ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 9 ผู้มาเยือนจากตงไห่ (1)
หนานฉู่ รัชศกถงไท่ปีที่สอง เจียงเจ๋อเดินทางยามราตรีในเมืองฉางอัน ระหว่างทางพานพบเยี่ยเทียนซิ่ว องครักษ์ของชิ่งอ๋อง และฟางหย่วนซิน แม่ทัพผู้ห้าวหาญใต้บัญชาของตงไห่โหวเจียงหย่ง
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกธาราเคียงเมฆ
เสี่ยวซุ่นจื่อเลิกม่านขึ้นก็เห็นองครักษ์สิบสองนายที่คอยปกป้องข้ากำด้ามดาบคุ้มกันรถม้าไว้แล้ว องครักษ์โจว โจวอู่ผู้คอยเปิดทางด้านหน้ากำลังชี้หน้าคนสองคนที่พุ่งเข้ามาตัดรถม้า “พวกเจ้าคือผู้ใด กล้ามาขวางรถม้าของพวกเรา”
ข้ามองลอดรอยแยกของผ้าม่านจึงเห็นว่าหน้ารถม้ามีบุรุษยืนอยู่สองคน ผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีเทา หน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา ข้างกายพกกระบี่ยาว ส่วนอีกผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีดำ แม้หน้าตาไม่เลวเช่นกัน แต่ผิวเป็นสีทองแดง สองมือกำลังจับสายบังเหียนของโจวอู่ไว้ ข้ามองปราดเดียวก็เห็นว่ามือของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลจางๆ ในใจจึงฉุกคิดบางอย่าง ทันใดนั้นสายตาก็เคลื่อนไปเห็นว่าในอ้อมแขนของบุรุษชุดเทาผู้นั้นอุ้มเด็กน้อยอายุหกเจ็ดปีคนหนึ่งอยู่ เสื้อผ้ามอมแมม แม้สีหน้าตกใจแต่ไม่หวาดกลัวเท่าใดนัก
เวลานี้เองก็ได้ยินโจวอู่เอ่ยเสียงดุดัน “ยามนี้ดึกดื่นไร้คน แม้พวกเราควบอาชาก็ยากจะทำใครบาดเจ็บ แม้เด็กน้อยผู้นี้โผล่มากะทันหัน แต่ข้าเชื่อว่าตนหยุดม้าทันเวลา พวกเจ้าไยต้องยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
บุรุษอาภรณ์สีดำผู้นั้นเอ่ยอย่างโมโห “ไม่ว่ายามใดก็แล้วแต่ จะควบอาชาในเมืองได้เช่นไร หากข้าไร้กำลังหยุดม้า เกรงว่าเด็กน่าสงสารคนนี้คงบาดเจ็บใต้กีบเท้าม้าแล้ว”
โจวอู่กำลังจะเถียง จิงฉือก็อ้อมมาจากด้านหลัง เขาถลึงตาใส่โจวอู่แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ควบอาชาทะยานยามดึกมิคิดว่าบนถนนจะยังมีคน นี่เป็นความผิดของพวกข้า ผู้แซ่จิงขออภัยแทนสหายคนนี้ของข้าด้วย ในเมื่อทั้งสองท่านใจกล้าเข้ามายุ่งก็คงเป็นผู้กล้าคนหนึ่ง กล้าไปกับพวกเราสักหน่อยหรือไม่”
บุรุษสองคนนั้นสบตากัน พวกเขาต่างมองเห็นความลังเลในดวงตาของอีกฝ่าย รถม้าที่คนกลุ่มนี้ห้อมล้อมอยู่แม้ธรรมดาอย่างยิ่ง แต่สร้างมาอย่างดี แค่เห็นก็ทราบว่าไม่ใช่ของที่สามัญชนใช้ อีกประการหนึ่ง แม้องครักษ์เหล่านี้จะสวมเสื้อผ้าเยี่ยงชาวบ้าน แต่บรรยากาศมิธรรมดา เพียงดูท่วงท่าที่พวกเขานั่งบนหลังม้าก็ทราบแล้วว่าพวกเขาคงเป็นทหาร แต่ละคนยังวรยุทธ์ไม่ธรรมดา ขบวนคนคุ้มกันเช่นนี้หากมิใช่ตระกูลระดับกงหรือโหวคงไม่มีแน่ ตัวตนของพวกเขามิสะดวกเปิดเผย ทั้งสองคนจึงส่งสายตาให้กัน จากนั้นคนที่สวมอาภรณ์สีเทาผู้นั้นจึงเอ่ยอย่างเรียบๆ “ในเมื่อพวกท่านขออภัยแล้วก็แล้วกันเถิด พวกเรายังมีธุระ มิรบกวนแล้ว”
ว่าจบ ทั้งสองคนก็ทำท่าจะจากไป แต่จิงฉือกลับหัวเราะกังวานแล้วโบกมือ องครักษ์แปดคนทะยานม้าพุ่งเข้าไปจากซ้ายขวาล้อมทั้งสองคนไว้ตรงกลางอย่างว่องไว สองคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด บุรุษอาภรณ์สีเทาขมวดคิ้วเป็นปม บุรุษอาภรณ์สีดำใบหน้ากลับเผยจิตสังหาร ยามนี้จิงฉือจึงเอ่ยว่า “ผู้แซ่จิงอยู่ที่ฉางอันมาสักระยะแล้ว มองปราดเดียวก็ทราบว่าทั้งสองท่านเป็นคนต่างถิ่น ที่นี่คือใจกลางนครหลวงใต้บาทโอรสสวรรค์ ต่อให้เป็นโจรปล้นฆ่าจากต่างถิ่นมาถึงที่แห่งนี้ยังต้องเคารพกฎระเบียบ ไม่มีผู้ใดกล้าเดินเตร่ยามค่ำคืน เพราะถึงอย่างไรพบกองทหารราชองครักษ์ลาดตระเวนเข้าย่อมยุ่งยากอย่างมิอาจเลี่ยง ทั้งสองท่านใจกล้าเช่นนี้ คิดว่าวรยุทธ์คงสูงส่ง เหินข้ามไปข้ามมาบนที่สูงจึงไม่เป็นปัญหา”
บุรุษอาภรณ์เทาเอ่ยอย่างเย็นชา “แล้วอย่างไร ฉางอันมิได้ห้ามเดินทางยามวิกาล พวกเราจะออกมาเตร็ดเตร่ยามราตรีก็เป็นเรื่องของพวกเรา เพียงเพราะพวกเราเข้ามายุ่ง ท่านก็จะอ้างเรื่องนี้มาหาเรื่องหรือ คิดจะจับพวกเราส่งทางการหรือไร”
จิงฉือยกยิ้ม “หาใช่เช่นนั้นไม่ เพียงจะเชิญทั้งสองท่านไปเป็นแขกของพวกเราเท่านั้น หากทั้งสองท่านล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ผู้แซ่จิงมิเพียงจะขอขมาทั้งสองท่าน ยังจะคบหาทั้งสองท่านเป็นมิตรสหาย วันหน้าหากมีเรื่องลำบากใดที่ฉางอัน ขอเพียงผู้แซ่จิงช่วยได้ จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
บุรุษอาภรณ์สีเทาผู้นั้นกุมด้ามกระบี่ สีหน้าเคร่งเครียด ส่วนบุรุษอาภรณ์ดำผู้นั้นวางมือไว้ที่เอว ดูท่าทางเหมือนกำลังจะลงมือ แต่เมื่อพวกเขาเห็นองครักษ์แต่ละคนจับจ้องมาดร้าย แล้วจิงฉือยังมีดวงตาทรงอำนาจดุจพยัคฆ์ จิตสังหารเทียมฟ้าห้อมล้อมทั้งสองอยู่ตรงกลาง ทั้งสองคนจึงอดไม่ได้วิตกยิ่งนัก ต่อให้ฝ่าวงล้อมออกไปได้ก็เกรงว่าคงเปิดเผยร่องรอย ระหว่างที่ลังเลอยู่นั่นเอง ม่านรถก็เปิดออก ชายหนุ่มผู้หนึ่งยื่นตัวออกมา เขาห่มเสื้อคลุมสีดำปกปิดอาภรณ์ที่สวมใส่ หน้าตาสุขุมสง่ายิ่งนัก เขาปรากฏตัวขึ้นขณะที่การต่อสู้กำลังจะปะทุท่ามกลางจิตสังหารอันท่วมท้น จากนั้นยกยิ้มเอ่ยว่า “แม่ทัพจิง หยุดก่อน”
ทั้งสองคนนึกอะไรขึ้นได้ พวกเขาต่างหันไปมองจิงฉือ ดวงตาฉายประกายเข้าใจ ทว่าสายตาที่มองมาหาข้ากลับแฝงความสงสัย ข้ายิ่งรู้สึกว่าตนเองคาดไม่ผิด จึงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ข้าเจียงเจ๋อซือหม่าแห่งจวนแม่ทัพเทียนเช่อใต้บัญชาของยงอ๋อง เมื่อครู่ข้าล่วงเกินแล้ว ผู้แซ่เจียงขออภัยทั้งสองท่านแทนพวกเขาด้วย” ข้าพูดจบก็ประสานมือคำนับ
สองคนนั้นค้อมกายคำนับกลับพร้อมกันโดยไม่ได้นัด ดวงตาของบุรุษอาภรณ์สีเทาคนนั้นทอประกายประหลาดก่อนจะตอบว่า “ที่แท้ก็ใต้เท้าเจียง ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงมานาน ขอโปรดอภัยความผิดที่พุ่งมาขวางขบวนรถด้วย”
บุรุษอาภรณ์สีดำผู้นั้นสีหน้าทั้งตกตะลึงทั้งยินดีแต่กลับไม่พูดไม่จา ข้ามองเขาแล้วขยับยิ้ม “พี่เยี่ย พี่ฟางอยู่ที่ฉางอันต้องระวังตัว องค์ชายมิได้มีเจตนาร้ายต่อนายของท่านทั้งสอง แต่หากพี่ฟางเปิดเผยร่องรอย องค์ชายของข้าก็คงมิสะดวกไว้ไมตรี แม้ฉางอันดีแต่ยากอยู่นาน โปรดรีบจากไปโดยเร็วเถิด”
ข้าเพิ่งพูดคำว่า “พี่ฟาง” ทั้งสองคนนั้นพลันสะดุ้งพร้อมกัน เกร็งพลังภายในทั่วร่างหมายจะลงมือทันที แต่คำพูดต่อมาของข้ากลับทำให้พวกเขาโล่งอก บุรุษอาภรณ์ดำผู้นั้นลังเลครู่หนึ่งก็ค้อมกายคำนับ “ใต้เท้าเจียง ผู้แซ่ฟางเข้าเมืองหลวงด้วยเหตุจำเป็น มิทราบใต้เท้าสละเวลาพูดคุยกันสักหน่อยได้หรือไม่”
ข้ากลับเป็นฝ่ายตกตะลึงบ้าง การที่ข้ามองตัวตนของสองคนนี้ออกเป็นเรื่องบังเอิญ เซี่ยเทียนซิ่วผู้นั้นเดิมเป็นลูกน้องของชิ่งอ๋อง เคยเข้าเมืองหลวงอย่างลับๆ มาหลายครั้ง ข้าเคยเห็นภาพวาดของเขา จดจำเขาได้ก็สมควร แต่คนแซ่ฟางผู้นั้น ข้าเดาเอา คนผู้นี้สีผิวไม่เหมือนผู้ใด เห็นชัดว่าเกิดจากการตากแดดมานานปี เมื่อเห็นรอยที่เกิดจากการถูกเชือกขึงใบเรือบาดนานปีบนมือเขา ผนวกกับที่เขาสนิทสนมกับเยี่ยเทียนซิ่ว ข้าจึงเดาตัวตนของเขาออก เดิมคิดจะพูดจาแสดงความเป็นมิตรสักสองสามประโยคแล้วจะให้พวกเขาจากไป ไม่ให้เกิดตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่คิดไม่ถึงฟางหย่วนซินผู้นี้กลับอยากจะพูดคุยกับข้า หาเรื่องนี้แพร่ออกไปล่ะก็ ถึงอย่างไรเจียงหย่งก็ยังเป็นกบฏ แม้จักรพรรดิต้ายงไม่ต้องการระรานเขา แต่สำหรับตัวข้าย่อมไม่เป็นการดีนัก ทว่าเมื่อเห็นสายตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาวิงวอน ข้าก็ใจอ่อนเอ่ยว่า “เชิญพี่ฟางขึ้นมาคุยบนรถ”
ฟางหย่วนซินมองเยี่ยเทียนซิ่วพริบตาหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
เยี่ยเทียนซิ่วกระซิบถาม “เขาเป็นคนสนิทของยงอ๋อง เจ้าจงไตร่ตรองให้ดี”
ฟางหย่วนซินยิ้มขมขื่น “ชีวิตของนายน้อยเป็นเรื่องเร่งด่วน เรื่องนี้คิดมากไม่ได้แล้ว ยงอ๋องคงไม่ฉวยโอกาสยามผู้อื่นตกอยู่ในวิกฤติกระมัง”
ฟางหย่วนซินก้าวขึ้นรถม้า เยี่ยเทียนซิ่วมองข้าอย่างกังวลก่อนจะคำนับขอตัวจะพาเด็กน้อยผู้นั้นจากไป
ทันใดนั้นข้าก็เอ่ยเสียงดัง “ช้าก่อน”
เยี่ยเทียนซิ่วหวาดผวาวูบหนึ่งแล้วหันกลับมา “ใต้เท้ามีอันใดจะสั่งหรือ”
ข้ายกยิ้มบอกว่า “พี่เยี่ยเพียงผ่านทางฉางอัน เด็กคนนี้มอบให้ผู้แซ่เจียงจัดการเถิด”
เยี่ยเทียนซิวโล่งอกตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นต้องฝากใต้เท้าเจียงแล้ว” กล่าวจบก็หายลับไปท่ามกลางราตรีอย่างรวดเร็ว องครักษ์ผู้หนึ่งบังคับอาชาก้าวไปข้างหน้าแล้วก้มลงไปหิ้วเด็กคนนั้นขึ้นมาบนหลังม้า เด็กผู้นั้นดิ้นรนอย่างดื้อรั้นครู่หนึ่ง ดวงตามององครักษ์ผู้นั้นด้วยแววตาเป็นอริ องครักษ์ผู้นั้นกลับหัวเราะลั่นแล้วตบศีรษะเขาเบาๆ
ฟางหย่วนซินเพิ่งเหยียบเข้ามาในรถก็เห็นเด็กหนุ่มดวงหน้างามเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านในกำลังมองเขาอย่างเย็นชา สายตาเย็นยะเยือกนั่นทำให้ฟางหย่วนซินรู้สึกราวกับทั่วร่างถูกน้ำเย็นทั้งถังสาดจนหนาวไปถึงหัวใจ เขารู้ตัวตนของคนผู้นี้ทันที ‘เงามาร’ หลี่ซุ่น ยอดฝีมือชั้นเลิศผู้มีวรยุทธ์พิสดารร้ายกาจจนน่าตะลึงแต่กลับยินยอมลดตัวเป็นบ่าวรับใช้
ข้าเห็นฟางหย่วนซินทำหน้าเหมือนนั่งบนพรมปักเข็ม ข้าจึงส่งสายตาให้เสี่ยวซุนจื่อ ไอสังหารรอบตัวเขาหดหายไร้ร่องรอยทันควัน ฟางหย่วนซินจึงรู้สึกโล่งอก ในใจคิดว่าเงามารไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าเห็นเขาสงบใจลงแล้วจึงเอ่ยว่า “ไม่ทราบพี่ฟางต้องการพูดอันใดกับผู้แซ่เจียงหรือ”
ฟางหย่วนซินสีหน้าหม่นหมองเอ่ยว่า “ในเมื่อใต้เท้าเจียงทราบตัวตนของข้าแล้วก็คงทราบว่านายของข้าคือผู้ใด”
ข้าขยับยิ้ม “ผู้แซ่เจียงย่อมทราบ แต่ในเมื่อแม่ทัพฟางทราบว่ายามนี้นายของท่านยังคงเป็นผู้ต้องโทษของต้ายง เหตุใดจึงต้องการพุดคุยกับผู้แซ่เจียง หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไป น่ากลัวว่าต่อให้ผู้แซ่เจียงต้องการปล่อยท่านไปก็คงไม่ได้แล้ว”
ฟางหย่วนซินตอบว่า “ผู้แซ่ฟางเห็นใต้เท้าเจียงมีเจตนาจะปกป้องจึงกล้าปรึกษากับใต้เท้า”
ข้านึกถึงการกระซิบกระซาบระหว่างเขากับเยี่ยเทียนซิ่วเมื่อครู่ ในใจคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงแย้มรอยยิ้มถามว่า “ไม่ทราบมีเรื่องใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือ”