ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 40 เพลิงพิฆาตวารีอาสัญ (3)
ราชองครักษ์หู่จีหลายคนนี้ล้วนเป็นองครักษ์ใกล้ชิดผู้เคยปกป้องข้าที่สวนเหมันต์เมื่อในอดีต หลายปีนี้พวกเขาล้วนเลื่อนขั้นกันหมดแล้ว อย่างน้อยก็เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นหก หลายวันก่อนพอพวกเขาพบหน้าข้าก็มาโอดครวญกับข้าทันที บอกว่าเมื่อตอนนั้นที่ข้าหนีไป พวกเขาถูกยงอ๋องในวันนั้น หรือฝ่าบาทในวันนี้ต่อว่าอย่างรุนแรงเพราะ ‘คุ้มกันไม่ดีพอ’ แม้สุดท้ายยงอ๋องทราบว่ามิใช่ความผิดของพวกเขาจึงไม่ลงโทษ ทั้งยังมอบตำแหน่งสำคัญให้เพราะพวกเขาอยู่ข้างกายข้ามาหลายปี แต่พวกเขาก็เงยหน้าไม่ขึ้นเป็นเวลาเนิ่นนานนัก
โชคดีที่เป็นพวกเขา พวกเขาคงไม่หัวเราะเยาะข้าแน่ เพราะเมื่อตอนอยู่สวนเหมันต์ พวกเขารับหน้าที่สังเกตอาการร่างกายข้าตลอดเวลา ทันทีที่เห็นสีหน้าข้าไม่ดีก็จะไปเชิญหมอหลวงที่รับผิดชอบดูแลข้าโดยเฉพาะในจวนยงอ๋องมาทันที แม้ตอนนี้ร่างกายข้าฟื้นกลับมาแข็งแรงเกือบทั้งหมดแล้ว แต่ในใจพวกเขา ข้าก็คงยังเป็นตัวขี้โรคที่ขาดใจตายได้ตลอดเวลาคนนั้นอยู่กระมัง
ยามข้าลุกขึ้นก็เห็นเสี่ยวซุ่นจื่อตามหลังฮูเหยียนโซ่วพุ่งเข้าไปในกองทัพทหารม้าของเป่ยฮั่นพอดี อาชาสีขาว ทวนสีเงินกับชุดเกราะสีหิมะ องอาจน่าเกรงขาม ทำข้านึกอิจฉาในใจอยู่เล็กน้อย คิดในใจว่าน่าเสียดายนัก ข้าคงไม่มีวันลงสนามรบสังหารศัตรูได้
เกราะเหล็กสีดำกับสีแดงหลั่งไหลเข้าไปอย่างมิอาจขวางกั้น ทหารเป่ยฮั่นคิดไม่ถึงว่าจะมีทหารซุ่มซ่อนอยู่ ชั่วขณะกระบวนทัพจึงสับสนอย่างหนัก ฝ่ายฉีอ๋องเกิดกำลังใจฮึกเหิมเข่นฆ่าสุดกำลัง เวลานี้ภายในป้อมก็เห็นสถานการณ์ ประตูป้อมจึงเปิดออกกว้าง ทหารม้าในป้อมที่เหลือเพียงสองร้อยกว่านายบุกออกมา แม้กำลังทหารของต้ายงจะยังคงสู้กองทัพเป่ยฮั่นมิได้ แต่ในนอกกระหนาบ สามด้านโหมโจมตี กองทัพเป่ยฮั่นพลันสับสนอลหม่าน
สืออิงคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าจะมีกองทัพศัตรูโผล่มาจากด้านหลังในเวลานี้ ก่อนหน้านี้พวกเขากำจัดทหารสอดแนมฝ่ายต้ายงไปมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพต้ายงที่ประจำอยู่ตามป้อมปราการเหล่านั้นก็ได้รับคำสั่งอันเข้มงวดจากฉีอ๋องมิยอมออกมาจากป้อมโดยง่าย ดังนั้นเดิมทีเขาจึงมั่นใจว่าจะล้อมสังหารฉีอ๋องสำเร็จแน่นอน ส่วนเจียงเจ๋อผู้พาองครักษ์ ‘หนีไป’ คนนั้น เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา
เสนาธิการผู้วางกลยุทธ์ได้เลิศล้ำคนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะเป็นแม่ทัพคอยนำทหารออกรบได้ หากมิใช่ว่าคำสั่งของหลินปี้เจาะจงให้สืออิงจับตัวเจียงเจ๋อมาสังหารให้จงได้ ทั้งราชทูตหนานฉู่ผู้นั้นก็ยืนกรานเช่นนั้น เขาคงไม่มีทางส่งทหารพันนายไปไล่ล่าเจียงเจ๋อ ส่วนเรื่องที่เจียงเจ๋อหนีรอดมาได้ สืออิงคาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดแม้แต่น้อยว่าบริเวณใกล้ๆ จะมีทหารกองหนุนอยู่
ทันทีที่เห็นชุดเกราะสีดำกับสีแดง ความคิดแรกของสืออิงคือนึกถึงความปลอดภัยของทหารม้าเหล่านั้นที่ไล่ล่าเจียงเจ๋อ ในเวลาเดียวกับที่หัวใจหนาวยะเยือก คำบัญชาให้ขวางศัตรูก็ออกจากปากช้าไปเสี้ยวหนึ่ง ทว่าเพียงชั่วพริบตานี้ ความพ่ายแพ้ก็ถูกกำหนดแล้ว
สืออิงเป็นคนเด็ดขาดยิ่งนัก เขาสั่งถอนทัพทันที ส่วนตนเองพากองทหารคนสนิทคุมท้าย ทหารม้าเป่ยฮั่นอาศัยคนมาก หนีกกระจัดกระจายไปสี่ทิศ สืออิงเพิ่งแทงแหลนใส่ทหารต้ายงที่ขวางทางคนหนึ่งจนคว่ำ ด้านหน้าก็พลันมีเงาสีขาวโฉบเข้ามา ทหารม้าเกราะขาว อาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งขวางทางไปของเขาไว้
หน้ากากปิดบังใบหน้าของคนผู้นั้นจนมองไม่เห็นโฉมหน้าของเขา แต่รูปร่างของเขาไม่สูงใหญ่ สืออิงหัวเราะหยัน ถือดีว่าตนแกร่งกล้าห้าวหาญ เสือกแหลนแทงออกไป ทหารม้าผู้นั้นไม่หลีกหลบ ทวนสีเงินเล่มหนึ่งแทงเฉียงออกมาจากระหว่างสายบังเหียน ทวนกับแหลนปะทะกัน
สืออิงรู้สึกประหนึ่งปะทะกับกองปุยนุ่น จุดที่เกิดแรงปะทะคล้ายจริงคล้ายลวง ร่างกายจึงโซเซอย่างมิอาจห้าม เวลานี้เอง ทวนเงินของทหารม้าผู้นั้นพลันแยกออกอย่างรวดเร็วกลายเป็นเงาทวนเต็มผืนฟ้า ปลายทวนส่งประแสปราณเรียวเล็กเย็นยะเยือกนับไม่ถ้วนโถมเข้าใส่สืออิง
สืออิงตวาดลั่น แหลนอาชากวาดใส่ความว่างเปล่า กระแสลมร้อนระอุขวางการโจมตีของทวนสีเงินเอาไว้ เคร้ง เคร้ง เคร้ง เสียงแหลมสูงยามคมอาวุธปะทะกันที่ดังติดกันเป็นพรวนกับกระแสลมที่โหมพัดขึ้นมาทำให้บริเวณหลายจั้งรอบกายทั้งสองคนไม่มีผู้ใดหยัดยืนอยู่ได้
สืออิงเป็นถึงแม่ทัพผู้โด่งดังแห่งเป่ยฮั่น แม้ในสนามรบเคยพบคู่ต่อกร แต่ไม่เคยประสบพบความยากลำบากเช่นวันนี้ หากมิใช่เขาสังเกตว่าวิชาทวนกับวิชาขี่ม้าของคนผู้นั้นต่างชั้นกันมาก แล้วใช้ทักษะการขี่อาชาของตนให้ได้เปรียบ เกรงว่าคงมิอาจสู้สูสีทัดเทียมกับคนผู้นั้นได้
ทั้งสองฝ่ายสู้กันสิบกว่ากระบวนท่า คนผู้นั้นก็เริ่มกลายเป็นฝ่ายเหนือกว่า ทันใดนั้นทวนสีเงินก็แทงทะลุแนวป้องกันของสืออิงรวดเร็วดั่งดาวตก สืออิงหลบสุดความสามารถแต่ก็ยังถูกทวนของคนผู้นั้นแทงทะลุซี่โครงขวา สืออิงร้องคำรามแล้วพุ่งแหลนอาชาในมือออกไปสุดกำลังโดยมิสนว่าจะเป็นหรือตาย
คนผู้นั้นชักม้าถอยหนึ่งก้าว สืออิงได้ทีจึงหันหลังหนี องครักษ์คนสนิทสิบกว่าคนข้างกายเขาเข้ามาขวางการโจมตีของแม่ทัพฝ่ายศัตรูผู้นั้นอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ต้องนัด ทวนสีเงินกลายเป็นฝนดาวตกพราวพร่าง บุปผาสีแดงสวยสดแย้มกลีบกลางอากาศ ตอนที่องครักษ์คนสนิทสิบกว่านายนั้นจบชีวิตใต้คมทวนสีเงิน สืออิงก็ฝ่าออกไปไกลภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์คนสนิทที่เหลือแล้ว
แม่ทัพอาภรณ์สีหิมะผู้นั้นเห็นว่าไล่ตามมิทันแล้วจึงตะโกนเสียงดัง “สืออิง จงบอกต่อองค์หญิงจยาผิง หนานฉู่หาได้มีเจตนาดีอันใด พวกเขาเพียงส่งข่าว แต่พวกเจ้าเสียทหารสูญแม่ทัพ แผนการปล่อยนกกับหอยตีกัน ชาวประมงฉวยโอกาสเช่นนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือ”
สืออิงฟังเข้าใจโดยพลัน แม้ทราบดีว่านี่เป็นการเสี้ยมให้แตกคอ แต่ในใจก็ยังบังเกิดความโกรธแค้น นึกสงสัยเจตนาของหนานฉู่อย่างช่วยไม่ได้ ตามที่ราชทูตผู้นั้นบอก คนที่บงการเขาคือลู่ช่านแห่งหนานฉู่ ได้ยินว่าลู่ช่านเป็นศิษย์ของเจียงเจ๋อ ลูกศิษย์จะมิรู้ความสามารถของอาจารย์หรือไร หรือว่าลู่ช่านจะทราบอยู่แล้วว่าพวกเราไม่มีทางทำสำเร็จได้โดยง่ายจึงส่งข่าวมาให้พวกเรา
ข้าได้ยินเสียงตะโกนของเสี่ยวซุ่นจื่อดังมาจากด้านบน ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มละไม ลู่ช่านกับหลินปี้ร่วมมือกันทำร้ายข้า แค้นนี้มิอาจไม่ชำระ ผู้นำฝ่ายทหารของเป่ยฮั่นคือหลงถิงเฟย หากทำให้หลงถิงเฟยระแวงลู่ช่านได้ ถ้าเช่นนั้นย่อมป้องกันไม่ให้เป่ยฮั่นกับหนานฉู่สมคบกันกลมเกลียวเกินไปนักได้ ข้าเองก็ยุ่งยากน้อยลงไปอีกหน่อย
ผ่านไปพักหนึ่ง สนามรบก็เงียบสงบ หลงเหลือเพียงทหารต้ายงที่กำลังสะสางงานหลังจบศึก ข้าเดินขึ้นเขาภายใต้การคุ้มกันของราชองครักษ์หู่จีทั้งหลาย ระยะทางสั้นๆ หากขี่อาชาพริบตาเดียวก็บรรลุ แต่ต้นขาด้านในทั้งสองข้างของข้าเนื้อแตกเลือดไหลซิบหมดแล้ว ข้าไม่อยากขี่ม้าแล้วจริงๆ แม้เดินจะเจ็บปวดมากเช่นกัน แต่ก็จำต้องยอมทน
เมื่อเดินมาถึงบนภูเขา ฉีอ๋องก็นำองครักษ์คนสนิทเข้ามารับ ทั่วทั้งร่างเขามีแต่บาดแผลเต็มไปหมด เลือดเปรอะเปื้อนเลอะเทอะ แลดูอเนจอนาถยิ่งนัก แต่เขาไม่ใส่ใจ เมื่อเห็นข้าก็หัวเราะลั่นเอ่ยขึ้นว่า “สุยอวิ๋น ท่านเก่งกาจนัก หลังจากนี้มาบัญชาการทัพสังหารศัตรูด้วยกันเสียเลยสิ”
ข้าข่มกลั้นแรงปรารถนาที่จะกลอกตาใส่เขาสักหลายรอบ ตอบว่า “องค์ชาย เรื่องนั้นคงลำบากข้าแล้ว หากข้าเข้าสมรภูมิสังหารศัตรูได้ ถ้าเช่นนั้นคนทุกคนในหนานฉู่ก็คงเข้ากองทัพออกรบได้เช่นกัน”
เวลานี้แม่ทัพของกองกำลังพิทักษ์ป้อมมาเชิญพวกเราเข้าไปในป้อม ข้าเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อกำลังจัดการงานหลังจบศึกกับพวกฮูเหยียนโซ่ว คิดว่ายามนี้คงไม่มีอันตรายอันใดแล้วจึงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับฉีอ๋องมุ่งไปยังสะพานตรงทางเข้าประตูป้อม
ตรงนั้นมีศพมากมายนักที่ยังไม่เก็บกวาด แต่ในที่แห่งนี้ นอกจากข้าแล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้อยู่ในสมรภูมิมานานจึงไม่มีผู้ใดใส่ใจ ข้าจึงได้แต่ทำเสมือนมองไม่เห็นแล้วเดินเข้าไปในป้อม ในใจคิดว่ารีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ นอนหลับสักตื่นจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ
หลี่หู่ลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เขาเป็นหัวหมู่ทหารม้าตำแหน่งเล็กๆ ใต้บัญชาของแม่ทัพเฟยหู่สืออิง ขณะที่ขัดขวางกองหนุนของป้อมกู้ซาน ไม่ทันระวังจึงถูกแทงพลัดตกม้า บังเอิญศีรษะกระแทกกับก้อนหิน ด้วยเหตุนี้จึงสลบไม่ได้สติ
ยามสงครามเร่งร้อน ไม่มีผู้ใดสนใจว่าเขายังไม่ตาย เขาหมดสติไปนานนัก จนกระทั่งสืออิงพ่ายแพ้หนีจากไปแล้ว เวลาเนิ่นนานเช่นนี้ไม่มีผู้ใดคิดว่าที่ตรงนี้ยังมีคนรอดอยู่ กองทหารต้ายงที่ยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดสนามรบยังจัดการมาไม่ถึงตรงนี้ พวกเขาเพียงลากศพจำนวนหนึ่งที่ขวางสะพานอยู่ออกไปอย่างลวกๆ หลังจากนั้นก็กลับไปทำความสะอาดสนามรบ ช่วยเหลือสหายร่วมศึก ซ้ำทหารเป่ยฮั่นที่บาดเจ็บหนักหนึ่งดาบ หรือคุมตัวไปไว้ด้านข้าง ดังนั้นหลี่หู่จึงนอนอยู่ตรงนั้นเช่นนี้โดยไม่มีผู้ใดสนใจ
ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นแม่ทัพผู้สวมเกราะสีทองของราชวงศ์ห่มทับด้วยผ้าคลุมสีแดงคนหนึ่งกำลังเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับบัณฑิตชุดเขียวผู้หนึ่งมุ่งไปยังสะพานพอดี ดวงใจของหลี่หู่ประหนึ่งมีเปลวเพลิงร้อนแรงแผดเผาเพราะทราบว่ากองทหารเป่ยฮั่นจักต้องพ่ายแพ้แล้วเป็นแน่
หลี่หู่กวาดสายตาไปเห็นว่าข้างตัวมีแหลนพลเดินเท้าเล่มหนึ่งที่ไม่ทราบว่าผู้ใดทิ้งไว้ เขาไม่มีหนทางใดให้ขบคิดมากมายอีกแล้ว หลี่หู่ดิ้นรนใช้กำลังเฮือกสุดท้าย เอื้อมมือออกไปคว้าแหลน หลังจากนั้นลุกพรวดขึ้นมานั่ง แล้วขว้างอาวุธเพียงอย่างเดียวในมือออกไป เขาเห็นว่าแทบทุกคนล้วนสวมชุดเกราะอยู่ ด้วยกังวลว่าตนอ่อนแรงอยู่จะมิอาจทำสำเร็จได้ในคราเดียว แหลนนี้จึงขว้างไปยังบัณฑิตชุดเขียวผู้นั้น
หลี่หู่ใช้กำลังทั้งร่างจนหมดสิ้นก็พลันรู้สึกว่าเบื้องหน้าดับมืด หลังจากเห็นบัณฑิตชุดเขียวผู้นั้นถูกแหลนเสียบเข้ากลางหลัง ร่างกายโงนเงนล้มคว่ำหล่นร่วงจากสะพานท่ามกลางอาการเบิกตาค้างพูดไม่ออกของผู้คนรอบกาย หลี่หู่ไม่เหลือเรี่ยวแรงมาขัดขวางทหารต้ายงที่พุ่งเข้ามากำราบตนอีก เขาปล่อยให้พวกเขาจับมัดทุบตี แต่ในใจกลับเปรมปรีดา เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น