ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 34 ขายบุตรรัก (2)
ไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร พวกเขาล้วนแสดงท่าทียินดี มีเพียงเจียงเซิ่นผู้มิทราบว่าตนถูกบิดาขายแล้วเท่านั้นที่จดจ้องข้าวของหลายรูปร่างหลากสีสันบนโต๊ะตัวโตกลางหอแห่งนั้นด้วยความสงสัยใคร่รู้ เขาเอื้อมมือออกไปหมายจะจับของเหล่านั้นอยู่เป็นระยะ แต่ระยะทางไกลเกินไปจึงแตะไม่ถึง เจียงเซิ่นอดทนไม่ไหว ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว ใกล้จะกลายเป็นฝนน้ำตาเทลงมาเต็มที
ทันใดนั้นประตูหอก็ถูกระแทกเปิด หลินถงรีบเร่งผลุนผลันเข้ามาแล้วถามเสียงดัง “เริ่มเสี่ยงทายหรือยัง จับได้อะไรหรือ”
ทารกน้อยตกใจสะดุ้งโหยง น้ำตายังไม่ทันหยดก็หดกลับเข้าไป เจียงเซิ่นผู้ลืมร้องไห้โวยวาย มองไปทางหลินถงอย่างสงสัยใคร่รู้อีกครั้ง
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มละไม เมื่อครู่นางอารมณ์ไม่ดีนัก ในใจคิดว่าเหตุไฉนสุยอวิ๋นไม่ปรึกษาตนสักคำก็หมั้นหมายเซิ่นเอ๋อร์กับเด็กที่ยังไม่ทันเกิด แต่ถึงอย่างไรนางก็มีชาติกำเนิดเป็นเชื้อพระวงศ์ ย่อมทราบว่ายิ่งฐานะสูงศักดิ์เท่าใด ก็ยิ่งมิอาจเลือกคู่ครองของตนได้ มิต้องพูดถึงเซิ่นเอ๋อร์เป็นบุตรชายของตน เพียงฐานะของเจียงเจ๋อในต้ายงและในพระทัยของเสด็จพี่ ดีไม่ดีพวกตนสองสามีภรรยาคงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกคู่ครองให้บุตรชายเอง
ยามนี้เจียงเจ๋อหมั้นหมายบุตรชายไว้เช่นนี้กลับนับว่าเป็นการป้องกันไว้ก่อน หากเรื่องนี้ทำให้พี่หกเปลี่ยนใจมิเป็นอริกับเสด็จพี่ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แต่บรรยากาศในห้องดั่งเมฆหนาก่อนฝนตก ชิ่งอ๋องหลี่คังกับองค์หญิงจยาผิงหลินปี้ล้วนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย องค์หญิงฉางเล่อกำลังกลัดกลุ้มว่าจะแก้ไขสถานการณ์เช่นไร พอเห็นหลินถงพรวดพราดบุกเข้ามาจึงยิ้มแย้มกล่าวว่า “ท่านหญิงมิต้องรีบร้อน เพิ่งผ่านไปครู่เดียวเท่านั้น เมื่อครู่หญิงรับใช้ไปเชิญท่านหญิง คิดว่าคงคลาดกับท่านหญิงแล้ว”
หลินถงผู้ได้งีบไปครึ่งชั่วยามกว่าตื่นเต็มตาแล้ว นางเอ่ยขออภัยอย่างเขินอาย แล้วถอยไปอยู่ด้านหลังหลินปี้ องค์หญิงฉางเล่อเห็นเวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้วจึงขยับยิ้มเอ่ยว่า “สุยอวิ๋น ข้าว่าสมควรเริ่มได้แล้ว มิเช่นนั้นเซิ่นเอ๋อร์คงจะร้อนใจแล้ว”
ข้ามองสายตาอยากรู้อยากเห็นของเซิ่นเอ๋อร์แล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ให้เขาไปเสี่ยงทายเถิด ข้าก็อยากเห็นมากเหมือนกันว่าเซิ่นเอ๋อร์จะเสี่ยงทายได้สิ่งใด”
พิธีเสี่ยงทายครบขวบปีเป็นธรรมเนียมที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน ขอเพียงเป็นบ้านที่พอจะมีฐานะสักหน่อย เมื่อบุตรธิดาอายุครบขวบก็จะเชื้อเชิญญาติมิตรเดินทางมาร่วมชุมนุม บนโต๊ะไม้กลางหอทิงเทามีข้าวของมากมายวางไว้อยู่ก่อนแล้ว เจียงเจ๋อกับองค์หญิงฉางเล่อล้วนมิใช่คนธรรมดา ข้าวของที่ตระเตรียมสำหรับพิธีเสี่ยงทายครั้งนี้จึงประณีตและล้ำค่าอย่างยิ่ง
บนถาดเงินใบหนึ่งวางตราประทับทองคำอยู่หนึ่งชิ้น ถาดไม้พะยูงดำมีสองใบ ใบหนึ่งวางตำราที่ทำขึ้นอย่างงดงามไว้สามเล่ม ได้แก่คัมภีร์หลุนอวี่[1] คัมภีร์เล่าจื้อ[2]และคัมภีร์จินกังจิน[3] อีกใบหนึ่งวางพู่กันหูปี่[4] แท่งหมึกฮุยมั่ว[5] กระดาษเซวียนจื่อ[6] แท่นฝนหมึกตวนเยี่ยน[7]
ส่วนถาดไม้หวงหยางอีกใบหนึ่งวางลูกคิด ก้อนเงินกับสมุดบัญชีเอาไว้ บนผ้าต่วนสีแดงวางพิณหยกขาวที่ทำมาอย่างประณีตยาวเพียงครึ่งฉื่อเครื่องหนึ่งกับหมากล้อมแกะสลักจากแก้วใสกับหยกดำหนึ่งชุด มีค่าควรเมือง
บนถาดเหล็กสีดำสนิทวางกระบี่สั้นหนึ่งเล่ม ดาบโค้งหนึ่งเล่ม ทั้งสองต่างหุ้มฝักหนังฉลามสีเขียว โกร่งทองคำรูปอสูรแยกเขี้ยว พู่ห้อยไหมสีเหลือง ล้ำค่ายิ่งนัก
แต่สิ่งที่วางอยู่ตรงกลางของโต๊ะกลับเป็นขนมที่องค์หญิงฉางเล่อลงมือปรุงเองจากห้องครัวกล่องหนึ่ง กลิ่นหอมโถมเข้าจมูกชวนให้คนน้ำลายสอ
สิ่งของเหล่านี้สูงค่าอย่างยิ่ง จนแม้แต่พวกฉีอ๋องผู้ครอบครองอำนาจและความมั่งคั่งไว้ในมือก็ยังรู้สึกว่าหรูหราเกินไปเล็กน้อย ฉีอ๋องมองครบก็หัวเราะ “ในเมื่อเป็นลูกเขยของข้า เช่นนั้นข้าจะให้ไม่สมเกียรติเขาไม่ได้” พูดพลางก็ล้วงตราทหารที่ทำจากหยกสีม่วงใสแวววาวชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ
องค์หญิงฉางเล่อตะลึง “พี่หก นี่เป็นตราทหารที่ท่านใช้ปกครองกองทัพ จะนำออกมาให้เซิ่นเอ๋อร์เสี่ยงทายได้เช่นไรเล่า”
หลี่เสี่ยนยิ้ม “เพียงให้เข้ากับพิธีเท่านั้น ต่อให้เซิ่นเอ๋อร์จับได้ ข้าก็เก็บคืนอยู่ดี ดูสว่าเด็กคนนี้มีชะตาจะได้นำทัพหรือไม่”
ข้ายิ้มละไม เอ่ยว่า “เรื่องนี้เกรงว่าองค์ชายคงผิดหวังแล้ว ผู้ที่นำกองทัพต้องใจเหี้ยม ข้าดูแล้วเซิ่นเอ๋อร์น่าจะเป็นคนใจอ่อน เกรงว่าคงนำทหารมิได้”
หลี่เสี่ยนโบกมือ “นี่ก็ไม่แน่หรอก ผู้ใดเกิดมาแล้วใจเหี้ยมเลยบ้าง ทหารกล้ามากมายในกองทัพข้าครั้งแรกที่ลงสนามรบไม่กล้าแม้แต่จะสังหารคน วันนี้มิใช่สังหารคนเป็นพัลวัน ใจเหี้ยมดุจหมาป่าเหมือนกันหรือ”
ประกายเย็นยะเยือกฉายวาบในดวงตาของชิ่งอ๋อง ก่อนเขาจะขยับยิ้ม เอ่ยว่า “น้องหกกระตือรือร้นเช่นนี้ ข้าลุงสามคนนี้จะไม่แสดงออกสักหน่อยคงมิได้” เขาปลดถุงผ้าไหมสีเหลืองสดที่ดูเก่าเล็กน้อยใบหนึ่งออกมาจากเอว บนนั้นปักลายมังกรทองสี่เล็บ กระเป๋าใบน้อยตุงนูนแต่มิทราบว่าด้านในคือของสิ่งใด
ดวงตาของหลี่เสี่ยนฉายแววฉงน ผู้อื่นมิทราบ แต่เขาทราบว่านี่คือสิ่งใด เมื่อตอนมารดาผู้ให้กำเนิดชิ่งอ๋องสิ้นใจอย่างน่าสังเวช แม้หลี่เสี่ยนดูแคลนพี่ชายผู้ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นและค่อนข้างอ่อนแอผู้นี้ แต่ก็ตั้งใจจะไปปลอบเขา
เขาเห็นหลี่คังกอดกล่องเครื่องประทินโฉมของมารดาหลั่งน้ำตาอยู่ แม้หลี่เสี่ยนจะเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ก็ทราบว่ามิสมควรเข้าไปรบกวน เขาจึงลอบมองอยู่ในเงามืด ยามนั้นชิ่งอ่องหลี่คังหยิบกำไลหยกวงหนึ่งออกมาจากกล่องเครื่องประทินโฉมของมารดาแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าผ้าไหมสีเหลืองสดข้างกาย วันต่อมาหลี่คังก็หายไปจากพระราชวัง
หลังจากนั้นหลายปีเมื่อหลี่คังปรากฏตัวในราชสำนักต้ายงอีกครั้ง ข้างกายก็มักพกถุงผ้าไหมใบนี้อยู่ด้วย ผู้อื่นมิสนใจ แต่หลี่เสี่ยนกลับจำได้ เขาค่อนข้างประทับใจในหัวใจกตัญญูของชิ่งอ๋องพอสมควร เพียงแต่ประการแรก เขากับชิ่งอ๋องนิสัยไม่เข้ากัน ประการที่สอง ยามนั้นหลี่เสี่ยนอยู่ฝ่ายรัชทายาท ดังนั้นจึงไม่สนิทสนมกับชิ่งอ๋อง จนถึงวันนี้ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างทั้งสองคนก็ยังคงเบาบางยิ่งนัก ยากจะกู้กลับคืนมาได้ หลี่เสี่ยนย่อมไม่คิดจะเอ่ยเรื่องที่เคยตั้งใจไปปลอบโยนพี่สามในอดีตขึ้นมาอีก ส่วนหลี่คังก็ย่อมคิดไม่ถึงแน่นอนว่าหลี่เสี่ยนทราบว่าสิ่งใดอยู่ในถุงน้อยใบนี้
ข้าเห็นถุงผ้าไหมใบนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ของที่ไม่รู้แน่ชัด ข้าคงมิอาจรับไว้ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยว่า “มิทราบชิ่งอ๋องมอบของขวัญล้ำค่าอันใดให้ หากล้ำค่าเกินไป เกรงว่าบุตรชายตัวน้อยคงมิกล้ารับ”
หลี่คังขยับยิ้ม “ของสิ่งนี้มิได้ล้ำค่า เป็นเพียงของตกทอดจากมารดาผู้ล่วงลับ หากบุตรชายของท่านนึกชอบ ไม่แน่พวกเราสองบ้านอาจมีวาสนามงคลเหมือนกัน”
ข้าอึ้งไปชั่วครู่ เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งบอกจะให้เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกเขยของฉีอ๋อง เหตุใดตอนนี้ชิ่งอ๋องก็เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานขึ้นมา เวลานี้เองข้าเห็นสายตาของชิ่งอ๋องหลี่คังจับอยู่บนร่างโหรวหลันจึงเข้าใจโดยพลัน ของตกทอดจากมารดาย่อมเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับมอบให้ภรรยาหรือลูกสะใภ้ ชิ่งอ๋องอยากให้โหรวหลันมาเป็นลูกสะใภ้ของเขา
โทสะในหัวใจมิอาจห้ามไว้ได้อีกต่อไป แม้ข้าขายเซิ่นเอ๋อร์ หมั้นหมายคู่ครองให้เขาตั้งแต่ยังอายุน้อย แต่นี่มิได้หมายความว่าข้าจะตกลงเรื่องคู่ครองของโหรวหลันอย่างมักง่าย ในใจข้าบุตรชายไม่ต้องใส่ใจนักก็ได้ ถึงอย่างไรหมดหนทางช่วยถึงที่สุดแล้วให้เขาหนีออกจากบ้านเสียก็พอ แต่บุตรสาวสมควรทะนุถนอม ไม่ต้องพูดถึงบุตรชายที่ยังไม่รู้ว่าดีหรือร้ายคนนั้นของชิ่งอ๋อง ต่อให้เป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์ต้ายงสักคนก็อย่าหวังว่าจะมาขอลูกสาวข้าได้ อนาคตโหรวหลันของข้าต้องแต่งงานกับบุรุษที่รักนางดุจแก้วตาดวงใจ ลูกหลานเชื้อพระวงศ์สามภรรยาสี่อนุพวกนั้นจะคู่ควรเป็นสามีของโหรวหลันได้เช่นไร
สีหน้าข้าเฉยชาลงทันใด ข้าเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “เจตนาดีขององค์ชาย เจียงเจ๋อซาบซึ้งอยู่ในใจ แต่ชีวิตนี้เจียงเจ๋อรักบุตรสาวคนนี้ที่สุด หวังให้การแต่งงานของนางเป็นสิ่งที่นางยินยอมพร้อมใจด้วยตนเอง ยามนี้หลันเอ๋อร์ยังเล็ก เรื่องการแต่งงานนี่คงยังไม่สะดวกพูดคุย”
คำพูดนี้ไม่ไว้หน้าชิ่งอ๋องแม้แต่น้อย แม้แต่ตัวข้าเองยังกังวลเล็กน้อยว่าเขาจะโกรธเคือง แต่ผิดจากที่ข้าคาด สีหน้าของหลี่คังไม่เปลี่ยนสักนิด เขาหัวเราะแล้วตอบว่า “ดูท่าเจ้าลูกหมาของข้าคงไม่มีบุญสินะ คุณหนูของท่านเจียงย่อมสูงศักดิ์ล้ำค่า สมควรมีคู่ครองที่ดีกว่านี้”
คำพูดประโยคนี้เหมือนทั้งอิจฉาทั้งเสียดสี แต่หลี่คังเอ่ยออกมาอย่างนิ่งสงบยิ่งนัก ข้าเห็นเขาไม่บันดาลโทสะ ในใจก็ลอบถอนหายใจโล่งอก แล้วอดนึกเสียใจเล็กน้อยไม่ได้ที่เชิญเขามา
แต่เดิมข้าเชิญเขามาเพราะฐานะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นชินอ๋องแห่งรัชสมัยนี้ เป็นพี่ชายของฉางเล่อ แต่การมาครั้งนี้ของเขาไม่เพียงทำให้ข้ามีศัตรูเพิ่มมาคนหนึ่ง ยังนำความขัดแย้งภายในของต้ายงมาสู่สายตาของคนนอกอีก น่าเสียดายข้ามิอาจเห็นแก่หน้าเขายอมปรองดองต่อหน้าแล้วทำผิดต่อเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของโหรวหลันเช่นนี้ได้
ข้าเห็นประกายตาขบคิดในดวงตาของหลินปี้ก็ทราบแล้วว่าการเชิญนางมาครั้งนี้น่าจะได้ไม่คุ้มเสีย แต่โลกใบนี้มิมียาแก้เสียใจให้กิน ในใจจึงลอบคิดว่าช่างเถิด หลังจากนี้ย่อมมีหนทางชดเชยสิ่งที่เสียไปวันนี้คืนมา ข้าเค้นรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าแล้วเอ่ยว่า “เอาละ เจินเอ๋อร์ รีบให้เซิ่นเอ๋อร์ลงมือเถิด ข้าว่าเขาใกล้จะอดใจมิไหวแล้ว”
[1]คัมภีร์หลุนอวี่ ตำราหลักเล่มสำคัญของลัทธิขงจื้อ
[2]คัมภีร์เล่าจื้อ ตำราเล่มสำคัญของลัทธิเต๋า
[3]คัมภีร์จินกังจิน คัมภีร์สำคัญของทางพุทธศาสนา
[4]พู่กันหูปี่ พู่กันที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งพู่กัน มีต้นกำเนิดจากหมู่บ้านซั่นเหลี่ยน เมืองหูโจว มณฑลเจ้อเจียง มีจุดเด่นสี่ประการคือปลายแหลมเรียวเล็ก ขนพู่กันเสมอกัน หัวพู่กันกลมแน่น ปลายแข็งแรงดีดกลับมาเหยียดตรงได้ดี
[5]แท่งหมึกฮุยมั่ว หมึกคุณภาพดีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งเป็นผลผลิตพิเศษจากเมืองหวงซาน เมืองเซวียนเฉิง มณฑลอันฮุย มีจุดเด่นตรงยามสัมผัสกระดาษเหมือนน้ำมันเคลือบ สีดำเข้มชัด ผ่านไปนานก็ไม่ซีด ไม่เหนียวติดกระดาษกับพู่กัน มีกลิ่นหอมอบอวลเป็นต้น
[6]กระดาษเซวียนจื่อ กระดาษคุณภาพดีสำหรับการเขียนพู่กัน ได้ชื่อตามเมืองเซวียนซึ่งเป็นแหล่งผลิต
[7]แท่นฝนหมึกตวนเยี่ยน แท่นฝนหมึกชื่อดัง มีจุดเด่นที่ความแข็งแรงทนทาน เนื้อละเอียดเรียบลื่น ในความแข็งมีความละมุนดั่งผิวทารก อีกทั้งยังมีชื่อเสียงด้วยการแกะสลักอันมากฝีมือเป็นเอกลักษณ์หลากหลายลวดลาย มีต้นกำเนิดมาจากตวนโจว