ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 78 บุญคุณล้ำลึกความแค้นมลาย (1)
ต้ายง รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบห้า เดือนสิบ วันที่เก้า จักรพรรดิออกราชโองการพระราชทานความตายแก่รัชทายาทด้วยข้อหาเนรคุณก่อกบฏ จากนั้นจัดพิธีศพอย่างบรรดาศักดิ์อ๋อง มิอนุญาตให้ฝังในสุสานหลวง พระราชทานนามว่า “ลี่”
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติลี่อ๋อง
เดือนสิบวันที่ห้า ระหว่างที่จักรพรรดิแห่งต้ายงกำลังเดินทาง ฉางอันก็สงบลงแล้ว หลังจากเจิ้งเสียกับสืออวี้หารือกันก็ตัดสินใจว่าจะปิดบังข่าวต่อไป ดังนั้นแม้ผู้คนภายในเมืองฉางอันจะหวาดหวั่น แต่ก็ยังมิทราบว่าเกิดการก่อกบฏขึ้น ณ พระราชวังเลี่ยกง เดือนสิบวันที่หก เจิ้งเสียพาองครักษ์หลายนายรีบเร่งเดินทางไปรับเสด็จก่อน ระหว่างที่เจิ้งเสียกับจักรพรรดิต้ายงหารือกันเป็นการลับ ข้าผู้ได้ข่าวสารมาก่อนวางแผนการไว้หมดแล้ว แม้มิทราบว่าพวกเขาพูดคุยอันใดกัน แต่คิดว่าเจิ้งเสียคงมิใช่คนเลอะเลือน
กล่าวถึงเจิ้งเสียผู้เข้ามาในกระโจมพักของจักรพรรดิ เมื่อเห็นจักรพรรดิต้ายงปลอดภัยไร้อันตรายก็วางใจ หลังจากเจิ้งเสียคำนับตามพิธีการ หลี่หยวนก็รีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง เขาเชื่อใจเจิ้งเสียยิ่งนัก จึงบอกทุกสิ่งที่ตนรู้แก่เจิ้งเสียทั้งหมด เจิ้งเสียฟังจบพลันตาโตพูดไม่ออก ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนเด็ดขาด จึงถามอย่างสุขุมว่า “ฝ่าบาท ท่านคิดไว้อย่างไร”
หลี่หยวนตรัสอย่างกลัดกลุ้ม “ข้าก็ปวดหัวยิ่งนัก รัชทายาทกับยงอ๋องล้วนเป็นโอรสของข้า ข้าย่อมมิต้องการให้พวกเขาพี่น้องเข่นฆ่ากันเอง แต่ครั้งนี้ยงอ๋องเกือบจบชีวิต ข้าเองก็หวิดพบอันตราย หากไม่สืบสาวเอาความจริงจัง มิว่าอย่างไรก็ไม่สมเหตุผล ทว่ารัชทายาทกลายมาเป็นเช่นวันนี้ ข้าเองก็มีส่วนที่ทำไม่เหมาะ ส่วนฮองเฮาก็เคยพยายามผูกคอฆ่าตัวตาย แม้มีข้าหลวงช่วยไว้ได้ แต่ก็หายใจรวยรินแล้ว เป็นสามีภรรยากันมานานปี ข้าตัดใจไม่ลงจริงๆ
แล้วก็ฉีอ๋อง เด็กคนนี้ภักดียิ่งนักมาเสมอ นี่เป็นข้อดีของเขา แล้วก็เป็นข้อเสียของเขาด้วย มาวันนี้เขาเข้าไปเกี่ยวพัน มิว่าจะลงโทษอย่างไรจะหนักจะเบาก็ต้องลงโทษ มิอาจเลี่ยงการลงโทษได้เด็ดขาด เขาเป็นคนหัวแข็ง ข้ากังวลว่าหากยงอ๋องโกรธขึ้นมาจะขอให้จองจำเขาหรือปลดเขาเป็นสามัญชน เช่นนี้ไยมิทำให้ข้าลำบากใจ แล้วยังมีเหวยกวนอีก เจ้าบอกว่าระหว่างที่เขาอยู่ในเมืองหลวงทำตัวเหมือนปกติ ดูท่าคงจะไม่ทราบเรื่องก่อกบฏจริงๆ แต่การกบฏเป็นโทษหนัก หากไม่ประหารตระกูลด้วยก็ออกจะไม่เข้าท่าเกินไป ขุนนางเจิ้ง เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิว่าเรื่องนี้สมควรจัดการเช่นไรดี”
เจิ้งเสียเอ่ยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาท ยามนี้กระหม่อมเห็นว่าเรื่องเหล่านี้จะจัดการอย่างไรล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือฝ่าบาทจะปรองดองฉันท์บิดาบุตรกับยงอ๋องเช่นไร”
หลี่หยวนใจสะท้าน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นจักรพรรดิมานานปี ความคิดเหล่านี้เขาก็เคยคิดผ่านๆ อยู่บ้าง แต่เมื่อเจิ้งเสียพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ เขาก็ทำอันใดมิถูกเล็กน้อย จึงอดมองเจิ้งเสียอย่างมีโทสะมิได้
เจิ้งเสียเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย “ฝ่าบาทมีพระคุณกับกระหม่อมเท่าขุนเขา หากมิใช่เพื่อฝ่าบาทกับแผ่นดินต้ายง กระหม่อมไม่มีทางเอ่ยวาจาไร้มารยาทเช่นนี้ หากฝ่าบาทยอมฟังกระหม่อมอธิบาย แม้จะสังหารกระหม่อม กระหม่อมก็ยินดีน้อมรับ”
หลี่หยวนลังเลครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “ขุนนางเจิ้งกล่าวมาเถิด ข้ารู้ว่าใจเจ้าภักดี”
เจิ้งเสียเอ่ยอย่างจริงจัง “ฝ่าบาท ยามนี้สถานการณ์มีแนวโน้มว่ายงอ๋องจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ รัชทายาทก่อกบฏ ตามเหตุผลสมควรถูกปลด ยงอ๋องมีความดีความชอบมากล้น ทั้งยังอาวุโสมากที่สุด ครั้งนี้มิว่าฝ่าบาทคิดเห็นเช่นไร ตำแหน่งรัชทายาทนี้ย่อมเป็นของในกระเป๋าของยงอ๋องแล้ว ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทกดอำนาจยงอ๋องมากมายเพื่อปกป้องรัชทายาท ในใจยงอ๋องย่อมมีความแค้นเคืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ วันนี้ต่อให้ยงอ๋องคิดฉวยโอกาสชิงราชบัลลังก์ก็คงไม่มีใครสักกี่คนมุ่งมั่นต่อต้าน สำหรับพวกกระหม่อม ภักดีต่อยงอ๋องกับภักดีต่อฝ่าบาท ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกันแล้ว
ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ตำแหน่งของฝ่าบาทย่อมกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง หากฝ่าบาทลงโทษพวกรัชทายาทด้วยพระองค์เอง ย่อมต้องมีสักจุดทำให้ยงอ๋องไม่พอใจอย่างยากเลี่ยง หากในใจยงอ๋องคิดแค้นขึ้นมา แม้ยามนี้ฝ่าบาทจะปกป้องรัชทายาทกับฉีอ๋องได้ แต่เมื่อฝ่าบาทสิ้นพระชนม์แล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าวันหน้ายงอ๋องจะทำเช่นไร แต่หากมอบเรื่องนี้ให้ยงอ๋องจัดการ แล้วฝ่าบาทตรัสแสดงความเห็นของตนอย่างอ้อมๆ ยงอ๋องต้องคำนึงถึงจิตใจของฝ่าบาทเป็นแน่ ถึงเวลาฝ่าบาทก็จะทั้งสมประสงค์ ทั้งยังได้คลี่คลายความไม่ลงรอยของบิดากับบุตรระหว่างฝ่าบาทกับยงอ๋องอีกด้วย”
หลี่หยวนก้มหน้าคิดอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ลุกขึ้นคำนับเจิ้งเสีย เจิ้งเสียตกใจยิ่งนัก รีบหลบแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท นี่ทำอันใด กระหม่อมรับมิไหว”
หลี่หยวนตรัสอย่างปีติยินดี “คำแนะนำดีมักระคายหู ขุนนางเจิ้งคิดเพื่อตระกูลหลี่ของข้า หากวันหน้าข้ากับยงอ๋องปรองดองฉันท์พ่อลูก และรักษารัชทายาทกับฉีอ๋องไว้ได้ ล้วนเป็นความดีความชอบของท่าน”
เจิ้งเสียรีบกล่าวขออภัย แต่หลี่หยวนกลับสรวลตรัสว่า “ข้ากับขุนนางเจิ้ง เป็นเจ้าแผ่นดินกับขุนนางมาหลายปี มิต้องยึดพิธีรีตองเช่นนี้ แม้ข้ามองคนผิดไปหลายคน แต่มองขุนนางเจิ้งไม่ผิด ข้ารู้ว่าคำแนะนำอันตรงไปตรงมาของขุนนางเจิ้งล้วนใคร่ครวญมาเพื่อข้า เรื่องบางอย่างคงต้องให้เจ้าช่วยข้าออกความเห็น เจ้าคิดว่าต่อจากนี้ข้าสมควรทำเช่นไร”
เจิ้งเสียถามขึ้นมา “ฝ่าบาท ท่านจะต้องปกป้องรัชทายาทให้ได้หรือ”
หลี่หยวนตอบอย่างลังเลอยู่บ้าง “แม้รัชทายาทจะไม่มีดีสักอย่าง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อของข้า ข้าตัดใจมิลงจริงๆ”
เจิ้งเสียถามอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นฉีอ๋องเล่า”
หลี่หยวนตรัสด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยนเอ๋อร์แม้ยึดติดความผูกพันเกินไปสักหน่อย ไม่เหมาะจะเป็นจักรพรรดิ แต่ข้าก็รักเด็กคนนี้ยิ่งนัก ข้ามิอาจปล่อยให้จื้อเอ๋อร์ทำร้ายเขาเด็ดขาด”
เจิ้งเสียตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทก็มิสมควรปกป้องรัชทายาท มิเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายฉีอ๋อง”
หลี่หยวนถามอย่างตกตะลึง “นี่หมายความเช่นไร”
เจิ้งเสียอธิบาย “ฝ่าบาท ฉีอ๋อง หากกล่าวถึงด้านการปกครองและวรยุทธ์ล้วนสู้ยงอ๋องมิได้ กล่าวถึงสายเลือด ลำดับอาวุโสก็สู้ยงอ๋องมิได้ ดังนั้นหากรัชทายาทไม่อยู่แล้ว ฉีอ๋องจะเป็นแม่ทัพก็ได้ เป็นขุนนางก็ได้ แต่หากรัชทายาทยังอยู่ ถ้าเช่นนั้นมิว่าอย่างไร รัชทายาทก็ยังเป็นโอรสของฮองเฮา ฉีอ๋องกับรัชทายาทร่วมมือกันย่อมมีโอกาสก่อกบฏ ดังนั้นหากฝ่าบาทปกป้องรัชทายาท แล้วยงอ๋องยอมตกลงอย่างฝืนใจ สุดท้ายเขาย่อมระแวงฉีอ๋อง
ถึงเวลาหากมีคนเจตนายุแยง ช้าเร็วฉีอ๋องย่อมตายในเงื้อมมือยงอ๋องเพราะเหตุนี้ ถึงเวลาฝ่าบาทต้องการจะปกป้องโอรสทั้งสองพระองค์ แต่สักคนก็รักษาไว้ไม่ได้ หากสละรัชทายาท ถ้าเช่นนั้นฉีอ๋องย่อมไม่เป็นภัยต่อบัลลังก์ของยงอ๋องแล้ว ถึงเวลาเจ้าแผ่นดินกับขุนนางย่อมอยู่กันได้อย่างปรองดอง”
หลี่หยวนเงียบไปเนิ่นนานแล้วตรัสว่า “ขุนนางเจิ้งพูดถูกต้อง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงปกป้องลูกเนรคุณผู้นั้นมิได้แล้ว”
เจิ้งเสียเอ่ยอีกว่า “นี่เป็นความเห็นในแง่ความรู้สึก แต่หากกล่าวตามกฎมณเฑียรบาล รัชทายาทก่อกบฏชิงบัลลังก์ ทั้งยังชักจูงให้ฮองเฮาเสื่อมคุณธรรม นี่เป็นความผิดโทษฐานเนรคุณไม่เคารพบิดาไม่ภักดีเจ้าแผ่นดิน ไล่ล่าสังหารพี่น้องคือความผิดโทษฐานไม่รักสายเลือดเดียวกัน ทั้งเนรคุณและไม่เห็นแก่สายเลือดจะละเว้นได้เช่นไร แผ่นดินของฝ่าบาทต้องสืบต่ออีกพันปีหมื่นปี หากไม่เตือนชนรุ่นหลังว่าทุกคนต้องทำตามกฎมณเฑียรบาล ไยมิใช่ปล่อยให้เลือดเนื้อราชวงศ์เข่นฆ่ากันเอง”
หลี่หยวนฟังถึงตรงนี้ สีหน้าพลันพรั่นพรึง “คำพูดนี้ของขุนนางเจิ้งถูกต้องที่สุด ดี ข้าตัดสินใจแล้ว พระราชทานความตายแก่รัชทายาท ฮองเฮาเดิมสมควรพระราชทานความตายด้วย แต่เห็นแก่ความผูกพันนานปีระหว่างสามีภรรยา ให้ปลดเป็นสามัญชน ปล่อยให้นางเผชิญชะตาของนางเองเถิด เรื่องของฉีอ๋อง ข้าจะมอบให้ยงอ๋องจัดการก็แล้วกัน”
เจิ้งเสียเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ฝ่าบาททรงพระปรีชา หากเป็นเช่นนี้ ทั้งเตือนชนรุ่นหลังได้ แล้วยังทำให้ยงอ๋องยอมรับจากใจจริงได้ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องของฉีอ๋อง ยงอ๋องเองก็ไม่สะดวกลงโทษมากเกินไปเช่นกัน”
หลี่หยวนจิตใจปลอดโปร่งก็ตรัสต่อว่า “บทลงโทษครอบครัวของรัชทายาทตัดสินเสร็จแล้ว หลังจากนี้ก็ตราเป็นกฎไว้ แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง หลังกลับถึงเมืองหลวง ข้าจะเลื่อนยศให้จ่างซุนซื่อเป็นฮองเฮา ขุนนางเจิ้งคิดเห็นอย่างไร”
แรกสุดเจิ้งเสียตะลึง แต่จากนั้นก็ได้สติกลับมาทันที “ฝ่าบาททรงพระปรีชา สมควรเป็นเช่นนั้น” เจ้าแผ่นดินกับขุนนางมองหน้ากันแล้วคลี่ยิ้ม ต่างรู้กระจ่างแก่ใจแต่ไม่เอ่ยออกมา
เจิ้งเสียเข้าใจดี การแต่งตั้งจ่างซุนกุ้ยเฟยเป็นฮองเฮาเป็นความคิดที่ดีแน่นอน ยามนี้เห็นชัดอย่างยิ่งว่าหลี่หยวนยังต้องนั่งบนบัลลังก์อีกช่วงเวลาหนึ่ง ตำแหน่งฮองเฮามิอาจไร้ผู้ครอบครอง ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากแต่งตั้งยงอ๋องสืบทอดราชบัลลังก์ย่อมต้องมีมารดาสักคนให้ได้กตัญญู ยามนี้โต้วซื่อถูกถอดยศแล้ว มารดาผู้ให้กำเนิดยงอ๋องก็สิ้นไปนานแล้ว จี้กุ้ยเฟยเป็นกบฏ ถ้าเช่นนั้นก็มีเพียงจ่างซุนกุ้ยเฟยกับเหยียนกุ้ยเฟยที่มีคุณสมบัติขึ้นเป็นฮองเฮา
ทว่าฉีอ๋องมีส่วนเกี่ยวพันกับการก่อกบฏ เหยียนกุ้ยเฟยย่อมเสียคุณสมบัติที่จะขึ้นเป็นฮองเฮาไปโดยปริยาย แต่จ่างซุนกุ้ยเฟยฐานะสูงศักดิ์ ครั้งนี้องค์หญิงฉางเล่อเองก็สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ ในฐานะมารดาผู้ให้กำเนิดองค์หญิงฉางเล่อ จะแต่งตั้งจ่างซุนกุ้ยเฟยเป็นฮองเฮาก็เป็นเรื่องสมควรแก่เหตุผล มิหนำซ้ำสิ่งที่เหมาะเจาะที่สุดก็คือ จ่างซุนกุ้ยเฟยไม่มีพระโอรสที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ส่งผลต่อตำแหน่งรัชทายาทของยงอ๋อง ดังนั้นย่อมเหมาะแก่การเป็นมารดาของแผ่นดิน
ในเมื่อหลี่หยวนคิดถึงจุดนี้ขึ้นมาได้ เขาก็คงกำลังปูทางสู่บัลลังก์ให้ยงอ๋อง ไม่หวั่นเกรงยงอ๋องอีกต่อไปแล้ว ในฐานะขุนนาง หัวใจเจิ้งเสียย่อมปีติยินดี ทว่าเรื่องเช่นนี้รู้อยู่ในใจได้ แต่เอ่ยออกไปไม่ได้ เจ้าแผ่นดินกับขุนนางสองคนจึงทำได้เพียงมองหน้ากันแล้วยิ้มเท่านั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิแห่งต้ายงก็ตรัสอย่างลังเลเล็กน้อย “เจิ้งเสีย เรื่องที่องค์หญิงฉางเล่อมีใจให้เจียงเจ๋อ เจ้าคิดว่าสมควรทำเช่นไร”
เจิ้งเสียถามอย่างระมัดระวัง “มิทราบว่าฝ่าบาทกับยงอ๋องมีความคิดเช่นไร”
หลี่หยวนตรัสอย่างไม่พอใจ “จื้อเอ๋อร์เคยมาพบข้าเป็นการส่วนตัว หวังว่าข้าจะพระราชทานสมรสให้แก่องค์หญิงฉางเล่อกับเจียงเจ๋อ แต่ข้าเห็นว่าเจียงเจ๋อผู้นั้นเล่ห์เหลี่ยมล้ำลึก ร่างกายอ่อนแอขี้โรค ไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกับฉางเล่อจริงๆ จึงปฏิเสธไป แต่เจียงเจ๋อสร้างความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้ หากข้ายืนกรานไม่อนุญาตก็อาจจะทำให้เขาผิดหวัง”
เจิ้งเสียคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้ กระหม่อมเห็นว่าจัดการอย่างไรก็ไม่มีปัญหา ด้านหนึ่งเจียงเจ๋อเคยเป็นขุนนางหนานฉู่ องค์หญิงเคยเป็นพระมเหสีแห่งหนานฉู่ ฝ่าบาทปฏิเสธพระราชทานสมรสก็เหมาะควรแก่จารีต อีกด้านหนึ่งยามนี้เจียงเจ๋อเป็นขุนนางของต้ายงแล้ว ทั้งยังสร้างความชอบใหญ่หลวงปราบกบฏ องค์หญิงเป็นถึงธิดารักของฝ่าบาท ฐานะสูงศักดิ์ ขุนนางสร้างความชอบ พระราชทานองค์หญิงเป็นรางวัล เรื่องนี้ก็มิใช้เรื่องน่าติฉินหนักหนา ดูเพียงความเห็นของฝ่าบาทแล้ว”
หลี่จื้อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หากร่างกายของเจียงเจ๋อผู้นั้นดีขึ้นสักหน่อย ข้าจะช่วยให้ฉางเล่อสมหวังก็มิใช่จะไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้าไม่วางใจจริงๆ ปล่อยไปก่อนเถิด”
เจิ้งเสียเห็นฟ้ามืดแล้ว หลี่หยวนก็มีสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อยเช่นกัน จึงเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หารือเรื่องสำคัญกันได้พอสมควรแล้ว มิสู้ฝ่าบาทเข้าบรรทมก่อนเถิด”
หลี่หยวนสรวล ตรัสว่า “ข้าคิดตกแล้ว หลังจากนี้เรื่องสำคัญอันใดของบ้านเมืองกับกองทัพก็มอบให้ยงอ๋องเถิด ข้าจะใช้ชีวิตอย่างสบายใจสักหลายปี เจ้าอย่าเพิ่งไป ถ่ายทอดราชโองการแทนข้าเสร็จแล้วค่อยไปพักเถิด”