ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 49 เหยี่ยวปีกหัก (ต้น) (2)
แม่ทัพเป่ยฮั่นทั้งหลายต่างมีรูปร่างกำยำล่ำสัน แลดูองอาจและข่มขวัญแทบทั้งสิ้น แต่ในหมู่พวกเขากลับมีแม่ทัพผู้สวมอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่งที่แตกต่างจากผู้อื่น เขามีรูปร่างผอมเพรียว แม้ร่างกายสูงแปดฉื่อดุจเดียวกัน แต่กลับไม่มีภาพลักษณ์ชวนข่มขวัญแต่ประการใด ทว่าใบหน้าของเขาสวมหน้ากากสำริดหน้าตาดุร้ายเอาไว้ เผยออกมาเพียงดวงตาสีดำลึกล้ำอันเย็นชาไร้ความรู้สึกประหนึ่งน้ำแข็ง บนอาชาของเขาห้อยขวานปากไก่อยู่เล่มหนึ่ง ทั้งเล่มเป็นสีดำสนิทดั่งหมึก มีเพียงด้านคมที่ทอประกายวาววับดั่งหิมะ
หากมองปราดแรก อาจรู้สึกว่าคนผู้นี้เหมือนมิชอบสุงสิงกับผู้ใดจึงเว้นระยะห่างจากแม่ทัพทั้งหลาย แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งผิดแปลกประการใด ทว่าสายตาที่แม่ทัพคนอื่นมองเขากลับแฝงแววหวาดกลัวและหลบเลี่ยงอยู่เล็กน้อย ราวกับว่าคนผู้นี้เป็นตัวตนที่น่าหวาดกลัวที่สุดในใต้หล้า
หลงถิงเฟยไม่หันกลับมามอง แต่เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกพิกลด้านหลัง ในใจถอนหายใจแผ่วเบา มิใช่เขาไม่รู้ว่าแม่ทัพทั้งหลายใต้บังคับบัญชากีดกันและหวั่นกลัวแม่ทัพกุ่ยเมี่ยนถานจี้ แต่ถานจี้เป็นแขนที่เขามิอาจขาด จึงได้แต่ปล่อยให้แม่ทัพทั้งหลายลำบาก
หลงถิงเฟยมีคนมากความสามารถใต้บัญชามากมาย ถึงแม่ทัพเซียนเฟิงซูติ้งหลวนจะสิ้นชีพอยู่นครหลวงต้ายง แต่ลู่ปั๋วเหยียน ลู่จ้งเทียนและลู่ซูหัน ศิษย์สามคนที่พรรคมารส่งมาให้ตอนนี้ก็แทบจะเทียบเคียงซูติ้งหลวนได้ ทุกครั้งยามยกทัพออกรบ แม่ทัพผานสือต้วนอู๋ตี๋ย่อมเตรียมพร้อมอยู่ด้านหลัง ป้องกันทางถอยของกองทัพเป่ยฮั่นให้ปลอดภัย แม่ทัพเฟยหู่สืออิงประหนึ่งกระบี่คมกริบ แทงทะลวงจุดสำคัญของศัตรูได้อย่างง่ายดายดุจยกฝ่ามือ แต่พวกเขาล้วนสำคัญสู้ถานจี้มิได้
แม่ทัพกุ่ยเมี่ยนถานจี้ ชาติกำเนิดเดิมเป็นนายพรานบนภูเขาระหว่างเขตแดนเจ๋อโจวกับชิ่นโจว เขาอาศัยอยู่ลึกในภูเขา ทั้งไม่ต้องส่งเสบียงและไม่ต้องจ่ายภาษี ในใจจึงมิรู้สึกผูกพันกับแว่นแคว้น สิบสี่ปีก่อน เป่ยฮั่นกับต้ายงเปิดศึกกัน แม่ทัพต้ายงคนหนึ่งนำกองทัพหมายจะไปลอบโจมตีค่ายศัตรู ระหว่างทางเดินทางผ่านหมู่บ้านตระกูลถานผู้มิยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก เพื่อเก็บรักษาความลับ แม่ทัพกระหายเลือดผู้นั้นออกคำสั่งสังหารล้างบาง นอกจากถานจี้ผู้นำขนสัตว์ที่เก็บสะสมมาทั้งหมดลงจากเขาหวังจะนำเงินไปซื้อปิ่นสักเล่มให้สตรีผู้เป็นที่รัก คนทั้งหมู่บ้านสองร้อยกว่าคนล้วนถูกสังหารจนเกลี้ยง
ถานจี้ผู้ร้อนใจรีบเร่งเดินทางตลอดคืนกลับมาถึงหมู่บ้านบนภูเขา เป็นช่วงระหว่างที่กองทัพต้ายงกำลังฆ่าล้างผู้คนอย่างกำเริบเสิบสานพอดี ถานจี้ผู้ไร้กำลังได้แต่หลบอยู่หลังสันเขา เบิ่งตามองบ้านเกิดถูกทำลายจนสิ้น
หลังจากนั้นถานจี้ผู้ทราบดีว่าตนไร้กำลังจะแก้แค้นจึงจุดไฟเผาหมู่บ้าน แล้วลัดเลาะผ่านเส้นทางบนภูเขาซึ่งมีแต่นายพรานของหมู่บ้านเท่านั้นที่รู้ รีบเร่งเดินทางไปถึงชิ่นโจวก่อนหน้ากองทัพต้ายง สุดท้ายแม่ทัพผู้เดินทางพันลี้เพื่อลอบโจมตีชิ่นโจวผู้นั้นก็ถูกกองทัพเป่ยฮั่นที่ตั้งท่ารออยู่แล้วล้อมสังหาร ในตอนนั้นเอง หลงถิงเฟยผู้ยังเป็นเพียงรองแม่ทัพจึงได้องครักษ์คนสนิทเพิ่มมาคนหนึ่ง
หลังจากนั้นถานจี้ก็ไต่เต้าจากพลทหารเดินเท้าตัวเล็กๆ คนหนึ่งขึ้นมาเป็นแม่ทัพ แม้มีหลงถิงเฟยสนับสนุนแต่ก็ยังยากเย็นยิ่งนัก เพราะหลังจากถานจี้พบโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ นิสัยก็เปลี่ยนไปมาก เขาไม่ชอบสนทนากับผู้อื่น แล้วยังใช้กฎกองทัพปกครองทหารอย่างเคร่งครัด สหายร่วมรบและลูกน้องใต้บัญชาต่างหวาดกลัวเขาดั่งพยัคฆ์ แม้แต่ผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่าเขาก็ล้วนหวั่นเกรงเขาอยู่ในใจ
ขนบของกองทัพเป่ยฮั่นชื่นชอบพลทหารผู้ห้าวหาญมิยึดติดกฎระเบียบ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีทหารผู้ถือดีและแม่ทัพผู้เหี้ยมหาญค่อนข้างมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ถานจี้ปกครองลูกน้องด้วยกฎกองทัพอย่างเข้มงวด ทำผิดกฎเพียงเล็กน้อยก็ถูกโบยถูกเฆี่ยน หากทำผิดซ้ำอีกก็ถูกตัดศีรษะ แรกเริ่มมีคนมิยอม ใจกล้าต่อต้านเขา ทว่าแม้ถานจี้หน้าตาภายนอกดูอ่อนโยน แต่ลงมือกลับโหดเหี้ยมยิ่งนัก พลทหารที่ต่อต้านเหล่านั้นทั้งหมดถูกจับกุมและตัดสินโทษตาย แล้วยังมีความผิดฐานก่อกบฏติดตัว แม้แต่ครอบครัวก็ถูกหางเลขไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินถานจี้อีก
หลังจากเหล่าทหารเคารพกฎกองทัพ ถานจี้จึงตั้งอกตั้งใจฝึกฝนทหารม้าอันยอดเยี่ยมกองหนึ่งออกมา ไม่ว่าศึกไกลศึกประชิด รบบนหลังม้าหรือบนพื้นดิน ทหารม้าเหล่านี้ล้วนเป็นทหารกล้าผู้โดดเด่นขวานปากไก่ ดาบยาวและเกาทัณฑ์ เป็นอาวุธที่พวกเขาพกติดกายเสมอ ถานจี้ร่ำเรียนศาสตร์การวางกระบวนทัพมาจากหลงถิงเฟย แล้วยังกล่าวได้ว่าก้าวข้ามผู้เป็นอาจารย์ เมื่ออยู่บนสมรภูมิ เขาอาศัยกระบวนทัพทหารม้าเอาชนะศัตรูที่จำนวนมากกว่าหลายเท่าได้
อาจเป็นเพราะหน้าตาไม่น่าเกรงขามพอ ถานจี้จึงสวมหน้ากากผีทำจากสำริดเอาไว้แทบจะตลอดเวลา ดังนั้นผู้คนจึงเรียกเขาว่าแม่ทัพกุ่ยเมี่ยน ต่อมาถานจี้ก็เลือกทหารกล้าที่มีพรสวรรค์กลุ่มหนึ่งจากในกองทัพมาถ่ายทอดวิชาใช้ขวานปากไก่ให้ จากนั้นให้สามสิบหกคนที่โดดเด่นที่สุดในนั้นมาเป็นทหารคนสนิท แล้วให้คนเหล่านี้สวมหน้ากากสำริดแบบเดียวกันกับตนเอง เรียกว่าทหารม้ากุ่ยฉี
ทหารม้ากุ่ยฉีเหล่านี้พกเพียงขวานปากไก่และเชี่ยวชาญการบุกทะลวงที่สุด ทุกครั้งยามออกรบจะได้รับคำสั่งจากถานจี้ให้โจมตีจุดอ่อนของศัตรู บ้างก็ให้ใช้กำลังเข้าหักหาญ ทำลายทหารชั้นยอดของฝ่ายศัตรู
ทหารม้ากุ่ยฉีสามสิบหกคนนี้คืออาวุธร้ายที่ถานจี้ใช้ทำลายขวัญกำลังใจยามสู้รบของกองทัพศัตรู ถานจี้ฝึกฝนหาคนมาเสริมไม่หยุด หากมีผู้ใดสิ้นใจก็จะมีคนใหม่เข้าแทนที่ทันที ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของถานจี้มากกว่าครึ่งได้มาเพราะทหารม้ากุ่ยฉีสามสิบหกนายนี้
แต่หากเพียงเท่านี้ก็คงไม่ถึงขั้นผู้ใดเห็นผู้นั้นหวาดกลัว สิ่งที่ทำให้ผู้คนประณามถานจี้มากที่สุดก็คือความกระหายเลือด แม้สงครามเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ผู้เป็นทหารย่อมต้องสังหารศัตรู ไม่มีผู้ใดมิเคยเข่นฆ่าผู้คนดุจผักปลา แต่พวกเขาล้วนยังมีเส้นกั้นอยู่เส้นหนึ่ง สังหารเชลยมิเป็นมงคล เวรกรรมจะตามสนอง แทบทุกคนล้วนเชื่อเรื่องนี้
เริ่มแรกการทำศึกสงครามมีการเข่นฆ่าชาวบ้าน ข่มเหงสตรีอยู่บ้าง แต่เมื่อสถานการณ์ในใต้หล้าค่อยๆ ดีขึ้น หากไม่จำเป็น เรื่องอย่างการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ไม่ทำได้ย่อมไม่ทำ แต่ถานจี้กลับอำมหิตไร้หัวใจยิ่งนัก คมอาวุธของกองทัพเขามิรู้จักการละเว้นเชลย กองทัพเดินทางถึงที่ใดไม่ละเว้นแม้แต่ไก่ หรือสุนัข
ความโหดเหี้ยมเช่นนี้ แม้แต่แม่ทัพเป่ยฮั่นผู้เป็นสหายร่วมรบก็ยากจะยอมรับ โชคดีที่ยังมีหลงถิงเฟยคอยตักเตือนสั่งสอน ควบคุมห้ามปรามเป็นระยะ มิเช่นนั้นเกรงว่าถานจี้ผู้นี้คงทำยิ่งกว่านี้ แม่ทัพผู้ชำนาญการวางกระบวนทัพจนปราบราบทุกทิศ ทั้งยังอำมหิตไร้ความรู้สึก หัวใจดั่งก้อนศิลาเช่นนี้จะไม่ให้คนหวั่นกลัวได้เช่นไรเล่า
ในใจหลงถิงเฟยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ความจริงแล้วแม้เขาจะมอบหมายตำแหน่งสำคัญให้ถานจี้ แต่กลับไม่นึกชอบถานจี้ นิสัยของหลงถิงเฟยมิชอบวิธีการอันโหดเหี้ยมอำมหิตของถานจี้ แต่หลงถิงเฟยก็ทราบอีกว่านอกจากถานจี้ แม่ทัพทั้งหลายใต้บัญชาเขา ไม่ว่าผู้ใดก็ยากจะต่อกรกับทหารม้าเหล็กของต้ายงด้วยตัวคนเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น ความโหดเหี้ยมของถานจี้ก็เป็นหลักประกันสำคัญที่ทำให้กองทัพเป่ยฮั่นเหิมเกริมในอาณาเขตต้ายงได้ หากมิใช่ชาวบ้านฝั่งต้ายงหวาดกลัวถานจี้ดั่งสัตว์ร้าย หรือภูตผี กองทัพเป่ยฮั่นคงถูกขัดขวางอย่างหนัก ด้วยเหตุนี้แม้ถานจี้มีจุดที่หลงถิงเฟยไม่ชอบมากมาย แต่ก็ได้รับหน้าที่สำคัญและความไว้เนื้อเชื่อใจจากหลงถิงเฟยตลอดมา
หลงถิงเฟยเก็บความรู้สึกจนปัญญากลับไปแล้วยิ้มละไม เอ่ยว่า “แม่ทัพถาน ท่านว่าครั้งนี้พวกเราสมควรโจมตีเช่นไร”
เสียงเย็นชาดังออกมากหลังหน้ากากสำริด “ในใจแม่ทัพใหญ่ย่อมมีแผนการอยู่ก่อนแล้ว ผู้น้อยมิทราบ แต่ทราบว่าทหารฝ่ายเรามีไม่ถึงแสน ส่วนทหารฝ่ายศัตรูมีแสนสามหมื่น หากมิโจมตีจุดสำคัญของศัตรู ทำลายขวัญกำลังใจของพวกเขา ย่อมพ่ายแพ้ไร้หนทางชนะ หากแม่ทัพอนุญาต ผู้น้อยจะนำกองทัพหนึ่งไปทำลายรากฐานของกองทัพศัตรูให้สิ้น”
หลงถิงเฟยตอบอย่างพึงพอใจ “แม่ทัพถานกล่าวไม่ผิด กองทัพเราเดินทางมาไกล กองทัพศัตรูมีชัยภูมิเหนือกว่า กำลังคนพรั่งพร้อม หากพวกเรามิลงมือเหนือคาดเพื่อคว้าชัย คงต้องพ่ายแพ้ปราชัยเป็นแน่ เซียวถง เจ้าจงแจ้งข่าวที่ฝ่ายเราได้มากับทุกคน”
องครักษ์เซียว หนึ่งในองครักษ์คนสนิทของหลงถิงเฟยผู้เคยติดตามหลินปี้เดินทางไปยังตงไห่ก้าวออกมาจากลุ่มคน แล้วเอ่ยเสียงกังวาน “แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพทั้งหลาย ผู้น้อยได้รับคำสั่งจากท่านแม่ทัพให้สอดแนมสถานการณ์ของศัตรู ได้ข่าวการเคลื่อนไหวของกองทัพศัตรูมาว่า ครานี้แม่ทัพใหญ่ของกองทัพศัตรูยกกองทัพใหญ่มาแสนห้าหมื่น วันพรุ่งจะเดินทางถึงสมรภูมิฉินเจ๋อ จากรายงานของทหารสอดแนม ผู้นำทัพคือฉีอ๋อง ผู้ตรวจการกองทัพเจียงเจ๋อก็ร่วมทัพมาด้วย คลังเสบียงใหญ่ของกองทัพศัตรูอยู่เมี่ยวพัว ผู้รับผิดชอบเฝ้ารักษาคือจิงฉือ รองแม่ทัพใหญ่แห่งทัพศัตรู มีกำลังพลราวสามหมื่น อีกประการหนึ่ง กองทัพใหญ่แสนสองหมื่นที่กระจายกำลังประจำการอยู่ในเขตเจ๋อโจวก็เริ่มรวมพลกันแล้ว”
เซียวถงเป็นศิษย์รักของประมุขพรรคมาร เขารับผิดชอบรวบรวมข่าวสารการศึกโดยเฉพาะ ในมือเขามียอดฝีมือพรรคมารมากมาย การรวบรวมข่าวสารย่อมไม่ผิดพลาด แต่ทุกคนต่างมองหน้ากัน แม่ทัพคนหนึ่งในนั้นถามขึ้นว่า “องครักษ์เซียว จิงฉือเป็นยอดแม่ทัพของกองทัพศัตรู จะไปเฝ้าเสบียงได้อย่างไรเล่า นี่มิใช่เชือดไก่ใช้มีดฆ่าโคหรอกหรือ”
เซียวถงหัวเราะ “ท่านแม่ทัพอาจมิทราบ จิงฉือผู้นี้แม้เป็นยอดแม่ทัพของกองทัพศัตรู แต่ยังเป็นคนสนิทของจักรพรรดิแห่งต้ายง แต่เขามิปรองดองกับฉีอ๋อง ยามนี้จักรพรรดิต้ายงมีความคิดจะกู้ความสัมพันธ์กับฉีอ๋อง จิงฉือผู้นี้ย่อมต้องลำบากสักหน่อย ผู้น้อยได้ข่าวมาว่าผู้ตรวจการกองทัพเจียงเจ๋อเข้ามายังค่ายใหญ่เจ๋อโจววันแรกก็สั่งโบยจิงฉือ ดังนั้นฉีอ๋องจึงฉวยโอกาสปลดจิงฉือจากหน้าที่ แล้วขับไล่เขาไปกองหลังเฝ้าเสบียง กองทัพใหญ่เจ็ดหมื่นนายที่จิงฉือควบคุมอยู่แต่เดิมก็ถูกฉีอ๋องแบ่งออกไป ให้จิงฉือนำกำลังพลเพียงสามหมื่นนายไปเฝ้าเสบียง อีกสี่หมื่นนายถูกฉีอ๋องส่งไปอยู่ทัพหลัก”