ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 51 เหยี่ยวปีกหัก (กลาง) (1)
ลู่ปั๋วเหยียน ลู่จ้งเทียน ลู่ซูหันเกิดในครรภ์เดียวกัน หน้าตาดุจเดียวกัน กล้าแกร่งเฉกเช่นเดียวกัน แล้วยังใจประสานถึงใจ พวกเขาถูกประมุขพรรคมารรับเป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้ ยามทั้งสามร่วมมือกันโจมตี ปราบราบได้ทุกทิศอย่างแท้จริง พวกเขาคือแม่ทัพกองหน้าผู้โด่งดังที่สุดของกองทัพเป่ยฮั่นถัดจากซูติ้งหลวน พวกเขามองดูการรบมานานจนจิตใจกระเหี้ยนกระหือรือยากจะทานทน เมื่อหลงถิงเฟยออกคำสั่งจึงขานรับเสียงกัมปนาท ต่างคนหวดอาชาทะยานเข้าไปยังกองทัพของตน เตรียมพร้อมเข้าเข่นฆ่า
กองทัพต้ายงส่งพลทหารเดินเท้าออกมาห้าหมื่น มีพลธนู พลหอก พลโล่ปะปนกัน ยืนเรียงแถวเป็นชั้นๆ ตั้งเป็นกระบวนทัพใหญ่มั่นคงดั่งปราการเหล็ก ทหารม้าเจ็ดหมื่นซุ่มซ่อนอยู่หลังทัพพลเดินเท้า ยอดทหารม้าผู้กล้าแกร่งรอคอยคำสั่งจากทัพหลวงนิ่งไม่ขยับสักนิด นอกจากทหารม้าที่ปลอบอาชาศึกที่ตื่นตกใจจากบรรยากาศอันน่าเวทนาบนสมรภูมิอย่างแผ่วเบาเป็นครั้งคราว ก็แทบไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใดอีก นอกจากนี้ยังมีพลเดินเท้าอีกสามหมื่นนายเตรียมพร้อมสลับที่กับสหายร่วมรบที่อ่อนล้าตามคำบัญชาการของทัพหลวงอยู่ตลอดเวลา กระบวนทัพใหญ่ของพลทหารเดินเท้าแผ่ไอสังหารออกมาเลือนราง
กองทัพเป่ยฮั่นล้วนมีแต่ทหารม้า พลทหารม้าสามหมื่นนายตระเวนอยู่รอบกระบวนทัพของต้ายง เกาทัณฑ์และหน้าไม้คอยหาจุดอ่อน ลดทอนกำลังป้องกันของกองทัพศัตรูทีละชั้น นี่คือศึกใหญ่ที่ขันแข่งกันด้วยกำลังอย่างแท้จริง ไม่มีช่องว่างให้ใช้เล่ห์กลแม้แต่น้อย โลหิตสาดกระเซ็นย้อมทุ่งหญ้า ลูกศรบินว่อนเต็มท้องนภาพาพิรุณโลหิตโปรยปรายลงมาเป็นระยะ
ศึกอันยากลำบากดำเนินมาครึ่งวัน กองทัพเป่ยฮั่นที่เผชิญหน้ากับกองทัพศัตรูผู้ทรหดก็ยังมิได้ผลการศึกที่พอใจ หลงถิงเฟยส่งกองทัพเป่ยฮั่นผลัดกันออกรบ สองฝ่ายมุ่งสู้รบตัดกำลังอีกฝ่ายแทบจะดุจเดียวกัน จนกระทั่งตกบ่าย ในที่สุดปีกขวาของกองทัพต้ายงก็เริ่มทานทนไม่ไหวเพราะถูกโหมโจมตีอย่างต่อเนื่อง การโจมตีของกองทัพเป่ยฮั่นถี่เกินไปจนทำให้ฝั่งนี้เปลี่ยนทหารชุดใหม่ไม่ทัน ในตอนนี้เอง หลงถิงเฟยจึงส่งพี่น้องตระกูลลู่ออกโรง
ลู่ปั๋วเหยียนถือแหลนอาชาไว้ในมือ ทหารม้าด้านหลังเขาล้วนใช้แหลนอาชากับหอกยาว ทหารม้ากองนี้รับผิดชอบบุกทะลวงเป็นสำคัญ แต่บนร่างพวกเขาก็ยังพกธนูเขาสัตว์อันประณีตมาด้วย เมื่อถึงยามจำเป็นก็รับผิดชอบหน้าออกล่าได้เช่นกัน ลู่ปั๋วเหยียนกำแหลนอาชาในมือแล้วตวาดเสียงดัง “ตามข้ามา” กล่าวจบก็ชักม้าพุ่งนำหน้าเข้าไปยังปีกขวาของกองทัพต้ายง สองกองทัพประจัญบานกัน แนวป้องกันของกองทัพต้ายงอ่อนกำลังลงอีกครั้ง
เวลานี้เอง ลู่จ้งเทียนกับลู่ซูหันก็นำกองทหารของตนพุ่งตามหลังเข้ามายังปีกขวาของกองทัพต้ายงด้วย พวกเขาสามคนลงมือประสานกันเข้าขายิ่งนัก หลังจากแรงบุกลดทอนก็หลบออกไป ให้อีกคนหนึ่งเข้าโจมตีแทนที่ การสับเปลี่ยนกันโจมตีระหว่างพวกเขาแทบไม่มีช่องโหว่สักนิด การโจมตีอันรุนแรงอย่างต่อเนื่องในที่สุดก็ฉีกแนวป้องกันของกองทัพต้ายงสำเร็จ กองทหารเป่ยฮั่นทะลักเข้ามาในกระบวนทัพของกองทหารต้ายงประหนึ่งน้ำหลากแล้วเปิดฉากเข่นฆ่าตามอำเภอใจ เลือดเนื้อปลิวว่อน
เวลานี้เอง เสียงแตรสัญญาณพลันดังกังวานออกมาจากทัพหลวงของกองทัพต้ายง ปีกขวาของกองทัพต้ายงประหนึ่งได้ยินคำบัญชาจักรพรรดิ พลทหารเดินเท้าที่ต้านทานกองทัพเป่ยฮั่นสุดชีวิตอยู่แหวกออกสองฝั่ง เผยให้เห็นทหารม้าต้ายงผู้สวมเกราะสีเขียวด้านหลังพวกเขา กีบเท้าม้าดั่งอสนีบาต พวกเขาเข้าประจัญบาญกับทหารม้าเป่ยฮั่นผู้โจมตีได้ดุดันเป็นที่สุด สองทัพโรมรันเข่นฆ่า เวลานี้หัวใจของสมรภูมิอยู่ ณ ที่แห่งนี้
ลู่ปั๋วเหยียนรวมตัวกับน้องชายทั้งสองคน จากนั้นทั้งสามคนจึงตะโกนเสียงดังอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญที่ยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง ในชั่วขณะหนึ่งจึงสู้กับยอดทหารม้าของต้ายงได้อย่างสูสีทัดเทียม เวลานี้เอง เสียงแตรบัญชาการก็ดังกังวานลอยมจากทัพหลวงของเป่ยฮั่น ลู่ปั๋วเหยียนได้สติ ทราบว่าตนมิสมควรปะทะตรงๆ กับทหารม้าเกราะหนัก เขาจึงโบกมือ ตะโกนเสียงดัง “ทะลวงทัพหลวงของพวกเขา”
กล่าวจบก็พาลูกน้องใต้บัญชาเปลี่ยนทิศมุ่งไปหาพลทหารเดินเท้าในกองทัพตรงกลางของต้ายง ส่วนน้องชายทั้งสองคนของเขารับช่วงต่อช่องว่างที่เขาทิ้งไว้อย่างชำนิชำนาญ กระบวนทัพทหารม้าแปรเปลี่ยนอย่างลื่นไหล ทหารม้าผู้แกล้วกล้าของเป่ยฮั่นทะลวงตัดเข้าไปในทัพหลวงของต้ายงประหนึ่งดาบอันคมกริบ
ข้าอยู่ใต้ธงแม่ทัพในกองทัพหลวงของต้ายงมองเห็นการแปรกระบวนทัพของกองทัพศัตรูชัดเจนแจ่มแจ้ง อดไม่ไหวสีหน้าแปรเปลี่ยน เอ่ยว่า “ช่างเป็นทหารม้าที่ยอดเยี่ยมนัก ผู้แซ่เจียงได้ยินมานานแล้วว่าทหารม้าเป่ยฮั่นแกล้วกล้าใต้หล้าไร้เทียมทาน วันนี้ได้เห็น ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ”
ทหารม้าผู้สวมเกราะสีทอง ปิดหน้ากากผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ทหารม้าทัพหน้าของเป่ยฮั่นยอดเยี่ยมก็จริง แต่ตอนนี้เป็นสภาพหลังจากเปลี่ยนแม่ทัพ แม้แผนการรบจะดีเยี่ยมมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับยามมีแม่ทัพเซียนเฟิงซูติ้งหลวนเป็นผู้นำทหารม้ากองนี้ก่อนหน้านี้ พลังก็ลดทอนลงไปมาก ทหารม้าเหล็กของต้ายงเราไม่ด้อยกว่าพวกเขา
แต่น่าเสียดายพวกเขาล้วนเป็นทหารม้าเกราะเบา ไปมาได้ดั่งใจ ทหารม้าของพวกเราเร็วสู้พวกเขามิได้ ทั้งแถบเจ๋อโจวยังเป็นที่ราบ เหมาะให้พวกเขาห้ออาชาอย่างอิสระเป็นที่สุด หากทั้งสองกองทัพสู้รบกันตรงๆ กำลังทหารม้าเกราะเบาของพวกเขาอย่างไรก็สู้ทหารม้าเหล็กของพวกเรามิได้ ใต้เท้า ท่านดู ตอนนี้ทหารม้าเป่ยฮั่นมิใช่ว่าหลบเลี่ยงคมอาวุธจากทหารม้าเกราะหนักของกองทัพเราอยู่หรือ”
ข้ามองดูแล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก เอ่ยตอบว่า “ท่านกล่าวไม่ผิด แต่อย่าลืมว่ายามนี้ท่านแต่งตัวเป็นองค์ชายอยู่ อย่ากล่าววาจานอกบทหรือขยับส่งเดชสิ”
ทหารม้าผู้นั้นพึมพำอันใดประโยคหนึ่ง แล้วไม่เอ่ยอันใดต่อ
เวลานี้เอง เซวียนซงก็ออกคำสั่ง ทัพหลวงของต้ายงประหนึ่งกลายเป็นมหาสมุทร รวมกระแสธารทหารม้าของเป่ยฮั่นกองนั้นเข้ามาไว้ด้านใน เมื่อต้ายงส่งกำลังทหารเพิ่มเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ข้าก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าภายใต้การบัญชาการของเขา ทหารม้าเป่ยฮั่นกองนั้นเคลื่อนไหวยากเย็นขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้กองทัพเป่ยฮั่นจึงส่งทหารม้าออกมาอีกสองหมื่น หมายจะทะลวงวงล้อมกระบวนทัพของต้ายงจากด้านนอก แต่กระบวนทัพนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่งจนต้านทานการโจมตีกระหนาบในนอกเอาไว้ได้ ทหารม้าเกราะหนักของต้ายงสำแดงเดชอีกครั้ง โจมตีแต่ละครั้งล้วนถูกจุดอ่อนของกองทัพเป่ยฮั่น
การรบพุ่งหลังจากนั้นทำให้ข้าตาลายอย่างแท้จริง การบัญชาการทหารของทั้งสองฝ่ายต่างแม่นยำและไร้หัวใจ แต่ข้ายังมองออกว่ากองทัพเป่ยฮั่นเน้นโจมตีคมกริบ แปรเปลี่ยนหลากหลาย ขณะที่เซวียนซงบัญชาทัพเน้นความทรหดและมั่นคง สองฝ่ายต่างผลาญชีวิตและเวลาอย่างเป็นระบบและโหดร้าย
จนกระทั่งตะวันลาลับฟ้า ในที่สุดกองทหารเป่ยฮั่นก็ฝ่ากระบวนทัพของต้ายงออกมาได้ หลงถิงเฟยคุมท้ายด้วยตนเองและถอยทัพจากไปาๆ เซวียนซงก็ฉวยจังหวะเรียกทหารกลับ ความจริงหากตั้งใจ หลงถิงเฟยก็มิใช่ว่าจะให้ทหารม้าฝ่าวงล้อมสำเร็จเร็วกว่านี้มิได้ แต่หากทำเช่นนั้นจะสูญเสียค่อนข้างหนักหนาและคงไม่มีผลลัพธ์เช่นตอนนี้ ส่วนเซวียนซงเองก็มิใช่ว่าจะขัดขวางกองทหารเป่ยฮั่นอีกสักช่วงเวลาหนึ่งมิได้ แต่เรื่องนี้มิมีส่วนช่วยอันใดต่อผลแพ้ชนะในวันนี้ มีแต่จะเพิ่มการบาดเจ็บล้มตายอันไร้ประโยชน์ ดังนั้นสุดท้ายจึงกล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างถอนทัพอย่างเห็นพ้องต้องกันประมาณหนึ่ง
วันนี้กองทัพเป่ยฮั่นทิ้งศพไว้เกือบหกพันร่าง ส่วนกองทัพต้ายงบาดเจ็บล้มตายมากกว่าสองหมื่นห้าพันคน มิใช่ว่าการบัญชาทัพของหลงถิงเฟยยอดเยี่ยมกว่าเซวียนซงนัก แต่เป็นเพราะวันนี้กองทัพต้ายงใช้พลทหารเดินเท้าเป็นกำลังหลัก ส่วนกองทัพเป่ยฮั่นใช้ทหารม้าเกราะเบาผู้ไปมาดั่งสายลม สัดส่วนการบาดเจ็บล้มตายเช่นนี้จึงนับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่ช่วยมิได้ แม่ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายมิได้ทำผิดพลาดร้ายแรงอันใดจึงได้แต่บั่นทอนทำลายชีวิตและกำลังรบเช่นนี้ แม้ทหารม้าเหล็กของต้ายงเข่นฆ่าสังหารได้แกร่งกว่า แต่หากส่งทหารม้าเกราะหนักออกไปง่ายๆ จนถูกหลงถิงเฟยหาช่องโหว่เจอ จะทำให้ทัพเราสูญเสียสาหัส ต่อให้หลงถิงเฟยมิยินยอมสู้ซึ่งหน้ากับพวกเรา แล้วเปลี่ยนเป็นเดินทัพไปพลางสู้รบไปพลาง เช่นนั้นก็ยังจะเสียโอกาสรั้งกองทัพเป่ยฮั่นไว้อยู่ดี
กองทัพเป่ยฮั่นล้วนเป็นทหารม้าเกราะเบา คนหนึ่งมีอาชาสอง หรือสามตัว เดินทัพรวดเร็วกว่าพวกเรามากนัก ข้าคาดว่าหากหลงถิงเฟยมิได้ต้องการยื้อกำลังหลักของกองทัพเราไว้ เกรงว่าอาจจะไม่สู้รบซึ่งหน้ากับพวกเราก็เป็นได้ แต่สำหรับกองทัพฝ่ายเรา หากไม่ทำศึกหลั่งเลือดเช่นนี้ย่อมมิอาจทำให้กองทัพเป่ยฮั่นเชื่อว่ากำลังหลักทั้งหมดของกองทัพเราอยู่ที่นี่
ก่อนหน้านี้ยามกองทัพเป่ยฮั่นรุกราน มักจะกระจายกองทัพออกก่อกวน ทว่านับตั้งแต่หลายปีก่อนที่ฉีอ๋องกลับมาพิทักษ์ชายแดนอีกครั้ง แล้วสร้างแนวป้องกันโดยใช้วิธีปิดเมืองเผานาขึ้นมา การที่กองทัพเป่ยฮั่นจะบุกตีเมืองยึดป้อมปราการก็ยากเย็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกกองทัพใหญ่ของฉีอ๋องตัดทางถอยได้ง่ายดายนักอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ กองทัพเป่ยฮั่นจึงเปลี่ยนยุทธวิธีรบ หลงถิงเฟยมักจะนำกองทัพใหญ่มาวนเวียนรอบฉีอ๋อง ขณะที่ส่งรองแม่ทัพบุกภายในเจ๋อโจว หากฉีอ๋องคิดจะป้องกันท่าเดียวมิออกมา ถ้าเช่นนั้นกองทัพเป่ยฮั่นก็จะตีเมืองและป้อมปราการรอบนอกแตกอย่างง่ายดาย แต่หากฉีอ๋องยกทัพออกมาทำศึกกับกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่น ถ้าเช่นนั้นกองทัพรองก็จะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ หากฉีอ๋องคิดจะมุ่งไปขัดขวางกองทัพรอง ถ้าเช่นนั้นหลงถิงเฟยก็จะนำกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นไล่โจมตีจากด้านหลัง ซ้ำร้ายถานจี้ยังชำนาญการลอบจู่โจมแล้วหลบหนีเป็นที่สุด สืออิงเองก็เดินทัพได้รวดเร็วนัก
แม้กองทัพต้ายงแข็งแกร่งกว่าเป่ยฮั่น แต่กลับถูกกองทัพเป่ยฮั่นบีบจนตอบโต้ไม่ทัน ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา ฉีอ๋องจึงเป็นผู้นำทหารเข้ารบรากับกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นมากกว่าครึ่ง ส่วนกองทัพรองกองนั้นได้แต่อาศัยกองกำลังป้องกันของแต่ละจุดต้านไว้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงหดแนวป้องกันเข้ามาเรื่อยๆ การที่แถบเจ๋อโจวแทบจะร้างไร้ผู้คน ก็เป็นผลลัพธ์จากสงครามต่อเนื่องมาหลายปีนี้