ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 35 ขายบุตรรัก (3)
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มอ่อนโยนแล้ววางบุตรรักลงบนโต๊ะไม้ด้วยมือตน ปล่อยให้เขาเคลื่อนไหวอย่างอิสระ เจียงเซิ่นเบิ่งตาโต สีหน้าดีอกดีใจและสงสัยใคร่รู้ เมื่อครู่เขายังใจร้อนอยากจะหยิบจับของน่าสนใจเหล่านั้นอยู่ แต่มาตอนนี้กลับไม่ยอมเอื้อมมือ เพียงมองสำรวจดูเท่านั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทารกน้อยก็เริ่มขยับ เขาคลานไปตรงกลางอย่างรวดเร็วแล้วหยิบขนมกลิ่นหอมฟุ้งชิ้นหนึ่งขึ้นมา
ข้าครวญครางอย่างห้ามมิได้ ได้ยินว่าหากยามเสี่ยงทายครบขวบปีจับขนมเป็นอย่างแรกสุด หมายความว่าวันหน้าเด็กคนนี้จะตะกละและเกียจคร้าน แม้แขกมากกว่าครึ่งจะเยินยออย่างมีมารยาทบอกว่าอนาคตเด็กคนนี้ต้องอยู่ดีกินดีเป็นแน่ก็ตาม
ตอนแรกข้าคิดจะเอาขนมออกอยู่แล้วเชียว เพราะขนมของฉางเล่อแม้แต่ข้ายังวางไม่ลง เกรงว่าเซิ่นเอ๋อร์ก็คงทนความเย้ายวนไม่ไหว แต่เจินเอ๋อร์กลับบอกว่านี่เป็นกฎ ยามนี้เป็นอย่างไรไม่ผิดจากที่คาดสักนิด เซิ่นเอ๋อร์จับขนมเป็นอย่างแรก
เวลานี้เองเสี่ยวซุ่นจื่อผู้ยืนนิ่งเงียบอยู่ที่มุมห้องมาตลอดจู่ๆ ก็หัวเราะ ข้าถลึงตาใส่เขา “เจ้าหัวเราะอะไร”
หลี่ซุ่นยิ้ม “คุณชายน้อยช่างสมกับเป็นบุตรของคุณชาย คุณชายเคยเล่าให้บ่าวฟังว่าตอนคุณชายทำพิธีเสี่ยงทายครบขวบปีก็จับขนมเป็นอย่างแรกเหมือนกันมิใช่หรือ”
พอเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา ในห้องก็เงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นหลี่เสี่ยนก็หัวเราะลั่นขึ้นมา แม้คนอื่นจะติดที่ต้องไว้หน้าข้าแต่ก็พากันยิ้มกว้าง ข้าเขินอายเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้ แต่ก็คิดในใจว่าเป็นเช่นนี้ผู้อื่นก็จะไม่ล้อเซิ่นเอ๋อร์แล้ว แม้เสี่ยวซุ่นจื่อทำข้าขายหน้า แต่รักษาหน้าของเซิ่นเอ๋อร์ไว้ได้ ก็นับว่ามีความชอบ
ตอนนี้เซิ่นเอ๋อร์วางขนมลงแล้ว ดวงตาโตกลอกไปมารอบหนึ่งก็เอื้อมมือไปคว้าลูกคิดขึ้นมา หัวใจข้าเริ่มมีกำลังใจ ข้าหัวเราะพลางกล่าวว่า “นี่ก็ดี นี่ก็ดี ผู้แซ่เจียงปวดหัวเวลาตรวจดูบัญชีที่สุด หากมิใช่ว่ามีลูกน้องที่เชื่อใจได้คอยช่วยดูแลกิจการให้ น่ากลัวว่าผู้แซ่เจียงคงสิ้นไร้ไม้ตอกไปนานแล้ว วันหน้าหากเซิ่นเอ๋อร์ชาญฉลาดสักหน่อย กิจการจะได้ไม่ล่มจม”
คำพูดเหล่านี้มิได้เป็นเพียงคำปลอบใจ ข้ามีความสามารถก่อตั้งกิจการ แต่ให้ดูแลบัญชียิบย่อยพวกนั้นเป็นสิ่งที่ข้าปวดหัวที่สุด โชคดีที่ข้าหลบเลี่ยงข้อด้อยของตัวเองมาตลอด ไม่เข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้ หากเซิ่นเอ๋อร์เฉลียวฉลาดสักหน่อย อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องกังวลว่าอนาคตเขาจะกลายเป็นตัวล้างผลาญตระกูล
หลังจากนั้นเซิ่นเอ๋อร์ก็ทิ้งลูกคิด แล้วเอื้อมมือไปจับดาบงดงามเล่มนั้น ข้านึกในใจอย่างเสียดายเล็กน้อย ‘มีกระบี่อยู่เล่มหนึ่งแท้ๆ ไฉนไม่จับเล่า ผู้ใดมิรู้บ้างผู้ที่จับกระบี่มักเก่งกาจทั้งบู๊บุ๋น ส่วนผู้ที่จับดาบส่วนมากมักเป็นนักรบผู้หุนหันพลันแล่น’
ข้าเริ่มเดินวนรอบโต๊ะหลายรอบด้วยความร้อนใจ แล้วเอ่ยอย่างขัดใจ “เซิ่นเอ๋อร์ เจ้าลูกคนนี้เป็นอย่างไรกันนะ ครั้งกระโน้นสิ่งที่สองที่บิดาหยิบคือสี่สมบัติแห่งห้องอักษร เหตุไฉนเจ้าจึงมิถูกใจตำรากับหมึกพู่กันสักนิดเลยเล่า”
ผู้คนทั้งหลายในหอไม่มีผู้ใดไม่หัวเราะ ผู้ที่คุ้นเคยกันอยู่บ้างยังพอทำเนา ทว่าแม้แต่ชิ่งอ๋องหลี่คัง หลินปี้กับหลินถง ในใจต่างก็รู้สึกขบขันนัก คิดไม่ถึงว่าเจียงสุยอวิ๋นผู้ฉลาดปราดเปรื่องคนนี้จะมีด้านที่เป็นเด็กเช่นนี้ด้วย แต่ข้ามิสนใจสีหน้าของพวกเขา ใจจดใจจ่อมองเซิ่นเอ๋อร์ หวังว่าเขาจะไว้หน้าข้าบ้าง
ตอนนี้เองเซิ่นเอ๋อร์ก็วางดาบลง แล้วเอื้อมมือไปยังถาดไม้พะยูงดำ ในใจข้าเปรมปรีดิ์ แล้วกลั้นลมหายใจเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนเขา มือน้อยของเซิ่นเอ๋อร์กวาดผ่าน พู่กัน หมึก กระดาษและแท่นฝนหมึกระเนระนาดในทันใด แต่เขากลับเอื้อมมือไปยังถาดอีกใบหนึ่ง ในใจข้าลอบยินดี คิดขึ้นว่าหากหยิบตำราขึ้นมาย่อมดีที่สุด แล้วเซิ่นเอ๋อร์ก็ยื่นมือไปคว้าตำราเล่มหนึ่งมาจริง ทว่าหลังจากนั้นมือน้อยกลับดึงทึ้งด้วยความสงสัยใคร่รู้
ข้าพลันรู้สึกว่ามีเสียงตูมดังขึ้นในสมอง ก้าวพรวดเข้าไปจับคอเสื้อของเซิ่นเอ๋อร์หิ้วเขาขึ้นมา จากนั้นด่าเสียงดัง “เจ้าลูกคนนี้ เจ้าเป็นอะไร สมัยโน้นแม้ว่าบิดาก็เคยคว้าคัมภีร์เล่าจื้อเหมือนกัน แต่เล่มแรกที่จับก็ยังเป็นหลุนอวี่ เจ้ากลับงามหน้านัก ดันกอดจินกังจินไม่ปล่อย เป็นอะไรไม่เป็น ดันจะไปเป็นพระ มีอย่างที่ไหน รีบโยนคัมภีร์เล่มนี้ทิ้งเร็วเข้า เจ้าไม่รู้อักษรสักตัวก็ไม่เป็นไร แต่จะไปเป็นพระมิได้เด็ดขาด”
องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก แล้วก้าวเข้ามาปลอบ “สุยอวิ๋น ท่านอย่าตื่นเต้นไป หยิบคัมภีร์พุทธขึ้นมาก็หมายความว่ามีวาสนากับพุทธศาสนาเท่านั้น เหตุใดโยงไปถึงเป็นพระได้เล่า พิธีเสี่ยงทายครบขวบปีก็เป็นเพียงพิธีอย่างหนึ่งเท่านั้น มีผู้ใดถือเป็นจริงเป็นจังอย่างท่านเช่นนี้เสียที่ไหน ปล่อยมือเร็ว อย่าทำเซิ่นเอ๋อร์เจ็บ”
ข้าเอ่ยอย่างอับอาย “จริงสินะ จริงสินะ ข้าตื่นเต้นเกินไปเอง ผู้ใดให้เจ้าหนูคนนี้ไม่ไว้หน้าข้าสักนิดเล่า” กล่าวจบข้าก็เมียงมองเซิ่นเอ๋อร์ด้วยเป็นห่วงว่าเขาจะตกใจหรือไม่ แต่ไม่เห็นยังพอว่า พอเห็นเข้าข้าก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แม้สองมือของเซิ่นเอ๋อร์จะยังกอดคัมภีร์จินกังจินแน่น แต่เท้าน้อยๆ ทั้งสองข้างกลับปัดไปปัดมา เอนไปเอนมาเหมือนโล้ชิงช้าอยู่ตรงนั้น
ข้าเอ่ยอย่างแค้นใจ “บ้านเราโชคร้ายแล้ว เหตุไฉนมีเจ้าเด็กอันธพาลเช่นนี้มาเกิด”
หลี่เสี่ยนกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “สุยอวิ๋น ท่านไม่ต้องกังวลใจไป ข้าดูแล้วเด็กคนนี้ซุกซนมีชีวิตชีวา อนาคตตคงเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์”
ตอนนี้เองจู่ๆ เสี่ยวซุ่นจื่อก็ดวงตาวาวโรจน์มองไปนอกหน้าต่าง จากนั้นเอ่ยเสียงเย็น “ยอดฝีมือจากที่ใดให้เกียรติมาเยือนจวนจิ้งไห่ เงามารหลี่ซุ่นให้เกียรติท่านแล้ว เชิญปรากฏตัวด้วย”
ในใจข้าตกตะลึง แม้จวนจิ้งไห่แห่งนี้มองจากภายนอกจะดูไม่ออก แต่ในสถานที่แห่งนี้มีกลไกสัญญาณลับนับไม่ถ้วน เหตุใดมีคนบุกมาถึงที่นี่แล้วไม่มีผู้ใดสังเกตได้
ตอนนี้เองเสียงเอ่ยนามพระพุทธองค์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก็ดังมาจากนอกประตู หลังจากนั้นก็มีคนกล่าวขึ้นว่า “ประสกหลี่วรยุทธ์ก้าวหน้าถึงขั้นนี้ ช่างทำให้อาตมานับถือจริงๆ เมื่อครู่อาตมาเห็นประสกเจียงกำลังสั่งสอนบุตรอยู่จึงไม่สะดวกขัดจังหวะ ขออภัยด้วย”
หลังจากนั้นประตูหอก็ถูกผลักเปิดออกช้าๆ ภิกษุวัยกลางคนผู้สวมจีวรสีเทารูปหนึ่งยืนอมยิ้มอยู่ ข้ากลับรู้สึกขนหัวลุก เอ่ยอย่างอับอายว่า “ปรมาจารย์ซือเจิน ผู้แซ่เจียงมิได้กล่าวว่าเป็นภิกษุไม่ดี ขอปรมาจารย์โปรดอภัยด้วย”
ในใจข้าคิดว่าซวยแล้ว เหตุใดคำพูดข้าดันถูกยอดฝีมือผู้มีฐานะเป็นปรมาจารย์ผู้นี้ได้ยินเข้าเล่า หากเขาคิดว่าข้ามีอคติกับศาสนาพุทธจะทำเช่นไร
ปรมาจารย์ซือเจินยิ้มละไมตอบว่า “อาตมาเข้าใจความคิดของประสก ประสกอายุสามสิบปีแล้วกลับมีบุตรชายพียงคนเดียวเท่านี้ ยากไม่ให้คาดหวัง แต่อาตมาเห็นเด็กคนนี้พรสวรรค์ยอดเยี่ยม หากประสกอนุญาต อาตมาอยากรับเขาเป็นศิษย์ มิทราบประสกคิดเห็นอย่างไร”
ข้าจะโพล่งปฏิเสธทันทีแล้ว แต่เห็นเสี่ยวซุ่นจื่อส่ายศีรษะน้อยๆ ในใจข้าพลันฉุกคิดได้ ปรมาจารย์ซือเจินผู้นี้คงมิได้ต้องการให้บุตรชายข้าออกบวช เซิ่นเอ๋อร์เกิดจากองค์หญิง แล้วยังเป็นบุตรคนเดียวของข้า ปรมาจารย์ซือเจินรักผู้มีพรสวรรค์อีกเท่าใดก็คงไม่ให้เซิ่นเอ๋อร์ไปเป็นพระ
เวลานี้เอง ปรมาจารย์ซือเจินก็เอ่ยอีกว่า “แม้เผยอวิ๋นเป็นศิษย์ผู้ค้ำจุนสำนักเส้าหลินของพวกเรา แต่วันนี้กลับกุมอำนาจทหารมากนัก เรื่องในยุทธภพมากมายมิสะดวกสอดมือยุ่ง อาตมาเห็นบุตรชายประสกนิสัยและพรสวรรค์โดดเด่นยิ่ง ในใจจึงนึกชมชอบ หากประสกยินยอม อาตมายินดีรับบุตรชายของประสกเป็นศิษย์คนสุดท้าย
อีกทั้งขอให้ประสกกับองค์หญิงวางใจ ดูจากใบหน้าของบุตรชายประสกแล้ว ชะตาในภายภาคหน้าจักมีโชคลาภวาสนาอายุยืนยาว ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ไม่มีทางออกบวชเป็นพระแน่นอน”
ในใจข้าเข้าใจทันใด บางทีเซิ่นเอ๋อร์อาจมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่ข้าว่าพระเฒ่าผู้นี้ในสิบมีแปดเก้าส่วนน่าจะทำเพื่อเอาตัวประกันไว้ในกำมือมากกว่า หากเซิ่นเอ๋อร์เข้าสำนักเส้าหลิน วันหน้าข้ากับเสี่ยวซุ่นจื่อย่อมมิอาจสร้างความลำบากให้เส้าหลินได้ พระเฒ่าผู้นี้ยังคงหวั่นเกรงและระแวงข้าอยู่กระมัง
แต่เมื่อครุ่นคิดอีกครั้ง เซิ่นเอ๋อร์มักจะอยู่นิ่งได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ดูท่าคงไม่มีฝีมือด้านเขียนเรียงความแล้ว หากจะฝึกวรยุทธ์ ใต้หล้าก็ไม่มีอาจารย์คนใดดีกว่าปรมาจารย์ซือเจินอีก ได้ยินมาว่าวรยุทธ์ของเส้าหลินเป็นวิชายุทธ์ที่ดั้งเดิมที่สุดในใต้หล้า ฝึกได้ไม่ดีก็ไม่มีทางฝึกจนเกิดผลเสียอันใด กราบอาจารย์เช่นนี้คนหนึ่ง อนาคตยังจะมีผู้ใดกล้าสร้างความลำบากให้เซิ่นเอ๋อร์เล่า
ความคิดนับพันสิ่งแล่นผ่านหัวจบ ข้าก็อมยิ้มกล่าวว่า “เซิ่นเอ๋อร์ได้คารวะเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ย่อมเป็นบุญของเขา แต่พวกเราสามีภรรยามีบุตรชายคนนี้เพียงคนเดียว จึงหวังว่าเขาจะเติบใหญ่อย่างปลอดภัย คอยออดอ้อนบุพการี หากท่านปรมาจารย์พาเขาจากไป ไยมิใช่ทำร้ายหัวใจบิดามารดาอย่างพวกเราเกินไปแล้ว”
ปรมาจารย์ซือเจินยิ้มละไมตอบว่า “อาตมาตัดสินใจว่าจะพำนักที่วัดฝูอวิ๋นนครฉางอันชั่วคราว ยามนี้บุตรของประสกยังอายุน้อย อาตมาจะปล่อยให้ท่านเจียงสั่งสอนเขาไปก่อน”
ในใจข้ายินดียิ่งนัก จึงตอบว่า “เป็นอันตกลง”
เมื่อเอ่ยออกมาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าพลั้งปากแล้ว จึงรีบเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจียงเจ๋อขอบพระคุณเจตนาดีของท่านปรมาจารย์ยิ่งนัก ว่าแต่ท่านปรมาจารย์เหตุไฉนจึงเดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้เล่า”