป็นผู้ขว้างแผ่นหยกที่ห้อยอยู่กับตัวแตกกระจายกลางท้องพระโรง
หลี่จื้อมีสีหน้าตกตะลึง สองปีที่ผ่านมาหากเขาพบพัดไม้ไผ่ แท่นหมึกหรือสิ่งของงดงามน่าดูชม เป็นต้องสั่งคนซื้อมาให้เจียงเจ๋อชื่นชมเสมอ หยกชิ้นนี้เป็นของที่มอบให้เจียงเจ๋อเมื่อปีกลาย หากพูดถึงวัสดุแม้จะมีราคาแต่ก็เป็นระดับธรรมดา สิ่งที่หายากคือฝีมือแกะสลักอันประณีต ด้านหลังสลักภาพงานเลี้ยงประตูหงเหมิน[2] แม้สลักเพียงไม่กี่ฉากแต่ดูราวกับมีชีวิต งดงามทั้งลายสลักและเปี่ยมจิตวิญญาณ เจียงเจ๋อรักหยกชิ้นนี้ยิ่งนัก พกติดกายอยู่เสมอ แต่วันนี้กลับขว้างหยกจนแตกละเอียด ดูท่าจะโกรธยิ่ง
หลี่จื้อยังไม่ทันตอบสนอง เจียงเจ๋อก็คลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าสำนักอุตส่าห์เดินทางมาถึงสถานที่อันตราย แต่เจียงเจ๋อคิดว่าช่างไม่คุ้ม เศรษฐีพันตำลึงทอง มินั่งใกล้ชายคา[3] เจ้าสำนักไยต้องส่งเสริมกบฏเหล่านี้ ปรมาจารย์ซือเจินมีฐานะเป็นถึงปรมาจารย์ แม้อาจด้อยกว่าเจ้าสำนักขั้นหนึ่ง แต่เจ้าสำนักคิดสลัดหนีง่ายๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ผู้แซ่เจียงพอชำนาญวิชาแพทย์อยู่บ้าง แม้เจ้าสำนักใช้ยาประคองชีวิตไว้แล้ว แต่หากคิดรักษาชีวิตก็อย่าลงมือบุ่มบ่ามจะดีกว่า มิฉะนั้นต่อให้เจียงเจ๋อต้องประเคนชีวิตน้อยๆ มอบให้ เจ้าสำนักก็อย่าคิดมีชีวิตรอดออกจากพระราชวังเลี่ยกง
เสี่ยวซุ่นจื่อ วันนี้ในท้องพระโรงแห่งนี้ ฝ่าบาทเป็นเจ้าแผ่นดิน ยงอ๋อง ฉีอ๋องก็ล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญของแผ่นดินต้ายง หากข้าสั่งเจ้ามิต้องสนใจความเป็นความตายของข้า เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะปกป้องไว้ได้อย่างน้อยสักคน”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบเสียงเย็นยะเยือก “คุณชายโปรดวางใจ แม้บ่าวไร้ความสามารถ แต่จะมิให้เจ้าสำนักเฟิงอี้กระทำตามอำเภอใจ”
รอยยิ้มของข้ายิ่งเบิกบาน เอ่ยต่อว่า “เจ้าสำนัก ผืนดินใต้แผ่นฟ้า มิมีที่ใดมิใช่ของจักรพรรดิ อาณาประชาราษฎร์ มิมีคนใดมิใช่ข้าราชบริพาร ไม่ว่าอย่างไรสำนักเฟิงอี้ก็ยังอยู่ในอาณาเขตแคว้นต้ายง เป็นประชาชนของต้ายง วันนี้ขอเพียงฝ่าบาทหรือองค์ชายทั้งสองมีเพียงสักคนรอดชีวิต สำนักเฟิงอี้กับพันธมิตรของสำนักท่านอย่าหวังว่าจะมีคนเหลือรอด
ถึงเวลามิใช่เพียงชื่อเสียงทั้งชีวิตของเจ้าสำนักจะย่อยยับอยู่ที่นี่ แม้แต่ราชสำนักต้ายงก็คงเสียหายสาหัส ไม่ว่าอย่างไรเจ้าสำนักก็มีความชอบใหญ่หลวงในการก่อตั้งแคว้นต้ายง หากแผ่นดินต้ายงล่มสลาย เจ้าสำนักคงทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่อีกนับพันปีว่าก่อกบฏจนทำลายราชวงศ์และแว่นแคว้น เป็นที่ดูแคลนของชนรุ่นหลัง ถึงเป็นเจ้าสำนักยังจะมีหน้ามองผู้คนในใต้หล้าได้อย่างไรอีก”
สีหน้าเจ้าสำนักเฟิงอี้นิ่งดุจผืนน้ำคล้ายไม่หวั่นไหวกับคำพูดของเจียงเจ๋อแม้แต่น้อย ทว่าดวงตาของหลี่จื้อกลับเป็นประกาย หากเจ้าสำนักเฟิงอี้บาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นสังหารให้สิ้นเสียย่อมดีกว่า ดูท่าที่เจียงเจ๋อขว้างหยกลงพื้นก็เพื่อกระตุ้นมิให้ตนลังเลรีรอ เร่งให้ตนตัดสินใจกระมัง
ดวงตาเขาทอประกายวูบหนึ่ง พลางลอบส่งสัญญาณมือสองสามท่า ผู้คนในตำหนักแบ่งออกเป็นสามกระบวนทัพปกป้องจักพรรดิหลี่หยวน ยงอ๋องหลี่จื้อกับฉีอ๋องหลี่เสี่ยนไว้ตรงกลางอย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนมิได้บุ่มบ่ามเคลื่อนไหวเพราะกังวลว่าจะจุดโทสะให้แก่เจ้าสำนักเฟิงอี้ แต่ทุกคนล้วนตัดสินใจแน่วแน่ว่าหากเจ้าสำนักเฟิงอี้ลงมือ จักต้องปกป้องทั้งสามคนนี้ไว้ให้จงได้ แม้แต่องครักษ์กับทหารที่ปกป้องฉีอ๋องหลี่เสี่ยนอยู่ก็ล้วนตัดสินใจเด็ดขาด ยินยอมใช้ชีวิตเข้าแลกเพื่อให้หลี่เสี่ยนมีชีวิตรอด มีผู้ใดมิรู้บ้างว่ายามนี้นอกจากยงอ๋อง หลี่เสี่ยนก็เป็นผู้มีความสามารถสืบทอดราชบัลลังก์เช่นกัน
เจ้าสำนักเฟิงอี้ถอนหายใจ สายตาที่มองเจียงเจ๋อแฝงจิตสังหาร เวลานี้เอง เสี่ยวซุ่นจื่อกับเหลิ่งชวนก็สืบเท้าเข้าหาเจ้าสำนักเฟิงอี้พร้อมกัน หากเจ้าสำนักเฟิงอี้เคลื่อนไหว ถ้าเช่นนั้นทั้งสองคนนี้ก็จะเป็นกำลังหลักในการขัดขวางเจ้าสำนักเฟิงอี้
ตอนนี้ข้าเห็นว่าเป้าหมายที่จะกดอำนาจของเจ้าสำนักเฟิงอี้บรรลุผลแล้ว หากบีบบังคับต่อไปจนเจ้าสำนักเฟิงอี้เลือกหนทางอันตราย ถ้าเช่นนั้นผลลัพธ์ก็ออกจะน่าสลดอยู่บ้าง จึงเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก แม้ยามนี้ฝ่ายข้าจะประหัตประหารให้สิ้นได้ แต่เมื่อนึกถึงความดีความชอบของเจ้าสำนัก ยงอ๋องก็ยังหวังจะเจรจาตกกลงกับเจ้าสำนัก ยามนี้ศิษย์ของเจ้าสำนักส่วนใหญ่ต้องยาสลบ หากต่อสู้ชุลมุน พวกนางย่อมตกตายใต้คมดาบกระบี่ก่อนแน่นอน หากเจ้าสำนักยอมถอยก้าวหนึ่ง จะแปรเปลี่ยนหอกดาบเป็นแพรพรรณก็มิใช่ไร้หนทาง แม้แต่ศิษย์ของท่านที่เข้าร่วมการก่อกบฏเหล่านี้ ผู้แซ่เจียงก็เป็นผู้ตัดสินใจปล่อยพวกนางได้”
เจ้าสำนักเฟิงอี้ยิ้มหยันเอ่ยว่า “เจียงซือหม่าช่างวางแผนการเก่งนัก มิรู้ว่ายงอ๋องก็มีเจตนาเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่”
หลี่จื้อเอ่ยเสียงดัง “สิ่งที่เจียงซือหม่าเอ่ยก็คือการตัดสินใจของข้า” ในใจเขานึกสงสัยอยู่เล็กน้อย เจียงเจ๋อกล่าววาจาคลุมเครือเหมือนไม่ต้องการให้เจ้าสำนักเฟิงอี้มอบตัวศิษย์ที่เข้าร่วมก่อกบฏมาให้ เงื่อนไขนี้ไยมิใช่มอบประโยชน์ให้มากกว่าเดิม ทว่าเขาเชื่อใจเจียงเจ๋อเสมอจึงมิขัดขวาง
[1]อวี้เจวี๋ย หยกที่แกะเป็นห่วงแต่มีช่องขาดจากกัน ทำให้ไม่เป็นวงแหวนที่สมบูรณ์ เป็นสัญลักษณ์ของการตัดขาด
[2]งานเลี้ยงประตูหงเหมิน เหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์ หลังจากราชวงศ์ฉินล่มสลาย หัวหน้าของกองทัพต่อต้านฉินทั้งสองได้แก่เซี่ยงอวี่กับหลิวปังได้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่ประตูหงเหมินนอกเมืองเสียนหยางเมืองหลวงของราชวงศ์ฉิน แต่เบื้องหลังการจัดงานเลี้ยงครั้งนี้คือแผนการลอบสังหารหลิวปังของเซี่ยงอวี่ ต่อมางานเลี้ยงประตูหงเหมิงจึงถูกใช้เปรียบเปรยถึงงานเลี้ยงที่แฝงเจตนาไม่ดี
[3]เศรษฐีพันตำลึงทอง มินั่งใกล้ชายคา หมายถึงคนมีเงินมักไม่ทำเรื่องที่ตนเสี่ยงอันตราย ไม่นั่งใกล้ชายคาเพราะอาจมีกระเบื้องหล่นใส่