ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 79 บุญคุณล้ำลึกความแค้นมลาย (2)
เดือนสิบ วันที่เจ็ด หลี่หยวนกลับถึงเมืองหลวงแล้วออกราชโองการสามฉบับติดกัน ราชโองการฉบับแรกพระราชทานความตายแก่รัชทายาทและพระราชทานนามว่าลี่อ๋อง รวมถึงปลดฮองเฮาเป็นสามัญชน
ฉบับที่สองแต่งตั้งยงอ๋องเป็นรัชทายาทและผู้สำเร็จราชการ เรื่องสำคัญของบ้านเมืองและกองทัพล้วนให้ยงอ๋องตัดสินใจ
ฉบับที่สามแต่งตั้งจ่างซุนกุ้ยเฟยเป็นฮองเฮา เลือกวันฤกษ์ดีจัดพิธีแต่งตั้งฮองเฮา อีกประการหนึ่งองค์หญิงฉางเล่อมีความชอบช่วยถ่ายทอดราชโองการ พระราชทานอาณาเขตขนาดหมื่นครัวเรือนเป็นรางวัล พระราชทานนามหนิงกั๋ว สร้างตำหนักองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อพระราชทานแก่องค์หญิง
การกระทำอันรวดเร็วฉับไวของฝ่าบาททำคนไม่น้อยตกตะลึง ประชาชนและคนในราชสำนัก บ้างคิดว่ายงอ๋องฉวยโอกาสบีบบังคับจักรพรรดิ บ้างคิดว่าหลี่หยวนหวาดกลัวจนไม่มีกะจิตกะใจสนใจราชสำนักอีก แต่มิทราบว่าขุนนางผู้มีความชอบมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือซื่อจงเจิ้งเสีย
หลังจากยงอ๋องเข้ามาควบคุมราชสำนักก็เริ่มชำระความสิ่งที่ต่อมาเรียกกันว่า ‘คดีก่อกบฏของลี่อ๋อง’ อย่างเปิดเผย ขุนนางและชนชั้นสูงที่เกี่ยวข้องกับโทษกบฏของรัชทายาทถูกสั่งจองจำนับหมื่น คนที่ถูกลากเข้ามาเกี่ยวพันด้วยมากมายนับไม่ถ้วน ชั่วเวลาหนึ่ง ทั้งในนอกราชสำนักต่างหวาดผวาอยู่ไม่เป็นสุข มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่สังเกตว่าการกวาดล้างของยงอ๋องความจริงแล้วควบคุมได้ดียิ่งนัก
ขุนนางที่โดนหางเลขไปด้วยเกินกว่าครึ่งล้วนมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลที่แข็งแกร่ง ตระกูลเหล่านี้แม้ยามก่อตั้งแคว้นต้ายงสร้างความดีความชอบเอาไว้ แต่วันนี้กลับแย่งชิงกันกุมอำนาจ ยึดครองแผ่นดินไปจนถึงลอบเลี้ยงดูทหารเอาไว้ มีแนวโน้มจะแบ่งแยกดินแดนอยู่เลือนราง ครั้งนี้ยงอ๋องอาศัยคดีก่อกบฏ ใช้กองทหารในมือทำลายตระกูลแข็งแกร่งเหล่านี้จนแทบหมด
วิธีการของเขามีทั้งแข็งทั้งอ่อน สมาชิกคนสำคัญของตระกูลเหล่านั้นไม่ถูกสังหารก็ถูกจองจำในฐานะกบฏ เพราะไม่ว่าอย่างไรตระกูลเหล่านี้ก็มีความสัมพันธ์กับสำนักเฟิงอี้หรือเหวยกวนอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าลูกหลานสายรองของตระกูล หรือชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยตระกูลเหล่านั้นดำรงชีวิตล้วนไม่ถูกกล่าวโทษโดยง่าย
เพราะใบบุญจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ระหว่างกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วกับสำนักเฟิงอี้ ตระกูลมากอำนาจเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ถูกเข่นฆ่าจนเสียหายอยู่แล้ว เมื่ออ้างคำว่าคดีกบฏ ตระกูลใหญ่แต่ละแห่งพลันหวาดกลัวดั่งจักจั่นหน้าหนาว มิกล้าโผล่หัวออกมา ยงอ๋องจึงทำลายตระกูลแต่ละแห่งได้สะดวกขึ้น
ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือน ราชสำนักต้ายงก็เปลี่ยนโฉม ขุนนางที่สืออวี้พากลับมาจากโยวโจวกับขุนนางระดับกลางและระดับล่างที่ทำงานกันจริงๆ เหล่านั้น ทำให้แกนกลางของต้ายงฟื้นกลับมาดำเนินงานเป็นปกติอย่างรวดเร็วยิ่งนัก โลหิตชำระฝุ่นหนาที่เกาะอยู่บนราชสำนักต้ายงออกจนหมดสิ้น
ในกระบวนการนี้มีขุนนางประเภทหนึ่งถูกล้างบางเป็นพวกแรกสุด นั่นก็คือขุนนางที่ภรรยา หรือบุตรสาวในครอบครัวเกี่ยวพันกับสำนักเฟิงอี้ ขุนนางเหล่านี้โทษทัณฑ์เบาสุดคือลดขั้นลดตำแหน่ง หนักขึ้นมาหน่อยก็คือปลดออกจากตำแหน่งขุนนาง ไปจนถึงขั้นขึ้นศาลไต่สวนก็มี
ศิษย์สำนักเฟิงอี้มากมายเดิมทีเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ มากกว่าครึ่งเข้าสำนักเฟิงอี้เพื่อยกระดับฐานะ ดังนั้นคนมากกว่าครึ่งจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับสำนักเฟิงอี้ในทันที สตรีประเภทนี้หากได้บิดาพี่น้องและครอบครัวสามีปกป้องก็ยังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้
แม้ว่าเรื่องอย่างการทอดทิ้งภรรยา หรือบุตรสาวจะเกิดขึ้นไม่ขาด แต่ถึงอย่างไรมากกว่าครึ่งก็ยังตั้งตัวใหม่ได้ ทว่าหากเป็นสตรีที่ถือกำเนิดจากครอบครัวยากจนและเข้าสำนักเฟิงอี้เพื่อแต่งงานกับลูกหลานตระกูลชั้นสูง หรือตระกูลที่มีอำนาจในราชสำนัก โชคชะตาน่ารันทดกว่ากันมาก ไม่ถูกครอบครัวสามีหย่าขาดก็ถูกไล่ไปอยู่เรือนห่างไกล ทว่าในห้วงเวลาที่คมดาบสังหารฟันว่อน ความรันทดโศกสลดของสตรีเหล่านี้ถูกคาวโลหิตของการกวาดล้างกลบไว้
มิใช่ว่ายงอ๋องใช้วิธีโหดเหี้ยมไร้เมตตาเช่นนี้ตลอด ขุนนางบางส่วนที่ก่อนหน้านี้อยู่ฝ่ายรัชทายาท หรือเป็นลูกศิษย์ของเหวยกวน ขอเพียงไม่มีหลักฐานการก่อกบฏชัดเจนและตัวเองมีความสามารถมิใช่ชั่ว เช่นนั้นก็จะไม่ถูกกวาดล้าง ระหว่างกระบวนการกวาดล้างของยงอ๋อง ผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือฝ่ายทหาร
ยงอ๋องออกคำสั่ง เหล่าทหารของกองทัพสละเลือดเพื่อชาติล้วนมีความดีความชอบจากการรบ ดังนั้นไม่อนุญาตให้มีการกวาดล้างในกองทัพ ต่อให้พบแม่ทัพจำนวนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสำนักเฟิงอี้จริง ขอเพียงยอมเขียนหนังสือสำนักผิดอย่างละเอียดหนึ่งฉบับก็ได้รับการละเว้น
ดังนั้นการกวาดล้างอย่างแข็งกร้าวของยงอ๋องจึงไม่เพียงไม่ทำอันตรายรากฐานของต้ายง กลับกันยังทำให้กำลังของกองทัพแข็งแกร่งขึ้นด้วย เพราะลูกหลานของหลายตระกูลกับผู้คนในยุทธภพต่างอาศัยการเข้ากองทัพมาหลบเลี่ยงการถูกลากไปพัวพันคดีก่อกบฏ หลังจากผ่านวิกฤติ กำลังทหารของต้ายงจึงกลับกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นอีก
เดือนสิบ วันที่เก้า เจิ้งเสียนำสุราพิษ ผ้าขาวกับกระบี่สั้นเล่มหนึ่งมายังตำหนักจิ่นอานที่รัชทายาทถูกจองจำอยู่ นี่เป็นครั้งที่สองที่รัชทายาทถูกกักตัวอยู่ในที่แห่งนี้ ครั้งก่อนแม้หลี่อันจะหวาดหวั่น แต่มีเหวยอิงคอยดูแลอย่างลับๆ แล้วยังมีสำนักเฟิงอี้กับหลู่จิ้งจงวิ่งเต้นอยู่ด้านนอก ในใจจึงยังมั่นใจอยู่ แต่ครั้งนี้หลี่อันไร้ที่พึ่งแล้ว เขาขดตัวอยู่ในตำหนัก น้ำชาอาหารไม่แตะ เหลือเพียงลมหายใจ
เจิ้งเสียกำลังจะเดินเข้าไปก็พลันเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมาแต่ไกล เพียงเห็นโคมของพวกเขาก็ทราบว่าเป็นคนของจวนยงอ๋อง เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เจิ้งเสียมองปราดเดียวก็เห็นว่าผู้ที่นำหน้ามาคือเจียงเจ๋อ ผู้ที่ยืนอยู่ตำแหน่งคนรับใช้ด้านหลังเขาก็คือเงามารหลี่ซุ่น รอบตัวยังมีองครักษ์ยืนล้อมคุ้มกันอย่างแน่นหนา
เจียงเจ๋อก้าวเข้ามาคำนับแล้วเอ่ยว่า “ผู้น้อยรับบัญชายงอ๋อง เดินทางมาส่งรัชทายาท ขอใต้เท้าซื่อจงอนุญาต”
เจิ้งเสียขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นี่ผิดมารยาท มีราชโองการของฝ่าบาทหรือไม่”
จิตสังหารแผดเผาดวงตาของเจียงเจ๋อ เขาเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าซื่อจง ผู้น้อยขอบอกตามตรง ครั้งนี้ข้าเดินทางมา ยงอ๋องมิทราบเรื่อง ข้าใช้ป้ายทองขององค์ชายหลอกทหารราชองครักษ์เข้ามา ครานี้ข้าต้องพบหน้ารัชทายาทให้จงได้ หากใต้เท้าซื่อจงไม่อนุญาต ถ้าเช่นนั้นเจียงเจ๋อก็มีแต่ต้องบุกเข้าไปแล้ว”
เจิ้งเสียฟังแล้วตกตะลึง เขาเพ่งพิจก็เห็นสีหน้ายอมแตกหักบนใบหน้าของเจียงเจ๋อ แม้เจิ้งเสียเป็นผู้ดำรงตนอยู่ในกฎ แต่มิใช่คนหัวแข็งไม่ยืดหยุ่น ในใจคิดว่า คนผู้นี้ช่วยเหลือยงอ๋องบีบรัชทายาททีละก้าวๆ หรือจะเป็นเพราะเขากับรัชทายาทมีความแค้นบางอย่างระหว่างกัน คนผู้นี้ความคิดลึกล้ำโหดเหี้ยม หากข้าดื้อดึงมิยอมแล้วเขาคิดแค้น จะต้องมีภัยร้ายเกิดขึ้นแน่ หากทำร้ายเพียงข้ายังพอทน แต่หากคนผู้นี้จงใจยุแยงความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างฝ่าบาทกับยงอ๋องขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นย่อมเป็นความผิดของข้าแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นคำสั่งของยงอ๋อง ข้าก็ยอมอนุญาตได้ เจียงซือหม่าเข้าไปด้วยกันกับข้าเถิด”
เจียงเจ๋อเผยความยินดีแทบคลั่งออกมาชั่วครู่ เขาโบกมือให้องครักษ์ทั้งหลายรออยู่ด้านนอก แล้วพาเพียงเสี่ยวซุ่นจื่อตามหลังเจิ้งเสียเข้าไป เจิ้งเสียเดิมทีพาขันทีใจกล้ากำลังมากมาด้วยสองคน เผื่อรัชทายาทมิยอมปลิดชีพ ตนก็จะให้พวกเขาลงมือช่วย แต่ดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เจิ้งเสียจึงโบกมือให้พวกเขารออยู่ด้านนอกเพื่อไม่ให้ขันทีสองคนนี้เห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็น
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในตำหนักจิ่นอาน เห็นหลี่อันขดร่างตัวสั่นเทาอยู่บนเตียง เจิ้งเสียถอนหายใจแผ่วเบาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เจียงเจ๋อสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง
หลังจากเจิ้งเสียประกาศราชโองการ เสี่ยวซุ่นจื่อจึงยกถาดที่รับมาเมื่อครู่แล้วเดินเข้าไป เขาก้าวเข้าไปวางสุราพิษ ผ้าแพรขาวกับกระบี่สั้นไว้ หลี่อันกรีดร้องพลางกระถดถอยหลัง มิยอมปลิดชีพตนดังคาด
ข้าเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยเบาๆ “รัชทายาท ขอถามท่านว่าจำหลิ่วเพียวเซียงแห่งหนานฉู่ได้หรือไม่”
ดวงตาหลี่อันฉายแววงุนงง ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นว่า “จำได้ ข้าเคยร่วมราตรีกับนาง แต่ให้เหลียงหวั่นส่งกลับไปแล้วมิใช่หรือ ใต้เท้าเจียง ขอท่านได้โปรดวิงวอนน้องรอง ขอเพียงละเว้นชีวิตข้า ข้ายินดีถูกจองจำชั่วชีวิต หรือไม่ก็ออกบวชเป็นพระ”
ในอกข้าเลือดลมพลุ่งพล่าน คิดไม่ถึงว่ายามนั้นเหลียงหวั่นจะหลอกข้า ที่แท้ผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารเพียวเซียงก็คือตัวนางเอง ส่วนหลี่อันผู้นี้แม้จะเป็นตัวการสำคัญ แต่มิใช่ผู้ร้ายที่ลงมือฆ่า ทว่าข้ายิ่งคิดก็ยิ่งแค้น หากไม่ใช่เพราะเขามั่วโลกีย์ หากมิใช่เพราะเหลียงหวั่นทำเพื่อปกป้องความลับเรื่องตัวตนของเขา เพียวเซียวจะถูกทำร้ายได้อย่างไร เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าก็หันไปมองเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วเอ่ยว่า “รัชทายาทมิยอมออกเดินทาง เจ้าช่วยเขาหน่อยเถิด”
เสี่ยวซุ่นจื่อมองเจิ้งเสีย แล้วขยับมือหยิบสุราพิษขึ้นมา ก้าวเข้าไปจับหลี่อันไว้ จากนั้นกรอกสุราพิษลงคอเขาอย่างง่ายดาย หลี่อันขาดใจตายอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขียวคล้ำดวงนั้นปรากฏสีหน้าไม่ยินยอมและสำนึกเสียใจ แต่มิทราบว่าเขานึกเสียใจสิ่งใดบ้าง
ข้ารู้สึกว่าหัวใจว่างเปล่า เมื่อความแค้นใหญ่หลวงได้รับการชำระแล้ว ข้ากลับไม่รู้ต้องทำสิ่งใด เวลานี้เจิ้งซื่อจงจึงเอ่ยอย่างแฝงความนัย “ใต้เท้าเจียง อดีตจบลงแล้ว อนาคตยังรอคอยอยู่ ท่านต้องตั้งสติเอาไว้”
ข้าหันมองเจิ้งเสียก่อนจะก้าวเข้าไปคำนับ “ใต้เท้าเจิ้งโปรดวางใจ แม้เจียงเจ๋อมีความต้องการส่วนตัวบ้าง แต่มิเคยยุแยงยงอ๋องให้มิเห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้อง ทว่ารัชทายาทกระทำชั่วช้าเลวทรามมามาก หากวันนี้เจียงเจ๋อมิได้มาส่งคู่แค้นออกเดินทาง ในใจรู้สึกไม่ยินยอมจริงๆ”
แม้เจิ้งเสียได้ฟังเพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่ก็พอคาดเดาความจริงได้บางส่วน ถึงกระนั้นเขาก็ทราบว่าวันนี้ไม้กลายเป็นเรือแล้ว ตนเองมิจำเป็นต้องยุ่งไม่เข้าเรื่อง ขอเพียงเตือนชายหนุ่มคนนี้มิให้ทำร้ายบ้านเมืองเพราะความแค้นส่วนตัวก็เพียงพอ
ทั้งสามคนกำลังจะออกไป ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงคนดังเอะอะดังเข้ามา เมื่อเดินมาถึงนอกตำหนักจึงเห็นยงอ๋องกำลังรีบร้อนเดินเข้ามา หลังจากเห็นเจิ้งเสียกับเจียงเจ๋อ ยงอ๋องพลันมีสีหน้าโล่งใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าเจิ้ง ข้าให้เจียงเซือหม่าเดินทางมาส่งรัชทายาท เพราะหวังว่าจะทำหน้าที่ของพี่น้องให้ถึงที่สุดเท่านั้น ขอใต้เท้าเจิ้งอย่าได้ถือโทษ”
เจิ้งเสียอดรู้สึกขบขันมิได้ แต่ไม่แสดงออก เพียงเอ่ยว่า “นี่นับเป็นน้ำใจ กระหม่อมจะตำหนิได้อย่างไร ฝ่าบาทกำลังรอกระหม่อมกลับไปถวายรายงาน เชิญองค์ชายตามสบาย”
หลังจากเจิ้งเสียเดินไปแล้ว ยงอ๋องก็เดินเข้ามาถลึงตาใส่เจียงเจ๋อ เอ่ยว่า “ท่านช่างขวัญกล้าเทียมฟ้าจริง ถึงขั้นกล้าปลอมคำสั่งของข้า กลับไปค่อยชำระความกับท่าน” จากนั้นจึงเอ่ยเสียงอ่อนลง “สุยอวิ๋น ในเมื่อท่านมีเรื่องในใจเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่บอกกล่าวข้า ท่านนี้ช่าง เฮ้อ”
หัวใจข้าพลันรู้สึกอบอุ่น รีบเบี่ยงหน้าหลบมิให้คนเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอ แล้วกระซิบตอบเสียงเบา “กระหม่อมมิกล้าเอาเรื่องส่วนตัวมาทำให้เสียเรื่องส่วนรวม องค์ชายปกป้องกระหม่อม กระหม่อมซาบซึ้งจนน้ำตาไหล หลังจากนี้มิกล้าปิดบังองค์ชายอีกเด็ดขาด”
ยงอ๋องถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “กลับกันเถิด หากมิใช่เซี่ยโหวเห็นท่านเข้าวังตอนกลางดึก ข้าก็คงยังมิทราบว่าท่านบุ่มบ่ามเช่นนี้ โชคดีใต้เท้าเจิ้งมิตำหนิท่าน”
ข้าคำนับขออภัยอีกครั้งแล้วตามยงอ๋องออกจากวัง ระหว่างทางในใจข้าเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ บุญคุณมากมายของยงอ๋อง ข้าคงตอบแทนไม่มีวันหมด