ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 73 แค้นนี้ตราบนาน (1)
ข้าขมวดคิ้ววางหมากสีดำเม็ดหนึ่ง พลางยกถ้วยยาสีดำที่ส่งกลิ่นโชยเข้าจมูกถ้วยนั้นขึ้นมากลืนลงคอในคำเดียวแล้ววางถ้วยลง ยิ้มให้เจ้าสำนักเฟิงอี้ “หากเจ้าสำนักไม่ถือสา ข้าค่อนข้างเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ ยินดีช่วยรักษาเจ้าสำนักสักเล็กน้อย”
ดวงตาใสกระจ่างเหนือผ้าคลุมหน้าของเจ้าสำนักเฟิงอี้ทอประกายเย็นยะเยือก แล้วตอบเสียงเรียบเฉย “มิกล้ารบกวน เพียงเจ็ดวันเท่านั้น ข้าทนได้” พูดพลางวางหมากสีขาวเม็ดหนึ่ง
ข้ายิ้มอย่างจนปัญญา คิดในใจว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้คงมิเชื่อใจข้า กังวลว่าข้าจะวางยาพิษในยาล่ะสิ หากเป็นยามปกติที่เจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่บาดเจ็บ ยาพิษเล็กน้อยย่อมทำร้ายนางมิได้ แต่ยามนี้กล่าวยาก เจ้าสำนักเฟิงอี้จึงระวังรอบคอบจริงๆ
ข้ามองดูกระดานหมาก มังกรของข้าถูกเจ้าสำนักเฟิงอี้สังหารกระจัดกระจาย น่าขายหน้าจริง หากมิใช่ว่าข้ามีเป้าหมายอื่น ข้าไยต้องมาดื้อเล่นหมากกับเจ้าสำนักเฟิงอี้เล่า ส่วนเจ้าสำนักเฟิงอี้น่าจะไม่อยากให้พวกเราสงสัยว่านางจะหนี จึงรับคำข้ามาเดินหมากในห้องชมบุปผาด้วยกันกระมัง มิฉะนั้นไม่ว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บหรือฝึกวรยุทธ์ล้วนดีกว่าประจันหน้ากับศัตรูผู้ทำให้การใหญ่ของนางล้มเหลวเช่นข้าคนนี้มาก
ข้ามองกระดานหมากอีกครั้งแล้วโยนเม็ดหมากทิ้งพร้อมกับเอ่ยยอมแพ้ จากนั้นจึงหยิบพู่กันด้านข้างขึ้นมา ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เขียนเทียบยาแผ่นใหม่ส่งให้ต่งเชวีย “เทียบยานี้ข้าเพิ่มสมุนไพรลงไปสองชนิด อีกสองชั่วยามให้เอายามาส่ง แล้วก็ เจ้าไปดูสิว่าเสี่ยวซุ่นจื่อเลิกเก็บตัวหรือยัง หากออกมาแล้วก็ให้เขามาพบข้า” หากเสี่ยวซุ่นจื่อมาเดินหมากย่อมได้ผลดีกว่าข้ามากนัก ผู้ใดให้ฉีอ๋องเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเล่า ถ้าไม่เช่นนั้นไยข้าต้องแบกอาการป่วยมาอยู่กับเจ้าสำนักเฟิงอี้
ต่งเชวียรับเทียบยาแล้วถอยออกไปอย่างนอบน้อม เจ้าสำนักเฟิงอี้มองนอกม่านมุกเงียบๆ ไม่ได้สนใจเก็บเม็ดหมากแต่อย่างใด ใบของต้นอู๋ถงกลางสวนกลายเป็นสีเหลือง ลมตะวันตกเริ่มเย็น สารทฤดูช่างเปลี่ยวเหงา ผ่านไปครู่หนึ่งคิ้วเรียวของเจ้าสำนักเฟิงอี้พลันขมวดมุ่นเล็กน้อย นางได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ฝีเท้าของคนผู้นั้นแผ่วเบาเฉื่อยชาจนเกิดทำนองประหลาดคล้ายกลืนเป็นหนึ่งกับสภาพแวดล้อมรอบด้าน ดุจเสียงใบไม้ร่วงอันเงียบงัน ดั่งเสียงวารีรินไหลไร้รอยต่อ วรยุทธ์ของคนผู้นี้เข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้ว ฟ่านฮุ่ยเหยาถอนหายใจแผ่วเบา จำได้ว่ายามตนบรรลุขอบขั้นนี้น่าจะอายุสามสิบห้าปี
สักพักเสี่ยวซุ่นจื่อก็เลิกม่านเดินเข้ามา ไม่พบหน้ากันสามวัน บรรยากาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปอีกแล้ว หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขาเหมือนกระบี่ในหีบ แม้ยามปกติซ่อนเร้น แต่ถึงห้วงเวลาสำคัญเช่นยามยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าสำนักเฟิงอี้ก็มิอาจปิดบังพลังและประกายคมกล้าที่กดดันผู้คนนั่นได้
ทว่าวันนี้บรรยากาศรอบตัวเขาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนประหนึ่งหยก มีความลื่นไหลนุ่มนวล แม้อยู่เบื้องหน้าเจ้าสำนักเฟิงอี้ก็ยังคงสุขุมสง่างามเช่นนั้น แม้ข้ามิเข้าใจรายละเอียดอันลี้ลับในเรื่องนี้ แต่ก็เดาได้ว่าแรงกดดันที่บีบคั้น กับการตรากตรำฝึกปรือหลายวันนี้ ทำให้วรยุทธ์ของเสี่ยวซุ่นจื่อบรรลุขอบขั้นที่สูงกว่าเดิมแล้ว ข้ารินสุราหนึ่งจอกแล้วยกจอกสุราขึ้น “เสี่ยวซุ่นจื่อ ยินดีด้วยที่เจ้าบรรลุวิชา ก้าวขึ้นไปอีกขั้น”
เสี่ยวซุ่นจื่อก้าวเข้ามารับจอกสุราด้วยสองมือ “ขอบพระคุณคุณชาย บ่าวก้าวหน้าได้อีกเช่นนี้สมควรขอบคุณเจ้าสำนักฟ่าน” กล่าวจบ เขาก็คำนับเจ้าสำนักเฟิงอี้ด้วยท่าทางสุขุม
ดวงตาเจ้าสำนักเฟิงอี้ฉายประกายเสียดายแล้วเอ่ยว่า “วรยุทธ์ของน้องหลี่ก้าวหน้ารวดเร็ว ช่างทำให้ข้านับถือจริง น่าเสียดายพรสวรรค์เช่นน้องหลี่กลับยอมอยู่เป็นบ่าวรับใช้ ไยมิน่าเสียดาย ใต้เท้าเจียงออกจะไม่ให้ความเป็นธรรมกับน้องหลี่เกินไปแล้ว”
ข้ากับเสี่ยวซุ่นจื่อล้วนยิ้มละไม สี่ตาสบประสาน ผู้อื่นจะล่วงรู้สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราได้เช่นไร ระหว่างพวกเราไฉนเลยจะใช้คำว่านายบ่าวธรรมดามาเรียกขานได้ อีกประการ การที่เสี่ยวซุ่นจื่อปวารณาตัวเป็นบ่าวรับใช้ก็ปฏิเสธคำชักชวนของผู้อื่นได้ชะงัด คนรอบข้างมิอาจปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นบ่าวรับใช้จริงๆ แล้วฐานะบ่าวรับใช้นี้ยังทำให้เสี่ยวซุ่นจื่อทำงานได้อย่างไม่ต้องกังวล ไม่ต้องสนใจฐานะคุณธรรมประการใด นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่พวกเราเรียกขานกันเป็นนายบ่าวมาตลอด
หลี่เสี่ยนลืมตาขึ้น อาการปวดศีรษะหลังเมาค้างเข้าจู่โจม หลายวันนี้เขาแทบจะเมามายหลับใหลทุกราตรี แล้วตื่นขึ้นมาพร้อมอาการปวดศีรษะ หลังจากลุกขึ้น เขาก็เห็นน้ำแกงสร่างเมาชามหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะด้านข้างดังคาด เขาดื่มน้ำแกงสร่างเมารวดเดียว รสชาติเปรี้ยวฝาดทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้
หลายวันนี้เขารับหน้าที่เป็นตัวประกันของเจ้าสำนักเฟิงอี้ แต่มิมีอันใดให้ทำนัก เพียงต้องอยู่ในเรือนพักหว่านชิวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงใช้สุรารสแรงมอมเมาตนเองอยู่ตลอดเวลา แม้ความสะเทือนใจจากการตายของฉินเจิงจะเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่หลี่เสี่ยนตระหนักดีว่านั่นมิใช่สาเหตุที่แท้จริง ไม่ว่าอย่างไรหลี่เสี่ยนก็เตรียมใจเรื่องความตายของฉินเจิงมาก่อนแล้ว เมื่อการกบฏล้มเหลว ราชวงศ์ย่อมไม่อาจอภัยพระชายาอ๋องที่ทรยศก่อกบฏได้ แม้ความตายของฉินเจิงเป็นสิ่งที่ตัวนางเลือกเอง แต่ต่อให้วันนี้นางหนีรอดออกไปได้ก็เป็นเพียงการยื้อลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้หลี่เสี่ยนทุกข์ทรมานเช่นนี้ก็คือวันนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ยงอ๋องยังมิได้เอ่ยปากว่าจะจัดการเขาอย่างไร กระนั้นหลี่เสี่ยนก็เข้าใจดี จุดจบที่ดีที่สุดคงมิพ้นริบอำนาจทหารของตนแล้วปล่อยให้ตนเป็นเชื้อพระวงศ์ว่างงานผู้หนึ่ง หากไม่อาจเข้าสนามรบได้อีก หลี่เสี่ยนก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าจะใช้ชีวิตหลังจากนี้อย่างไร
หลังจากอาบน้ำผลัดอาภรณ์ หลี่เสี่ยนผู้เปลี่ยนโฉมไม่เหลือเค้าเดิมก็ก้าวออกมาจากประตูห้อง ในเมื่อโชคชะตาเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นความน่าขายหน้าของตน เพิ่งเดินมาถึงในสวน หลี่เสี่ยนก็ได้ยินเสียงเม็ดหมากกระทบกระดานดังมาจากห้องชมบุปผา ในใจฉุกคิดบางอย่างจึงมุ่งไปยังห้องชมบุปผาแล้วเลิกม่านมุกเดินเข้าไป
เขาเห็นเจียงเจ๋อกำลังเดินหมากกับเจ้าสำนักเฟิงอี้ตรงหน้าต่างทิศตะวันตก แต่เมื่อเห็นเจียงเจ๋อสีหน้าผ่อนคลาย ในขณะที่เสี่ยวซุ่นจื่อผู้อยู่ข้างกายเขาสีหน้าเคร่งขรึม คีบเม็ดหมากพลางเค้นสมองครุ่นคิดอยู่ ก็ทราบทันทีว่าผู้ที่กำลังเดินหมากอยู่จริงๆ คือผู้ใด
ตอนเขาเดินเข้ามา เจ้าสำนักเฟิงอี้กับเสี่ยวซุ่นจื่อล้วนไม่เงยหน้า มีเพียงเจียงเจ๋อหันมายิ้มละไม หลังจากนั้นเจียงเจ๋อจึงลุกขึ้นยืนแล้วกดเสี่ยวซุ่นจื่อนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะเดินเข้ามาคำนับ “องค์ชาย อารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วหรือ”
หลี่เสี่ยนถอนหายใจเอ่ยว่า “ท่านรู้ดีอยู่แล้วไยต้องแสร้งถาม จริงสิ หลายวันนี้ข้ามิได้สนใจเรื่องราวภายนอกเลย เสด็จพ่อมีราชโองการอันใดบ้างหรือไม่”
ข้ามองดูใบหน้าซูบเซียวของหลี่เสี่ยนแล้วเอ่ยตอบ “เท่าที่กระหม่อมทราบ ฝ่าบาทออกราชโองการปลดตำแหน่งรัชทายาทแล้ว โทษก่อกบฏขององค์รัชทายาทจะมอบให้ขุนนางทั้งสามสำนักพิจารณา แต่จากที่กระหม่อมคาดการณ์ คงสั่งจองจำหรือไม่ก็พระราชทานความตาย
ขุนนางในตำหนักบูรพาของรัชทายาทล้วนส่งให้กรมกองพิจารณาโทษ อย่างเบาสุดคือปลดตำแหน่งขุนนาง มิให้รับราชการอีกตลอดชีวิต เซียวหลานถูกตัดชื่อออกจากราชวงศ์ พระราชนัดดาที่ให้กำเนิดก็ปลดเป็นสามัญชน พระชายารัชทายาทลดตำแหน่งเป็นท่านหญิงหันกั๋ว ซื่อจื่อของรัชทายาทลดยศเป็นอันกั๋วจวิ้นอ๋องแล้วส่งไปอยู่ดินแดนศักดินา หากไม่มีราชโองการห้ามออกจากอาณาเขตตามอำเภอใจ
บุตรที่เกิดกับสนมอนุภรรยาคนอื่นล้วนมอบให้ท่านหญิงหันกั๋วเลี้ยงดู แม้ยังมีชื่อในรายนามเชื้อพระวงศ์ แต่บรรดาศักดิ์ที่เคยพระราชทานให้ทั้งหมดล้วนถูกริบ ส่วนโทษขององค์ชายต้องรอกลับเมืองหลวงประชุมหารือก่อน ทว่าแม้พระชายาฉีอ๋องจะปลิดชีพตนเองแล้ว แต่โทษทัณฑ์ก็ยังยากเลี่ยง ฝ่าบาทออกราชโองการลบชื่อจากรายนามเชื้อพระวงศ์แล้ว แต่บุตรที่พระชายาฉีอ๋องให้กำเนิดมิถูกลากมาเกี่ยวข้อง เพียงแต่มิอาจสืบทอดตำแหน่งอ๋องของท่านอ๋องได้แล้ว”
หลี่เสี่ยนถอนหายใจเอ่ยว่า “พี่รองช่างเมตตา นับว่าลงมือไว้ไมตรีแล้ว ท่านบอกเขาได้ว่าข้าจะไม่ดื้อดึงกำอำนาจทหารเอาไว้”
ข้าเอ่ยปลอบ “องค์ชาย ท่านกับยงอ๋องมิสู้พูดคุยกันดีๆ เถิด บางทีอาจได้ผลลัพธ์อย่างที่องค์ชายคิดไม่ถึงก็เป็นได้”
หลี่เสี่ยนเอ่ยอย่างขมขื่น “สุยอวิ๋น ท่านมิต้องปลอบข้า ข้าจะไม่หวงแหนอำนาจทหารไว้ ขอเพียงนับจากวันนี้ข้าอยู่อย่างระมัดระวัง พี่รองก็คงไม่สร้างความลำบากให้ข้ามากนัก จริงสิ ลงโทษหลู่จิ้งจงเช่นไร พี่รองน่าจะเคียดแค้นชิงชังเขายิ่งนัก”
ข้ายิ้มละไมตอบ “ยงอ๋องส่งเซี่ยโหวหยวนเฟิงไปประทานความตายแก่หลู่จิ้งจงแล้ว น่าจะเป็นยามนี้กระมัง สองวันก่อนเรื่องราวมากมายเหลือเกิน องค์ชายจึงจัดการมิทัน”
เวลานี้เองข้าก็ได้ยินเจ้าสำนักเฟิงอี้เอ่ยขึ้นว่า “ชนะเป็นจ้าว แพ้เป็นโจรก็เท่านั้น หลี่เสี่ยน เจ้าถามเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ หากอยากมีชีวิตอยู่เพิ่มสักหลายปีก็รีบไปแสดงความภักดีกับยงอ๋องเสียเถิด”
หลี่เสี่ยนไม่พูดจาแต่สีหน้ากลับแฝงแววเย้ยหยัน เรื่องอย่างการฝืนอดกลั้นเพื่อรักษาชีวิต คุกเข่าวิงวอนให้ละเว้นเช่นนี้ ท่านอ๋องผู้หยิ่งทะนงผู้นี้ทั้งชีวิตก็คงทำมิได้หรอก