ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 45 ประกาศศักดาวางแผนการ (2)
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ข้าพลันยิ้มละไม เอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่ ผู้ตรวจการกองทัพผู้นี้เพิ่งมาถึงเป็นครั้งแรก ยังมิรู้สภาพในกองทัพ มิทราบว่าสถานการณ์ของกองทัพวันนี้เป็นเช่นไร”
หลี่เสี่ยนงุนงง ในใจคิดว่า สุยอวิ๋นไฉนกระตือรือร้นเช่นนี้ เมื่อวันก่อนข้าจะเล่าสถานการณ์ในกองทัพให้เขาฟัง เขายังคร้านจะฟังอยู่เลย เอาแต่บอกว่าถึงค่ายใหญ่แล้วค่อยว่ากัน วันนี้ไฉนเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเองเล่า
เขากำลังจะตอบ ข้าก็ส่งสายตาให้เขาเล็กน้อย หลี่เสี่ยนปิดปากในทันใด แม่ทัพทั้งหลายด้านล่าง เมื่อมีสิทธิ์เข้ามาอยู่ในการประชุมย่อมมิใช่บุรุษห้าวหาญผู้ไร้สมอง เมื่อฉีอ๋องมิตอบคำข้า พวกเขาแต่ละคนจึงหุบปากเงียบเช่นกัน
ยกเว้นก็แต่จิงฉือ ไม่พบหน้ากันมาหลายปี ในใจเขาคันคะเยออยากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับข้าอยู่นานแล้วแต่ไม่มีโอกาสเสียที ตอนนี้เมื่อเห็นข้าออกปากถาม แต่ฉีอ๋องกลับเงียบงันไม่พูดไม่จา จึงคิดว่าฉีอ๋องจงใจทำให้ข้าอับอาย หากตัดฉีอ๋องออกไป ตัวเขาก็เป็นอันดับสองของกองทัพ จึงอ้าปากเอ่ยว่า “รายงานท่านเจียง ผู้น้อย…”
เขาเพิ่งอ้าปากพูด ข้าพลันทำหน้าถมึงทึงตวาดว่า “จิงฉือ ผู้ตรวจการกับแม่ทัพใหญ่สนทนากัน เหตุใดท่านจึงสอดปากขึ้นมาตามใจ”
จิงฉือตะลึง ลนลานแก้ตัวว่า “ท่านเจียง ผู้น้อยมิได้เจตนาจะสอดปาก แต่แม่ทัพใหญ่ไม่ตอบ ผู้น้อยจึงเอ่ยขึ้นมาเท่านั้น”
ข้าเอ่ยอย่างเย็นชา “มีอย่างที่ไหน หนึ่งกองทัพตำแหน่งแม่ทัพใหญ่มีได้เพียงหนึ่ง ข้ากับแม่ทัพใหญ่สนทนากันอยู่ ทั้งแม่ทัพใหญ่ยังมิทันอนุญาตให้ท่านตอบคำถามแทน ไฉนท่านจึงกล้าพูดมาก ไม่แปลกที่ข้าได้ยินมาว่าท่านกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นผู้มียศสูงกว่าในสายตา วันนี้ได้มาเห็นก็เป็นจริงดังนั้น หากมิใช่ยามปกติท่านไร้ความเกรงกลัว วันนี้จะกล้าชิงเอ่ยตอบต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ได้เช่นไร”
จิงฉือเริ่มแรกรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่บ้าง แต่เขาคุ้นเคยกับการขบคิดคำพูดของข้าซ้ำไปมาหลายตลบตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนี้เมื่อได้ขบคิดเหงื่อกาฬพลันแตกพลั่ก คิดได้ว่าหลายปีที่ผ่านมาแม้ตนเองมิได้เจตนา แต่ก็ขัดแย้งกับฉีอ๋องในเรื่องงานของกองทัพอยู่มาก ถึงขนาดที่บางครั้งบีบให้ฉีอ๋องต้องเปลี่ยนความคิด แม้บางครั้งตนเองจะพูดถูก แต่ทำเช่นนี้ก็ไร้มารยาท ไม่แปลกที่แม่ทัพฝ่ายฉีอ๋องมักจะสร้างความลำบากให้ตน
จิงฉือมิใช่คนโง่ นึกย้อนถึงวันวานยามออกจากเมืองหลวง ฝ่าบาททรงให้ตนสนับสนุนฉีอ๋องให้ดี แต่ตนกลับทำตัวเช่นนี้ ไม่แปลกที่ท่านเจียงจะออกปากตำหนิ หลังจากคิดตกแล้ว ความรู้สึกอยุติธรรมในใจก็สลายสิ้น กลับกลายเป็นความอกสั่นขวัญแขวน เขาย่อมรู้ดีว่าท่านเจียงฝีมือร้ายกาจ หัวใจแข็งดั่งเหล็กกล้า จิงฉือคุกเข่าลงกับพื้นดังตึง แล้วเอ่ยทั้งที่ตัวสั่นระริก “ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว ขอท่านเจียงโปรดลงโทษ”
ในใจข้าคิดว่า เป็นดังคาด จิงฉือผู้นี้ยังหวาดกลัวอำนาจในวันวานของข้าอยู่ จับเขามาลงดาบนับว่าเลือกถูกคนแล้ว
ข้ากวาดสายตามองก็เห็นแม่ทัพฝ่ายยงอ๋องแต่ละคนสีหน้าวิตกกังวล ดูท่าหลายปีนี้พวกเขาคงสร้างความยุ่งยากให้ฉีอ๋องมาไม่น้อย ส่วนแม่ทัพฝ่ายฉีอ๋องแต่ละคนกลับท่าทางเริงร่า
ข้าจงใจแสดงสีหน้าเย็นชา กล่าวว่า “ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทมาตรวจสอบแม่ทัพทั้งหลาย จิงฉือทำความผิดฐานไม่เคารพ ทำลายความสามัคคีของกองทัพ โทษมิอาจละเว้น ฮูเหยียนโซ่ว ท่านลากเขาออกไปตัวหัวแล้วมารายงานข้า”
แม่ทัพทั้งหลายด้านล่างฮือฮาทันใด แม่ทัพฝ่ายยงอ๋องมองผู้ตรวจการกองทัพผู้สีหน้าเย็นยะเยือกดั่งสายน้ำผู้นั้น แล้วคิดในใจว่า หรือผู้ตรวจการกองทัพกับฉีอ๋องจะสมคบกันวางแผนกำจัดจิงฉือ แต่ผู้ตรวจการกองทัพผู้นี้รับบัญชามาจากฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่เข้าข้างฉีอ๋องกระมัง
ส่วนแม่ทัพฝ่ายฉีอ๋องเหล่านั้นแม้โกรธเคืองจิงฉือ แต่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาหลายปีก็พอเข้าใจนิสัยเขาอยู่บ้าง ถึงจะรู้สึกเป็นอริ แต่ก็มิอาจไม่ยอมรับว่าคนผู้นี้เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยาก หากสังหารเสียก็รู้สึกเสียดายอย่างช่วยไม่ได้ เวลานี้เอง ฮูเหยียนโซ่วก็ปั้นหน้าเย็นชา พาราชองครักษ์หู่จีสองนายเข้ามาหมายจะลากจิงฉือออกไป
แม้ในใจแม่ทัพฝ่ายยงอ๋องจะยังคลางแคลงอยู่ แต่พอเห็นอาภรณ์ของราชองครักษ์หู่จีเหล่านั้นก็ทราบว่านี่เป็นราชองครักษ์ของฝ่าบาท ในใจเกิดคิดว่า หรือฝ่าบาททรงประสงค์จะสังหารจิงฉือ พวกเขาจึงยิ่งมิกล้าขัดขวาง บางคนนึกกังวลว่าหากจิงฉือมิยอมตายไปเปล่าๆ เช่นนี้แล้วก่อความวุ่นวายขึ้นมา นั่นย่อมยิ่งแย่ หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมไร้หนทางขอความเมตตาแทนเขา
ผู้ใดจะคิดว่าเรื่องราวกลับเหนือความคาดหมายของพวกเขา จิงฉือผู้โผงผางทำตัวไม่คิดในยามปกติกลับทำหน้าอมทุกข์ยอมให้จับตัวไปแต่โดยดี หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น จิงฉือย่อมไม่ยินยอมให้ถูกมัดเช่นนี้ แต่ในอดีตครั้งอยู่ในสวนเหมันต์ ข้าฝึกเขาจนเชื่องนานแล้ว อยู่ต่อหน้าข้า จิงฉือทำเช่นไรก็รวบรวมความกล้าต่อต้านมิได้ อีกอย่างหนึ่ง ด้านหลังข้าก็มีเสี่ยวซุ่นจื่อยืนอยู่อีกคน จิงฉือรู้ซึ้งถึงฝีมือของเสี่ยวซุ่นจื่อดี เขาย่อมยิ่งมิกล้าต่อต้าน ต่อให้ได้รับความอยุติธรรมก็ตะโกนร้องไม่ออก
เขารู้ความสามารถของข้าดี ในอดีตยามอยู่ในสวนเหมันต์ เขาเคยถูกข้าลงโทษเพราะเถียงข้างๆ คูๆ มิใช่น้อย ดังนั้นในใจจิงฉือจึงมีความเชื่อฝังใจอย่างหนึ่งบังเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งกระโน้น นั่นก็คือหากไม่ตะโกนว่าข้าไม่ผิด บางทีอาจไม่เป็นอะไร แต่หากเถียงข้างๆ คูๆ ยืนกรานว่าตนไม่ผิด เกรงก็แต่โทษจะหนักขึ้นอีกหนึ่งเท่า เมื่อนึกถึงตำราเหล่านั้นที่เขาเคยคัดซึ่งกองอยู่ในสวนเหมันต์ จิงฉือก็ตัวสั่นเทา
รอจนฮูเหยียนโซ่วลากจิงฉือออกไปแล้ว หลี่เสี่ยนก็คิดในใจ เหตุไฉนลากคนออกไปแล้วเล่า หรือว่าสุยอวิ๋นคิดจะสังหารจริง มิได้เพียงเสแสร้งแกล้งวางท่า
เขาอดไม่ไหวหันไปมองเจียงเจ๋อปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “สุยอวิ๋น ยังไม่เปิดศึกก็สังหารแม่ทัพ ออกจะน่าเสียดายอยู่บ้าง มิสู้ละเว้นเขาครั้งนี้สักครั้งเถิด”
ข้าเอ่ยเสียงเรียบเฉย “กฎกองทัพคือกฎเหล็ก โอหังกับแม่ทัพใหญ่ย่อมมีโทษตาย หากทุกคนทำเช่นนี้ กองทัพไยมิเสียระเบียบ”
เวลานี้แม่ทัพทั้งหลายด้านล่างเห็นท่าไม่ดีแล้ว ผู้ตรวจการกองทัพคนนี้ตั้งใจจะสังหารคนจริงๆ แม่ทัพฝ่ายยงอ๋องรีบทยอยกันก้าวออกมาขอร้อง แต่คราวนี้พวกเขาล้วนคำนับฉีอ๋องก่อน จากนั้นจึงเอ่ยวาจา ฉีอ๋องส่งสายตาครั้งหนึ่ง แม่ทัพฝ่ายฉีอ๋องที่ในใจรู้สึกดุจเดียวกันเหล่านั้นพลันพากันขอร้องด้วย ข้าจึงเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ในเมื่อแม่ทัพทั้งหลายล้วนขอร้องแทนเขา ข้าก็จะละเว้นเขาในครั้งนี้ ถ่ายทอดคำสั่ง โบยจิงฉือยี่สิบไม้ หลังจากนี้หากมิเคารพผู้บังคับบัญชาอีก ตัดศีรษะมิละเว้น”
คำสั่งทหารถูกถ่ายทอดลงไป ผ่านไปอีกพักหนึ่ง พวกฮูเหยียนโซ่วก็พาจิงฉือผู้เปลือยท่อนบนและมีรอยเลือดเด่นชัดเข้ามารายงานผล ข้าจึงเก็บสีหน้าโกรธเกรี้ยวแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบว่า “จิงฉือ ท่านต้องโทษโบยแล้ว หลังจากนี้อย่าได้ทำผิดอีก ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้ท่านเป็นรอง เหตุไฉนท่านจึงเลอะเลือน จนทำให้กองทัพแตกสามัคคีเช่นนี้ เรื่องราวก่อนหน้านี้ขอให้สิ้นสุดตรงนี้ นับจากวันนี้ไปห้ามกระทำตามอำเภอใจอีก มิเช่นนั้นต่อให้ฉีอ๋องมิลงโทษท่าน แต่ข้าจะไม่ปล่อยท่านไว้”
จิงฉือได้รับโทษเสร็จ ในใจก็คิดว่าในเมื่อรับโทษแล้ว ท่านเจียงก็คงไม่โกรธแล้ว จึงตอบรับอย่างยินดีปรีดา ข้าเห็นสีหน้าท่าทางเช่นนี้ของเขาก็ทราบว่าแม้เขาจะเชื่อฟังคำสั่ง แต่ในใจหาหวาดกลัวไม่ ความคิดจึงแล่นว่องไวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “จิงฉือ เมื่อครู่ลงโทษท่านในส่วนของกฎกองทัพ แต่ดีเลวท่านก็ร่ำเรียนกับข้ามาหลายปี นับว่าเป็นลูกศิษย์ข้าด้วย ในฐานะอาจารย์ ข้าต้องลงโทษท่านที่ขัดคำสั่งเบื้องบน บทลงโทษนี้หากท่านมิยินดีรับ ก็ถือว่าตัดขาดความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ ข้าจะไม่สนใจท่านอีก”
จิงฉือได้ยินพลันรีบเอ่ยว่า “อาจารย์โปรดลงโทษ ศิษย์หามีคำโอดครวญไม่”
เขาภาคภูมิใจกับฐานะศิษย์ของข้ายิ่งนัก จะยอมถูกขับออกจากสำนักได้เช่นไรเล่า อีกอย่างหนึ่ง หากตัดขาดสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์กันจริง ยังไม่ต้องพูดถึงฐานะของข้าในยามนี้ เพียงเสียงหัวเราะเยาะของผู้อื่น เขาก็คงทนรับมิไหวแล้ว
ข้ายิ้มละไม กล่าวว่า “ท่านก็ทราบ แม้อาจารย์เช่นข้ามีกฎเหล็กอยู่ แต่กับท่านมีบทลงโทษเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เสี่ยวซุ่นจื่อ ประเดี๋ยวเจ้าไปที่กระโจมเขา เฝ้าเขาคัดกฎกองทัพหนึ่งร้อยจบ ห้ามเขาแอบเกียจคร้านหาคนมาคัดแทน”
หลี่เสี่ยนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว “ได้ยินมานานแล้วว่าสุยอวิ๋นชอบให้แม่ทัพจิงคัดตำราเป็นที่สุด วันนี้เห็นจะเป็นจริงดังว่า”