ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 39 เพลิงพิฆาตวารีอาสัญ (2)
แต่ข้าไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้แล้ว เมื่อฮูเหยียนโซ่วรวมกองทหารเสร็จ พวกเราก็ต้องรีบออกไปเหมือนกัน ตอนนี้อยู่ห่างจากกองไฟใกล้เกินไป หากลมเปลี่ยนทิศขึ้นมา เกรงว่าพวกเราก็คงต้องลงสุสานไปด้วย
พวกเราทิ้งกองทัพศัตรูด้านหลังซึ่งไม่รู้ว่าเป็นหรือตายไว้ แล้วเร่งรีบเดินทางไปยังสถานที่รวมพลที่นัดกันไว้ ชายแดนต้ายงมีป้อมมากมาย ฉีอ๋องกับข้านัดจุดรวมพลกันไว้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นฉีอ๋องจะใช้ป้อมตั้งมั่นป้องกัน ส่วนพวกเราจะจู่โจมกองทัพเป่ยฮั่นจากด้านหลัง
กล่าวไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ เพลิงเทวาเหาะเหินยี่สิบแท่งจัดการทหารม้าสามพันนายคงไม่พอ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ล่อทหารส่วนหนึ่งของพวกเขาออกมาก่อน หลังจากนั้นค่อยกำจัดส่วนหนึ่งในนั้น โชคยังดีที่ทหารม้าที่ไล่ตามข้าค่อนข้างน้อย มิเช่นนั้นเกรงว่าคงต้องต่อสู้เหน็ดเหนื่อยกันอีกยกหนึ่ง ข้าได้ยินเสียงสายลมพัดข้างหู พลางภาวนาให้ฉีอ๋องเดินทางไปถึงจุดนัดรวมพลได้อย่างปลอดภัย หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีวิธีการใดอีกแล้ว
ในเวลานี้ ข้าย่อมไม่ทราบว่าราวครึ่งชั่วยามให้หลัง เมื่อทุ่งหญ้าที่ลุกโหมติดไฟดับมอดเหลือเพียงขี้เถ้าสีดำกองหนึ่ง บุรุษผู้ร่างกายดำมอมแมมไปทั้งตัวคนหนึ่งก็ผลักซากศพอาชาศึกที่ถูกเผาจนเกรียมหลายตัวออกแล้วลุกขึ้นมาจากใต้ร่างอาชา เขาตะโกนเสียงเหี้ยม “เจียงเจ๋อ ผู้แซ่เหวยขอสาบานจะไม่อยู่ร่วมฟ้าเดียวกับเจ้า!”
คนผู้นี้ก็คือเหวยอิง วันนั้นเขารับบัญชาจากลู่ช่าน นำของแทนตัวของหลินปี้มาถึงกองทัพเป่ยฮั่น หลังจากแม่ทัพเฟยหู่สืออิงผู้คอยรับคำบัญชาจากหลินปี้ได้รับคำสั่งจากนางจึงนำทหารม้าสามพันนายมาดักซุ่มรอสังหารฉีอ๋องระหว่างทางกลับ
เหวยอิงผู้ชิงชังต้ายงลึกเข้ากระดูกดำย่อมขันอาสาเข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้อย่างกล้าหาญ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นก็คือเจียงเจ๋อเดินทางมาด้วยกันกับฉีอ๋องจริงๆ ต่อมาสืออิงแบ่งทหารไล่ล่า เหวยอิงเลือกไล่ล่าเจียงเจ๋อแต่กลับถูกทะเลเพลิงล้อม
เหวยอิงสติปัญญาเฉียบแหลม เขารู้ว่าฝีมือขี่ม้าของตนธรรมดา ไม่มีทางหนีพ้นทะเลเพลิง จึงฉวยจังหวะชุลมุน สังหารทหารม้าเปยฮั่นหลายคนที่ล้าหลังแล้วฆ่าอาชาศึกของพวกเขา หลังจากนั้นซ่อนร่างไว้ใต้ท้องม้าท่ามกลางสายโลหิต จึงหนีรอดจากชะตาต้องตายกลางทะเลเพลิงมาได้อย่างหวุดหวิด เขาก่นด่าอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่พักหนึ่งก็ย่างเท้าออกเดินทางกลับหนานฉู่ เขาไม่โง่เง่ากลับไปไล่ล่าเจียงเจ๋ออีกครั้ง ตัวคนเดียวต่อกรกับทหารม้าชั้นยอดร้อยกว่านาย เขาไม่กล้าหาญเพียงนั้น
พวกเรารีบเร่งมาถึงป้อมกู้ซานในที่สุด แม้ข้าเพียงซ้อนหลังม้าของเสี่ยวซุ่นจื่อแต่ก็ยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยสิ้นเรี่ยวแรง ขาหนีบทั้งสองข้างถูกอานม้าเสียดสีจนหนังเปิด ปีนี้ข้าอายุสามสิบปีแล้วแต่ไม่เคยลำบากลำบนเช่นนี้มาก่อน เมื่อข้าถูกเสียงฆ่าฟันดังสะเทือนจนแก้วหูแทบดับเรียกสติกลับมาจึงพบว่าทหารม้ากองนี้ของพวกเราหยุดอยู่ใต้เนินเขาลูกหนึ่ง ด้านบนห่างไปไม่ไกลนักคือยอดเขา ข้าได้ยินเสียงฆ่าฟันมาจากทางยอดเขานั่น
เสี่ยวซุ่นจื่อประคองข้าลงมาแล้วแจ้งว่า “คุณชาย ด้านหน้าก็คือป้อมกู้ซานแล้ว ฉีอ๋องถูกล้อมอยู่นอกป้อม ทหารประจำป้อมพยายามออกจากป้อมมาช่วยเหลือหลายครั้งแล้วแต่ล้มเหลว”
ใจข้าเคร่งเครียด จึงกัดฟันลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “เจ้าพยุงข้าไปดูหน่อย”
เสี่ยวซุ่นจื่อเอื้อมมือมาโอบเอวข้าไว้ ไม่ทันเห็นว่าเขาขยับอย่างไร เขาก็พาข้ามาถึงยอดเขาเสียแล้ว ข้าหลบอยู่หลังก้อนหินใหญ่ จากนั้นก็เห็นภาพสนามรบ
ป้อมกู้ซานได้นามนี้มาเพราะป้อมแห่งนี้สร้างขึ้นบนยอดภูเขาน้อยลูกหนึ่ง แทนที่จะเรียกว่าภูเขาลูกน้อย มิสู้เรียกว่าเนินเขาหินลูกหนึ่งจะดีกว่า ภายในป้อมมีตาน้ำที่ปริมาณน้ำมากยิ่งอยู่ตาหนึ่งไหลลงมาตามภูมิประเทศของภูเขา เมื่อครั้งก่อสร้างป้อมจึงขุดคลองลึกสองสามจั้งไว้รอบด้าน หลังจากนั้นชักน้ำในตาน้ำเข้ามา ป้อมกู้ซานทั้งได้เปรียบด้านชัยภูมิ ทั้งมี ‘คูเมือง’ ป้องกันศัตรู จึงเป็นป้อมที่ค่อนข้างสำคัญป้อมหนึ่ง น่าเสียดายเพราะป้อมแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นกองทหารที่ประจำอยู่ด้านในส่วนมากจึงล้วนแต่เป็นพลเดินเท้า มีทหารม้าอยู่เพียงสามร้อยนายเท่านั้น
ข้ามองลงไปก็เห็นว่าห่างจากป้อมไกลพันก้าว ฉีอ๋องกำลังนำทหารม้าร้อยกว่านายที่มีบาดแผลทั่วร่างพุ่งฝ่าฝ่ายศัตรูไม่หยุดหย่อน ทหารม้าชั้นยอดหนึ่งพันนายล้อมพวกเขาอยู่กลางกระบวนทัพ ส่วนทหารม้าเป่ยฮั่นอีกเจ็ดแปดร้อยนายลาดตระเวนอยู่นอกป้อมกู้ซานคอยขัดขวางกองหนุนของป้อมกู้ซานเอาไว้ ข้าเห็นชัดเจนว่าในคูน้ำรอบป้อมมีศพกองมหึมากับอาชาศึกไร้เจ้าของจำนวนหนึ่งลอยอยู่ ส่วนจุดที่สูงที่สุดของป้อม ควันสีดำกำลังลอยขโมงตรงขึ้นสู่ฟ้า
เวลานี้ฮูเหยียนโซ่วที่ตามมาก็เอ่ยอย่างกังวล “ใต้เท้า เมื่อครู่ทหารภายในป้อมพยายามจะออกมารับนอกป้อม แต่กลับถูกขัดขวางจนต้องกลับเข้าไป แม้ยามนี้ป้อมส่งสัญญาควันแจ้งแต่ละป้อมที่อยู่ใกล้เคียงแล้ว แต่หากไม่ถึงสักหนึ่งชั่วยาม เกรงว่าพวกเขาคงมาไม่ทัน ใต้เท้า พวกเราต้องช่วยองค์ชาย”
ข้าถอนหายใจมองสองฝ่ายที่ทำศึกกันอยู่เบื้องล่าง นี่มิใช่ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นทหารม้าชั้นเลิศประจันบานกันใกล้เพียงนี้ แม้กำลังพลจะต่างกันมากสักหน่อย แต่ฉีอ๋องไม่เผยความขลาดกลัวแม้แต่น้อย ทุกครั้งล้วนพุ่งทะลวงไปยังจุดที่อ่อนแอของกองทัพศัตรู แม้ว่าแม่ทัพเฟยฮู่สืออิงผู้บัญชากองทหารเป่ยฮั่นจะรับมือได้รวดเร็วจนกักพวกฉีอ๋องไว้กลางกระบวนทัพได้ตลอด แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังมิอาจปราบพวกฉีอ๋องได้อย่างสิ้นเชิง
ข้าถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย “ฮูเหยียนโซ่ว แม้ฉีอ๋องปราดเปรื่องทางกลศึก แต่เหตุไฉนข้ารู้สึกว่าสืออิงดูมิเก่งกาจสมชื่อนัก”
ฮูเหยียนโซ่วตอบว่า “ใต้เท้าอาจมิทราบ แม่ทัพแต่ละคนของเป่ยฮั่นมีข้อเด่นต่างกันไป สืออิงเชี่ยวชาญการจู่โมอย่างรวดเร็วจากระยะไกล แต่ครานี้องครักษ์ข้างกายองค์ชายเก่งกาจเหนือกว่าทหารของสืออิง ดังนั้นสืออิงจึงจู่โจมเร็วไม่สำเร็จ
กล่าวถึงความสามารถด้านการนำทหารวางกระบวนทัพ ในกองทหารเป่ยฮั่น แม่ทัพกุ่ยเมี่ยนถานจี้คืออันดับหนึ่ง ส่วนในกองทัพต้ายงของพวกเรา ด้านการบัญชาทหารม้าปะทะกับศัตรู มีน้อยคนนักที่จะเหนือกว่าฉีอ๋อง ดังนั้นสถานการณ์จึงเป็นเช่นนี้”
ในใจข้าลอบคิดว่าโชคยังดี หากครั้งนี้ผู้ที่ดักสังหารพวกเราคือแม่ทัพกุ่ยเมี่ยนถานจี้ ข้าคงได้เก็บศพฉีอ๋องกลับมาแล้ว แน่นอนว่านี่หมายถึงในสถานการณ์ที่ข้ามีโอกาสหนีพ้นภัยด้วย
ครั้งนี้มิใช่ว่าเป่ยฮั่นวางแผนมาไม่รอบคอบ แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าข้าจะนำเพลิงเทวาเหาะเหินที่เดิมทีเตรียมไว้สำหรับการชุมนุมที่ตงไห่มาด้วย อีกประการหนึ่งพวกเขาลืมว่ายามนี้คือสารทฤดู หญ้าแห้งมากมาย เป็นฤดูกาลที่ใช้ไฟโจมตีง่ายดายที่สุด ส่วนเรื่องที่กลศึกของสืออิงถูกฉีอ๋องข่มก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ข้าคิดว่าฝ่ายเป่ยฮั่นเองก็คงมิอาจทราบล่วงหน้าว่าฉีอ๋องจะเดินทางไปตงไห่ พวกเขาคงได้รับข่าวจากหลินปี้แล้วจึงรีบร้อนส่งสืออิงที่อยู่ใกล้มาก่อน หากขาดเงื่อนไขเหล่านี้ไปแม้สักข้อ วันนี้ก็คงไม่เกิดสถานการณ์เช่นนี้
ข้าสำรวจสนามรบอย่างละเอียดอยู่พักใหญ่ก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวซุ่นจื่อ ประเดี๋ยวเจ้าตามแม่ทัพฮูเหยียนไปฉวยโอกาสโจมตีกองทัพเป่ยฮั่น แม้วิชาขี่ม้าของเจ้าด้อยอยู่บ้าง แต่น่าจะพอเทียบกับทหารม้าธรรมดาคนหนึ่งได้แล้ว วิชาทวนตระกูลเจียงที่เจ้าฝึกฝนมาหลายปีนี้น่าจะได้เอามาใช้เสียที หากเอาชีวิตสืออิงมาได้ย่อมดีที่สุด หากไม่ได้ก็จงทำให้สืออิงมิอาจบัญชาการกองทัพศัตรูได้ดั่งใจอีกต่อไป พวกเจ้าคิดว่าแผนนี้เป็นเช่นไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อกับฮูเหยียนโซ่วต่างมุ่นคิ้วเล็กน้อย ฮูเหยียนโซ่วกล่าวขึ้นก่อน “ใต้เท้า ท่านหลี่วรยุทธ์สูงส่ง ในอดีตผู้น้อยเองก็เคยเห็บกับตา แต่ความปลอดภัยของใต้เท้าสำคัญนัก หากท่านหลี่ร่วมทัพสังหารศัตรู ถึงเวลาหากศึกวุ่นวายชุลมุนทำให้ใต้เท้าบาดเจ็บ พวกเราคงรับผิดชอบไม่ไหว”
ข้ายิ้มเจื่อน เอ่ยว่า “แม่ทัพฮูเหยียน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ท่านต้องบัญชากองทหาร เรื่องสังหารแม่ทัพชิงธงท่านคงไม่ว่างยื่นมือออกมาช่วย ยิ่งไปกว่านั้น หากมิอาจเอาชนะ ต่อให้พวกท่านล้วนอยู่ที่นี่ปกป้องผู้แซ่เจียงก็ไม่มีประโยชน์อันใด เอาเช่นนี้เถิด ท่านทิ้งราชองครักษ์หู่จีสองสามนายไว้ปกป้องข้า ขอเพียงพวกท่านรีบสู้รีบจบศึก ข้าก็น่าจะไม่อันตรายมากมายนัก”
ข้ามิสะดวกใจบอกว่าฮูเหยียนโซ่วไม่แน่ว่าจะปราบสืออิงได้
เสี่ยวซุ่นจื่อกลับมิได้เอ่ยคำใด เขาเข้าใจสถานการณ์ยามนี้ และทราบว่าเมื่อเจียงเจ๋อออกคำสั่งแล้วก็เสมือนดั่งขุนเขา ในใจคิดว่าตนต้องรีบสังหารสืออิงให้เร็วหน่อย หลังจากนั้นกลับมาปกป้องคุณชายทันที นี่จึงจะเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ในใจเขานึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ให้เจียงเจ๋อพาองครักษ์คนสนิทมาเพิ่มอีกสักสองสามคน
เวลานี้ฝ่ายฉีอ๋องที่อยู่ด้านล่างกระบวนทัพเริ่มสับสน ดูท่าจะเป็นศรสิ้นแรงแล้ว ข้ารีบออกคำสั่ง “แม่ทัพฮูเหยียน ท่านรีบลงมือสักหน่อย หากองค์ชายบาดเจ็บ น่ากลัวว่าพวกเราคงรับผิดชอบมิไหว”
ฮูเหยียนโซ่วตอบรับเสียงเบา แล้วจัดราชองครักษ์หู่จีที่วรยุทธ์สูงส่งหลายคนไว้ปกป้องข้า ก่อนจะหันหลังกลับไปขึ้นม้า เสี่ยวซุ่นจื่อมองข้าครั้งหนึ่งแล้วขึ้นอาชาศึกตาม ตอนนี้ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยเรียก “เสี่ยวซุ่นจื่อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
เสี่ยวซุ่นจื่อทำหน้าตั้งคำถามแล้วค้อมกายก้มหัวลงมา ข้ากล่าวอย่างรีบร้อนข้างหูเขาหลายคำ หลังจากนั้นจึงรีบถอยไปด้านข้าง
ฮูเหยียนโซ่วเห็นทุกคนเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วก็ชูแหลนอาชาชี้ขึ้นท้องฟ้าอย่างเงียบงัน หลังจากนั้นยกทัพขึ้นไปอย่างดุดัน ทหารม้าเกือบสองร้อยนายพุ่งไปยังยอดเขา แล้วโถมเข้าสู่สนามรบอย่างเกรี้ยวกราดดั่งพายุ ข้ายืนอยู่ฝั่งนี้ยังรู้สึกว่าแผ่นดินสะท้านขุนเขาสะเทือน เศษหินกลิ้งสะเปะสะปะ จนข้าซวนเซเกือบล้มลงกับพื้น โชคดีที่ราชองครักษ์หู่จีซึ่งคอยอยู่ปกป้องข้าทั้งหลายด้านข้างพยุงข้าเอาไว้ทัน