ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 3 นินทาเรื่องลับในประวัติศาสตร์ (1)
หลินหย่วนถิง บรรพบุรุษอยู่ที่ซื่อเจิ้นเมืองไต้โจว สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก รัชศกเจินยวนปีที่สิบสาม หย่วนถิงเป็นผู้ตรวจการของไต้โจว ภักดีต่อราชวงศ์จิ้น เวลานั้นเจ้าเมืองไท่หยวนหลิวเซิ่งแยกจิ้นจงออกมาตั้งตัวเป็นแคว้นฮั่น ส่งสาสน์มาเรียกให้สวามิภักดิ์ ทว่าหย่วนถิงจงรักภักดี ไม่ยอมก้มหัว หลิวเซิ่งนำทหารเข้าบุกตี ทว่าจนปัญญาด้วยทหารไต้โจวแกล้วกล้าจึงมิอาจได้ชัย
รัชศกเจินยวนปีที่สิบสี่ เกาจู่ขับจักรพรรดิจิ้นออกจากบัลลังก์ ก่อตั้งแคว้น ‘ยง’ ราชวงศ์จิ้นจบสิ้น หย่วนถิงได้ข่าวจึงตั้งโต๊ะเซ่นไหว้หันไปทางนครฉางอัน โศกศัลย์แทบวางวาย ต่อมาจึงสวามิภักดิ์ต่อหลิวเซิ่งเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นรุ่นก่อน หลิวเซิ่งประทับใจความจงรักภักดีของเขา แต่หวั่นเกรงความเก่งกล้าของเขา จึงมอบธิดารักให้เป็นภรรยา หลังจากหย่วนถิงได้องค์หญิงเป็นคู่ครองจึงทำหน้าที่สุดความสามารถ ต่อต้านการรุกรานบุกปล้นของคนเถื่อน หลายสิบปีผ่านไปราวกับหนึ่งวัน เหล่าทหารและชาวประชาไต้โจวต่างนับถือสุดหัวใจ
องค์หญิงจยาผิงนามว่าปี้ เป็นธิดาคนโตของหย่วนถิง ได้หลิวโย่วเจ้าแคว้นเป่ยฮั่นรุ่นต่อมารับเป็นธิดาบุญธรรม ชำนาญกลศึกเหนือผู้ใด เก่งกาจกว่าพี่น้องบุรุษ เป็นธิดาสุดรักของหย่วนถิง เหล่าทหารและประชาชนไต้โจวเรียกขานนางว่า ‘องค์หญิงจอมทัพ’ ไม่เรียกขานนามโดยตรง
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติองค์หญิงจยาผิง
หลินถงเห็นหวังจี้มุ่นคิ้วเล็กน้อย นั่งอยู่บนหลังม้าเหมือนวิญญาณไม่อยู่กับร่างก็เอ่ยเสียงดัง “อ้าว อย่านิ่งสิ ข้าถามท่านอยู่ ท่านยังไม่ได้เล่าว่าต่อมาองค์หญิงฉางเล่อเป็นอย่างไรเลยนะ”
หวังจี้ร่างกายสะท้านเฮือกหนึ่งแล้วประสานมือตอบว่า “เรียนท่านหญิง เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าจากความวุ่นวายภายในครั้งนั้นของต้ายง เวลานั้นรัชทายาทสมคบกับสำนักเฟิงอี้ปิดล้อมพระราชวังเลี่ยกง ยงอ๋องฝ่าทะลวงวงล้อม แต่มิอาจรวมพลกับกองทัพใหญ่ได้ ในห้วงเวลาสำคัญนี้ องค์หญิงฉางเล่อก้าวออกมาโน้มน้าวกลุ่มกบฏให้ละเว้นการบุกตำหนักบรรทมของจักรพรรดิ
ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายยื้อกันอยู่ องค์หญิงผู้นี้ก็รับราชโองการลับของจักพรรรดิกับของแทนตัวของแม่ทัพใหญ่ จากนั้นคิดหาวิธีส่งออกมา จนเคลื่อนกองทัพไปช่วยองค์จักรพรรดิ ช่วยเหลือทุกคนเอาไว้ได้ และยังปราบกบฏได้อีกด้วย ดังนั้นจักรพรรดิจึงพระราชทินนาม ‘หนิงกั๋ว’ เพิ่มให้แก่องค์หญิงผู้นี้”
หลินถงเอ่ยอย่างคลางแคลง “จริงหรือ กองทัพกบฏก่อการย่อมต้องล้อมพระราชวังเลี่ยกงไว้แน่นหนาจนกระทั่งน้ำมิอาจลอดผ่าน องค์หญิงฉางเล่อมิใช่พี่สาวข้าเสียหน่อยที่จะบุกเดี่ยวฝ่าวงล้อมออกมาได้ จะส่งราชโองการลับออกไปได้เช่นไร ท่านหลอกลวงผู้คนแล้วกระมัง”
เวลานี้หวังจี้สงบสติได้แล้ว เขากลับมามีท่าทีผ่อนคลายอีกครั้งแล้วคลี่ยิ้มเล่าว่า “องค์หญิงชื่อเสียงเกรียงไกรแผ่ขจรไกล ผู้น้อยนับถืออย่างยิ่ง แต่องค์หญิงฉางเล่อผู้นี้เป็นสตรีอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่คนหนึ่ง จะบุกฝ่าวงล้อมได้อย่างไร
เรื่องนี้ต้องเล่าถึงคนอีกผู้หนึ่ง คนผู้นี้แซ่เจียงนามว่าเจ๋อ นามรองว่าสุยอวิ๋น เขาเป็นกุนซือคนสำคัญใต้บัญชาของยงอ๋อง เพราะได้คนผู้นี้วางกลอุบาย จึงไม่เพียงส่งราชโองการลับออกไปเคลื่อนกองทัพได้ แต่ยังไล่ต้อนจนสังหารเจ้าสำนักเฟิงอี้อันดับหนึ่งของสามปรมาจารย์แห่งใต้หล้าได้สำเร็จ”
หลินถงดวงตาเป็นประกายแล้วเอ่ยขึ้นว่า “จริงด้วย ข้าได้ยินคนเล่าว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้ตายแล้ว ดังนั้นท่านราชครูจึงออกคำสั่งให้ศิษย์ในสำนักบุกตีต้ายงได้ตามใจ แต่ท่านราชครูเป็นคนน่ากลัวและร้ายกาจปานนั้น เจ้าสำนักเฟิงอี้ผู้นั้นมิว่ายามนี้จะร้ายกาจเทียบเท่าราชครูหรือไม่ แต่ก่อนหน้านี้ก็ครองอันดับหนึ่งในสามปรมาจารย์มาเสมอ นางตายแล้วจริงหรือ เจียงเจ๋อผู้นั้นวรยุทธ์สูงส่งนักหรือ จึงไล่ต้อนจนสังหารเจ้าสำนักเฟิงอี้ได้ แล้วเขากับองค์หญิงฉางเล่อเกี่ยวข้องอันใดกัน”
นางถามติดกันเป็นพรวนรวดเดียวจนหวังจี้ได้แต่ยิ้มเจื่อนตอบว่า “ท่านหญิง ผู้น้อยสมควรตอบคำถามไหนก่อนดีเล่า”
หลินถงยิ้มเขินอาย แล้วตอบว่า “เจ้าก็ค่อยๆ เล่ามาสิ”
หวังจี้จึงกล่าวว่า “ท่านหญิง เจียงเจ๋อผู้นี้ก็เป็นบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งเช่นกัน ผู้น้อยได้ยินมาว่าเขาร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก มักวนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตายบ่อยครั้ง แต่กลอุบาย ความกล้าและความรอบรู้ของคนผู้นี้ ใต้หล้าไม่มีผู้ใดเทียม”
หลินถงแค่นหัวเราะ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าบัณฑิตอ่อนแอผู้หนึ่งจะมีความกล้าหาญมากมายสักเท่าใด ข้าเคยพบบัณฑิตมาไม่น้อย เพียงเห็นหอกดาบก็หวาดกลัวแทบตายคุกเข่ายอมจำนนแล้ว อีกประการหนึ่ง คนผู้นี้ต่อให้เก่งกาจอีกเท่าใด จะเก่งกาจสู้พี่เขยของข้าได้หรือ”
หวังจี้มองหลินปี้อย่างลำบากใจ หลินปี้จึงยิ้มละไมเอ่ยว่า “ท่านไม่ต้องเกรงใจ ข้าก็อยากฟังมุมมองของคนนอกดูบ้างเหมือนกัน”
หวังจี้ประสานมือแสดงว่าขออภัยแล้วเอ่ยต่อ “ท่านหญิง สิ่งนี้ย่อมเทียบกันไม่ได้ บัณฑิตก็มีความกล้าหาญเยี่ยงบัณฑิต นักรบก็มีความกล้าหาญอย่างนักรบ แม่ทัพหลงเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งสามกองทัพ แล้วยังเป็นแม่ทัพชื่อดังอันดับหนึ่งอันดับสองในใต้หล้า กลอุบาย ความกล้าหาญและความรอบรู้ย่อมเหนือกว่าผู้อื่น แต่หากสลับเขาไปอยู่แทนที่ เกรงว่าแม่ทัพหลงคงทำเรื่องที่ใต้เท้าเจียงเจียงเจ๋อทำมิได้”
หลินถงเบิกตาโตเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องตั้งใจฟังท่านเล่าหน่อยแล้ว หากท่านเล่าเกินจริง ข้าจะลงโทษท่าน”
หวังจี้ยิ้มละไมเอ่ยว่า “ใต้เท้าเจียงผู้นี้เดิมเป็นขุนนางหนานฉู่ของข้า รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบหก เขาเพิ่งอายุยี่สิบปีก็สร้างชื่อ สอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน หากกล่าวถึงบทประพันธ์และแพรพรรณใต้หล้าย่อมไม่มีที่ใดเหนือกว่าหนานฉู่ ใต้เทาเจียงผู้นี้กลายเป็นจ้วงหยวนได้ ย่อมบ่งบอกว่าโคลงกลอนบทประพันธ์เป็นเอกในใต้หล้า ในสมัยนั้นไม่มีผู้ใดมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเทียบเท่าเขา”
หลินถงเบ้ปาก “ท่านจะหลอกข้าผู้ไม่ชอบอ่านหนังสือหรือ ท่านพี่ ที่เขาเล่า เขาพูดจริงหรือไม่”
ดวงตาหงส์ของหลินปี้ฉายแววเหม่อลอยเล็กน้อยแล้วตอบว่า “เขากล่าวไม่ผิด เจียงจ้วงหยวนผู้นี้ หากกล่าวถึงพรสวรรค์ทางการประพันธ์ เขาคืออันดับหนึ่งอย่างแท้จริง ท่านเล่าต่อเถิด”
หวังจี้เล่าต่อเสียงละมุน “หากจะให้พรรณนาว่าบทกวีของเขาดีเพียงใด ผู้น้อยไร้การศึกษาจึงไม่รู้ชัดนัก แต่ผู้น้อยชื่นชอบบทกวีสั้นๆ บทหนึ่งของเขาตอนเยาว์วัย” เขากล่าวจบก็กระแอมให้คอโล่ง แล้วขับบทกวีเสียงกังวาน “‘หนึ่งลมวสันต์พัดหนึ่งนาวาน้อย หนึ่งสายเบ็ดห้อยโยงหนึ่งตะขอ หมู่ผกาบนเกาะแก่งชูช่องามลออ ร่ำเมรัยล้อเกลียวคลื่นอิสระเสรี’”
เขาขับร้องได้ตราตรึงอารมณ์ยิ่งนัก น้ำเสียงก็กังวานเป็นท่วงทำนอง ทุกคนประหนึ่งยืนอยู่เหนือผืนน้ำสีครามซึ่งเชื่อมจรดผืนฟ้าแห่งนั้น
หวังจี้ขับบทกวีจบก็เอ่ยต่อว่า “ใต้เท้าเจียงผู้นี้เป็นบัณฑิตฮั่นหลินอยู่หลายปีก็ไปต้องตาเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ย ท่านอ๋องผู้ปรีชาแห่งหนานฉู่ของข้า จนได้ติดตามกองทัพออกทำสงครามที่สู่จง ผู้น้อยมิรู้ชัดว่าใต้เท้าเจียงถวายกลอุบายอันใดให้ แต่เรื่องหนึ่งที่ผู้คนเล่าขานคือ หลังจากแคว้นสู่ล่มสลาย ยงอ๋องหลี่จื้อต้องการคุมตัวเจ้าแคว้นสู่กลับต้ายง
หากทำเช่นนั้น แม้ต้ายงกับหนานฉู่แบ่งแผ่นดินแคว้นสู่กันคนละครึ่ง แต่ต้ายงควบคุมเจ้าแคว้นสู่ไว้ย่อมได้เปรียบมหาศาล ยามนั้นต้ายงกำลังรุ่งเรืองดั่งตะวันกลางฟ้า แม้หนานฉู่มีทหารพันหมื่นก็ไร้หนทางพลิกสถานการณ์นี้ แต่ใต้เท้าเจียงผู้นี้ขับกวีเพียงบทเดียวในงานเลี้ยงก็บีบเจ้าแคว้นสู่จนปลิดชีพตนได้ นับจากวันนั้น ทั้งในและนอกราชสำนักล้วนสรรเสริญใต้เท้าเจียงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งหนานฉู่”
หลินถงเอ่ยอย่างไม่เชื่อ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าบทกวีเพียงบทเดียวจะบีบเจ้าแคว้นคนหนึ่งให้ตายได้ ท่านพี่ เขาพูดจริงหรือ”
หลินปี้ยื่นมือมาลูบเส้นผมเงางามของน้องสาว แล้วตอบว่า “ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ละอายใจ เจ้าแคว้นสู่ผู้นั้นทำให้แคว้นล่มสลาย ซ้ำตัวเองยังตกเป็นนักโทษ แล้วมาถูกผู้อื่นเสียดสีต่อหน้าธารกำนัล ก็ไม่แปลกหากเขาจะปลิดชีพตนเอง”
หลินถงพยักหน้าคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ “ท่านพี่ว่าจริงก็คงเป็นเรื่องจริง แต่เจียงเจ๋อผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมจริงแท้”
หวังจี้คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “อาจใช่ แต่พอใต้เท้าเจียงกลับจากสู่จงก็ล้มป่วยหนักจนมิอาจเข้าประชุมขุนนางเกือบสองปี ทำได้เพียงรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ข้าคิดว่าในใจใต้เท้าเจียงก็คงไม่ภาคภูมิใจกับเรื่องเหล่านั้น”
หลินถงถามต่อ “โอ๊ะ ข้านึกออกแล้ว รัชศกหรงเซิ่งปีที่สิบเก้า ยงอ๋องตีเจี้ยนเย่แตก ในเมื่อใต้เท้าเจียงผู้นี้ต่อมากลายเป็นคนสนิทของยงอ๋อง ก็คงจะสวามิภักดิ์กับยงอ๋องตอนนั้นสินะ เขาเขียนบทกวีเสียดสีเจ้าแคว้นสู่ที่ยอมสวามิภักดิ์ แต่ตนเองกลับคุกเข่ายอมจำนน ดูท่าจะใจกล้าไม่จริง นี่หรือคือความกล้าหาญของบัณฑิตที่ท่านกล่าวถึง”
หวังจี้สีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย ตอบว่า “ท่านหญิงกล่าวเช่นนี้ ผู้น้อยก็ไม่มีสิ่งใดโต้เถียงได้ แต่ในความเห็นของผู้น้อยไม่คิดว่าใต้เท้าเจียงทำผิดที่ใด รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบสอง เจ้าแคว้นมองสถานการณ์ไม่ขาด ดึงดันจะตั้งตนเป็นจักรพรรดิให้จงได้ เมื่อใต้เท้าเจียงถวายหนังสือทัดทาน เจ้าแคว้นกลับพิโรธจะตัดศีรษะเขา แต่ด้วยเห็นแก่ความสามารถกับคุณงามความชอบของใต้เท้าเจียงจึงเพียงปลดเขาเป็นสามัญชน
เมื่อยงอ๋องเข้ามาในแคว้นฉู่ก็มาเยือนถึงบ้านเชื้อเชิญด้วยตนเอง แต่ใต้เท้าเจียงยืนกรานมิยอมสวามิภักดิ์ ต่อมาใต้เท้าเจียงถูกยงอ๋องบังคับพาตัวกลับไปต้ายง ผู้น้อยได้ยินว่ายงอ๋องให้เกียรติใต้เท้าเจียงยิ่งนัก ใช้สารพัดวิธีโน้มน้าวให้สวามิภักดิ์ ผู้น้อยคิดว่าสาเหตุที่สุดท้ายใต้เท้าเจียงยอมสวามิภักดิ์บางทีอาจเป็นเพราะความจริงใจของยงอ๋องกระมัง”
หลินถงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ “แม้กล่าวกันว่าขุนนางดีย่อมเลือกนายที่จะรับใช้ แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าเรียกว่าความกล้าหาญอันใดมิได้อยู่ดี”
หวังจี้ส่ายศีรษะพลางคลี่ยิ้ม “ท่านหญิงกล่าวถูกต้องแล้ว” แม้เอ่ยเช่นนี้แต่สีหน้าเห็นชัดว่าตอบปัดอย่างขอไปทีอยู่บ้าง หลินถงกำลังจะถามจี้ต่อ หลินปี้ก็ออกปากว่า “ถงเอ๋อร์ เจ้าไม่อยากฟังต่อแล้วหรือ”
หลินถงจึงหุบปากไม่พูด นางเคารพพี่สาวกับพี่เขยที่สุด ดังนั้นจึงไม่พอใจยิ่งนักที่หวังจี้คิดว่าเจียงเจ๋อยอดเยี่ยมกว่าพี่เขย
หวังจี้เล่าต่อ “ที่แท้ใต้เท้าเจียงวางแผนการอย่างไรให้ยงอ๋อง ผู้น้อยก็มิทราบ แต่ยงอ๋องนับถือและทะนุถนอมใต้เท้าเจียงยิ่งนัก ดุจอาจารย์ดั่งสหาย เหมือนพี่เหมือนน้อง ใต้เท้าเจียงมาถึงต้ายงไม่นาน อดีตองครักษ์ข้างกายเต๋อชินอ๋องก็ลอบเข้ามาในต้ายงเพื่อลอบสังหารใต้เท้าเจียง เล่ากันว่าก่อนสิ้นใจ เต๋อชินอ๋องทิ้งคำสั่งลับไว้ว่าหากใต้เท้าเจียงหันไปเข้ากับแคว้นอื่นต้องสังหารใต้เท้าเจียงเสีย ได้ยินว่าใต้เท้าเจียงบาดเจ็บหนักจนเกือบตายแต่รอดมาได้ หากมิใช่ว่ายงอ๋องใช้ยาล้ำค่านานาชนิดยื้อชีวิตเขาไว้ คงรอไม่ทันหมอเทวดาซังมาช่วยรักษา ยงอ๋องโกรธจัดเพราะเรื่องนี้ หลังจากนั้นผู้น้อยจึงได้ยินว่าองครักษ์ที่คุ้มกันข้างกายใต้เท้าเจียงแน่นหนายิ่งกว่าข้างกายยงอ๋องเสียอีก”
หลินถงเอ่ยอย่างตกตะลึง “เต๋อชินอ๋องของพวกท่านเหตุใดจึงไร้หัวใจเช่นนี้ แม้เจียงเจ๋อจะขาดความภักดี แต่ก็มีเหตุผลให้อภัยได้ อีกอย่างตัวเขาก็ตายไปแล้วยังจะวุ่นนวายใจทำอันใดอีกเล่า”
หวังจี้ถอนหายใจตอบว่า “ยามนั้นคนมากมายล้วนคิดเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรใต้เท้าเจียงก็เคยสร้างคุณงามความชอบให้หนานฉู่ แม้เขาเปลี่ยนมาสวามิภักดิ์ต้ายง แต่หนานฉู่ก็ปลดเขาออกจากตำแหน่งขุนนางก่อน องครักษ์ผู้นั้นออกจะดื้อดึงเกินไป อีกประการหนึ่ง ใต้เท้าเจียงก็เป็นเพียงบัณฑิตคนหนึ่งเท่านั้น เต๋อชินอ๋องก่อนตายยังคิดอาฆาตเขาก็ออกจะเกินไปอยู่บ้าง ทว่าต่อมาองครักษ์ผู้นั้นก็ถูกบ่าวรับใช้ข้างกายใต้เท้าเจียงคนหนึ่งไล่ล่าระหว่างทางหนีกลับหนานฉู่ จนกระทั่งถูกเขาสังหารเหนือแม่น้ำเจียง
บ่าวรับใช้ผู้นี้มีนามว่าหลี่ซุ่น แต่เดิมเป็นขันทีคนหนึ่งในพระราชวังหนานฉู่ มิทราบว่าเหตุใดจึงติดตามเป็นบ่าวรับใช้ของใต้เท้าเจียง เดิมทีมิมีผู้ใดใส่ใจเขา ทว่าหลี่ซุ่นผู้นี้กลับมีความสามารถจนสังหารองครักษ์ผู้นี้ได้ ทุกคนจึงเพิ่งตระหนักว่าที่แท้เขาเป็นยอดฝีมือที่หาได้ยากคนหนึ่ง ยอดฝีมือเช่นนี้กลับยินยอมเป็นบ่าวรับใช้ของใต้เท้าเจียง เรื่องนี้จึงทำให้ผู้คนตระหนักว่าบางทีใต้เท้าเจียงก็คงมีความสามารถอยู่บ้าง
ทว่าคนส่วนมากก็ยังไม่เห็นใต้เท้าเจียงอยู่ในสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากใต้เท้าเจียงถูกลอบสังหาร ร่างกายก็อ่อนแอยิ่งนัก หนึ่งปีล้มหมอนนอนเสื่อสักครึ่งปี ท่านหญิงน่าจะทราบว่า หากคนผู้หนึ่งร่างกายย่ำแย่ ต่อให้มีความสามารถยิ่งใหญ่ก็เกรงว่าคงใช้งานได้เพียงสองสามส่วน”