ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 16 พี่น้องพบหน้า (2)
ชิ่งชินอ๋องหลี่คังปีนี้อายุสามสิบเจ็ดปี นับตั้งแต่สำนักเฟิงอี้ล่มสลาย ฐานะและตำแหน่งของเขาก็สูงขึ้นอย่างมากในทันใด หากกล่าวถึงฐานะ เขาเป็นโอรสองค์ที่สามของหลี่หยวน ยามนี้หลี่อันโอรสองค์โตได้รับพระราชทานความตายเพราะก่อกบฏ หลี่จื้อโอรสองค์รองกลายเป็นจักรพรรดิ เมื่อพูดถึงความสูงศักดิ์ของฐานะ ชิ่งชินอ๋องจึงเป็นรองเพียงบิดาและพี่ชาย
องค์ชายองค์อื่นที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก องค์ชายห้าหนิงจวิ้นอ๋องนามหลี่ฉีร่างกายอ่อนแอขี้โรคตั้งแต่เล็ก ทั้งไม่เป็นที่โปรดปรานของหลี่หยวนและไม่เคยยุ่งเกี่ยวงานบ้านเมือง หลังจากหลี่จื้อขึ้นครองบัลลังก์เพิ่งแต่งตั้งเขาเป็นจวิ้นอ๋อง ฝ่ายฉีอ๋องแม้ได้ละเว้นโทษและยังได้รับอำนาจนำทัพ แต่เพราะเคยต้องสงสัยในการก่อกบฏ บรรดาศักดิ์จึงลดจากชินอ๋องเป็นจวิ้นอ๋อง ส่วนองค์ชายกับองค์หญิงลำดับถัดจากฉีอ๋องลงไปต่างยังไม่เป็นผู้ใหญ่
ในขณะที่เวลานี้หลี่คังมีความชอบจากการป้องกันอาณาเขตจนเลื่อนยศจากจวิ้นอ๋องเป็นชินอ๋อง ฝ่ายหนึ่งลด ฝ่ายหนึ่งเพิ่ม ชิ่งชินอ๋องผู้กุมอำนาจทหารและการปกครองในอี้โจวจึงกลายเป็นบุคคลผู้อยู่เหนือคนนับหมื่นอยู่ใต้คนเพียงคนเดียวในราชสำนัก
ครั้งนี้เขารับบัญชาจักรพรรดิมาเป็นราชทูตร่วมแสดงความยินดีที่ตงไห่ หลี่คังย่อมดีใจยิ่งนัก เขากับตงไห่โหวเจียงหย่งลอบติดต่อกันมานานแล้ว หากฉวยโอกาสเกลี้ยกล่อมให้เจียงหย่งสวามิภักดิ์ต่อต้ายงได้ ย่อมเป็นความดีความชอบใหญ่หลวง ดังนั้นหลี่คังผู้นั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าสุดจึงพูดจายิ้มแย้ม แสดงท่าทีเป็นมิตรมีอารมณ์ขัน ชินอ๋องผู้องอาจสง่างามและกำลังรุ่งโรจน์ดั่งดวงตะวันกลางฟ้าวางตัวใกล้ชิดเข้าถึงง่ายเช่นนี้ย่อมทำให้แขกเหรื่อในโต๊ะรู้สึกดุจอาบสายลมใบไม้ผลิ
ลู่ช่านราชทูตจากหนานฉู่กลับเป็นอีกแบบหนึ่งอย่างสิ้นเชิง แม้อายุเพียงยี่สิบห้าปี แต่ลู่ช่านผู้ครองตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่กลับสีหน้าสุขุมเฉยชา ทำให้คนมองความคิดของเขาไม่ออกแม้แต่น้อย
ความจริงแม้ต้ายงจะส่งราชทูตผู้สูงศักดิ์มากอำนาจเช่นชิ่งชินอ๋องหลี่คังมา แต่การที่หนานฉู่ส่งลู่ช่านมากลับเป็นเรื่องประหลาด หลายปีนี้ลู่ช่านป้องกันการรุกรานจากอี้โจวพร้อมกับเสริมความแข็งแกร่งของแนวป้องกันทางเซียงฝานและฉางเจียง กล่าวได้ว่าวันหนึ่งจัดการงานนับหมื่น ลู่ช่านผู้เป็นแม่ทัพใหญ่เรียกได้ว่าเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งหนานฉู่ คนสำคัญเช่นนี้ออกมาจากศูนย์กลางอำนาจ เดินทางมาไกลถึงตงไห่ ช่างทำให้คนเหลือเชื่ออย่างแท้จริง จนชวนให้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าสถานการณ์ในราชสำนักของหนานฉู่เกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้น
แม้ลู่ช่านสีหน้านิ่งสงบ ไม่เผยร่องรอยอันใดให้คาดเดา ทว่าเพียงมองเห็นฝูอวี้หลุนอุปทูตที่อยู่ด้านข้างเขายิ้มแย้มคุยจ้อเต็มที่ ท่าทางไม่มีความกังวลอย่างสิ้นเชิง ก็ทำให้ในใจผู้คนสันนิษฐานไปต่างๆ นานา ผู้ใดมิรู้บ้างว่าฝูอวี้หลุนผู้นี้คือลูกเขยของซั่งเหวยจวินอัครมหาเสนาบดีแห่งหนานฉู่ น้าเขยของจ้าวหล่งเจ้าแคว้นหนานฉู่ หรือว่าซั่งเหวยจวินกับลู่ซิ่นสองขุนนางคนสำคัญผู้ประคองชีวิตแคว้นหนานฉู่จะขัดแย้งกันแล้ว ลู่ช่านมาเป็นราชทูตยังตงไห่เพราะว่าถูกกีดกันออกมาใช่หรือไม่ ยามนี้ใต้หล้าไฟสงครามปะทุต่อเนื่อง ผู้ใดมิอยากเข้าใจสถานการณ์เพิ่มขึ้นสักเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบบ้างเล่า
ขณะที่แขกเหรื่อในห้องโถงกำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่ ผู้ดูแลงานเลี้ยงที่รับผิดชอบต้อนรับแขกก็ประกาศเสียงดัง “องค์หญิงจยาผิง ท่านหญิงหงสยามาถึงแล้ว”
ทุกคนเงยหน้ามองก็เห็นสตรีสวมอาภรณ์สีหยกผู้หนึ่งก้าวเข้ามาพอดี วันนี้เพื่อร่วมงานมงคล หลินปี้มิได้สวมชุดขี่ม้าอย่างชาวเหนือซึ่งปกติมักจะสวมใส่เพื่อสะดวกในการนำทัพออกรบ แต่เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์หรูหราสมฐานะ เสื้อสั้นสีเขียวอ่อนปักลายคู่กับกระโปรงยาวสีเขียวดุจผืนทะเลสาบ เสื้อคลุมแขนกว้างตัวนอกสีเขียวหยกประดับสีทองประกาศฐานะอันสูงศักดิ์ขององค์หญิงเป่ยฮั่น ขณะที่ดาบล้ำค่าประดับหยกแวววาวตรงบั้นเอวกับรองเท้าหนังกวางหุ้มข้อที่เท้าเตือนทุกคนให้ระลึกถึงอีกฐานะหนึ่งขององค์หญิงผู้นี้ ฐานะจอมทัพตัวจริงแห่งกองทัพไต้โจวของแคว้นเป่ยฮั่น
ทุกคนในห้องโถงต่างลุกขึ้นมาต้อนรับ แม้แต่ชิ่งอ๋องกับโก่วเหลียนผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการจากแคว้นที่มีฐานะเป็นศัตรูก็ไม่เว้น มิว่าศัตรูหรือมิตร แม่ทัพหญิงผู้นำทัพต่อต้านเหล่าคนเถื่อนเพื่อพิทักษ์ประชาชนและบ้านเกิดย่อมเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การนับถือ
หลินปี้อมยิ้มคารวะทุกคน เวลานี้เอง เสียงใสกระจ่างรื่นหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ท่านพี่ ท่านนั้นคือแม่ทัพใหญ่ลู่ ลู่ช่านหรือ”
เวลานี้ทุกคนเพิ่งสังเกตเห็นดรุณีน้อยผู้สวมอาภรณ์สีแดงทั้งร่างคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังหลินปี้ เรือนร่างอรชรชวนหวั่นไหว งดงามเจิดจ้าดั่งเปลวเพลิง แต่เมื่อครู่ทุกคนถูกสง่าราศีของหลินปี้สะกดไว้จึงไม่ทันสนใจดรุณีชุดแดงผู้เดินตามหลินปี้ต้อยๆ แต่ท่าทางสนิทสนม ไม่เหมือนเป็นหญิงรับใช้คนนี้ เวลานี้ได้ยินคำพูดของนางจึงเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่ผู้ดูแลงานเลี้ยงประกาศนามสองคน
ลู่ช่านได้ยินคำถามของดรุณีน้อยผู้นั้นก็ยิ้มละไม ใช้ชีวิตรบทัพจับศึกมาหลายปี เด็กหนุ่มซุกซนผู้กำเริบเสิบสานในวันวานผู้นั้นกลับกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้เงียบขรึม สายตาของเขาเคลื่อนมาจับบนร่างหลินปี้ หลินปี้จึงคลี่ยิ้มขออภัยตอบอย่างเหมาะเจาะ แล้วเอ่ยว่า “น้องสาวข้าซุกซน ขอแม่ทัพใหญ่อย่าถือสา”
ลู่ช่านโน้มกายไปข้างหน้าเล็กน้อย “องค์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว”
เวลานี้เอง ดรุณีน้อยอาภรณ์แดงพลันเอ่ยอย่างสงสัยใคร่รู้ “ที่แท้ท่านก็คือลู่ช่าน ข้าได้ยินว่าท่านทำสงครามเก่งกาจนักจนอาชาเหล็กของต้ายงมิกล้าหมายตาทางใต้ ผู้คนล้วนกล่าวว่าเหนือมีแม่ทัพหลง ใต้มีแม่ทัพลู่ ชาวต้ายงเห็นแล้วต้องขวัญผวา คิดไม่ถึงว่าท่านจะยังอายุน้อยเช่นนี้”
ลู่ช่านเห็นชิ่งอ๋องหลี่คังหน้าเขียวก็เอ่ยเสียงราบเรียบ “ท่านหญิงชมเกินไปแล้ว แม่ทัพใหญ่หลงนำทัพยี่สิบหมื่นกดดันกองทัพชายแดนห้าสิบหมื่นของต้ายงได้ย่อมเป็นยอดฝีมือแห่งการใช้ทหารอันดับหนึ่งแห่งยุคอย่างแท้จริง ส่วนต้ายงกับหนานฉู่ของข้าเป็นพันธมิตร มิได้ทำศึกกัน คำชมของท่านหญิง ผู้แซ่ลู่มิกล้ารับ”
คำพูดนี้ของลู่ช่านเป็นการโกหกหน้าด้านๆ โดยแท้ แม้หลายปีที่ผ่านมาหนานฉู่จะไม่มีกำลังบุกตีต้ายง ส่วนต้ายงก็ไม่มีเวลาว่างสนใจหนานฉู่ ทว่าระหว่างทั้งสองแคว้นก็มีสงครามสนามย่อมเกิดขึ้นไม่ขาด ลู่ช่านใช้ทหารดุจเทพ ไม่ปล่อยให้ต้ายงหาผลประโยชน์ไปได้แม้เศษเสี้ยว ดังนั้นจึงมีคนเรียกขานเขากับหลงถิงเฟยว่าเป็นสองดาวข่มของต้ายง แต่ถึงอย่างไรในนามแล้วทั้งสองแคว้นก็ยังมีความสัมพันธ์อย่างแคว้นเจ้าประเทศราชกับแคว้นประเทศราชอยู่ ทั้งสองแคว้นยังไม่ประกาศตัดขาดกันอย่างเปิดเผย ลู่ช่านย่อมไม่มีทางยอมรับคำพูดของหลินถง เป็นดังคาด เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าของชิ่งอ๋องก็ดีขึ้นมาก
หลินถงพึมพำอย่างไม่พอใจ เมื่อได้รับสายตาเป็นเชิงเตือนจากหลินปี้ นางจึงหุบปากสนิทแล้วตามพี่สาวไปนั่งที่โต๊ะอย่างว่าง่าย โต๊ะตัวนี้ราชทูตจากหนานฉู่กับต้ายงนั่งกันอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเพิ่มพวกหลินปี้สองคนเข้ามาก็ยังมีที่ว่างอยู่อีกมาก แต่ว่าคนธรรมดาไม่มีทางคิดมานั่งโต๊ะตัวนี้ ยามนี้ใต้หล้าแบ่งเป็นสาม ราชทูตของสามขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้ ไฉนเลยจะมีคนกล้าทาบรัศมี
หลินถงมองชิ่งอ๋อง แล้วเอ่ยอย่างแฝงเจตนาร้าย “นี่ ท่านคือชิ่งอ๋อง ราชทูตจากต้ายงหรือ”
หลี่คังมองหลินถงอย่างเย็นชา เขาย่อมไม่คิดวิวาทกับดรุณีน้อยเช่นนี้ ทำเช่นนั้นออกจะลดตัวเกินไปหน่อย ด้วยเหตุนี้จึงเพียงตอบอย่างเย็นชา “ถูกต้อง”
หลินถงคลี่ยิ้ม “ดูท่านก็นับว่ามีสง่าราศีอยู่ แต่เทียบกับฉีอ๋องช่างด้อยกว่ากันไกลนัก มิน่าเล่าผู้อื่นจึงได้นำทัพใหญ่ห้าสิบหมื่นเฝ้าพิทักษ์ชายแดน แต่ท่านทำได้เพียงเฝ้าตงชวนนั่งมองท้องฟ้าจากในบ่อ”
คราวนี้หลี่คังโกรธจัดแล้ว ตวาดว่า “องค์หญิงจยาผิง โปรดสั่งสอนน้องสาวท่านให้ดีด้วย”
โก่วเหลียนที่นั่งอยู่ข้างเขากลับขมวดคิ้ว สาวน้อยคนนี้คุ้นเคยกับฉีอ๋องนักหรือ ตามหลักแล้วนางน่าจะไม่เคยมีโอกาสพบฉีอ๋องถึงจะถูก แม้ฉีอ๋องกำลังทำศึกอยู่กับเป่ยฮั่น แต่โอกาสที่คนระดับขุนของทั้งสองฝ่ายจะได้พบกันก็น่าจะน้อยยิ่งนัก
โก่วเหลียนเพิ่งนึกสงสัยในใจ ผู้ดูแลงานเลี้ยงก็ประกาศเสียงดัง “ฉีอ๋องแห่งต้ายงมาถึงแล้ว”
ทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงพลันฮือฮา ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องจะมาถึงที่แห่งนี้ ยังมิต้องพูดถึงว่าราชทูตจากต้ายงในครานี้คือชิ่งอ๋องหลี่คัง ราชสำนักต้ายงไม่มีทางส่งอ๋องสองคนเดินทางมาพร้อมกันเป็นแน่ เพียงพูดถึงภระหนักหนาที่ฉีอ๋องรับผิดชอบอยู่ ตามหลักแล้วเขาก็ควรเฝ้ารักษาการณ์อยู่ในกองทัพ มิสมควรมาปรากฏตัวที่แห่งนี้ในเวลานี้
ขณะที่ทุกคนยังสงสัยอยู่ว่าตนฟังผิดหรือไม่ เงาร่างเคร่งขรึมของฉีอ๋องพลันปรากฏขึ้นที่ประตู สายตาเย็นชาดุดันกวาดมองรอบห้องโถง ฉับพลันสรรพเสียงเงียบกริบ อำนาจบารมีเช่นนี้ทำให้ทุกคนเชื่อในบัดดลว่าฉีอ๋องมาเยือนตงไห่จริงๆ