ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 56 เหยี่ยวปีกหัก (ปลาย) (3)
ถานจี้เห็นสถานการ์เช่นนี้ก็คล้ายย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในวันวานที่เฝ้ามองบิดามารดากับคนในตระกูลถูกผู้อื่นเข่นฆ่า แต่ตนเองกลับได้แต่ซ่อนอยู่ด้านหลังก้อนหินเบิ่งตามอง ความอัปยศและความเจ็บปวดจนเจียนตายในทันทีทันใดเช่นนั้นทำให้เขามิอาจครองสติตนเอง เขาตะโกนเสียงดัง “ทหารทั้งหลาย พวกเราผูกแค้นโลหิตไว้กับต้ายงนับไม่ถ้วน หากถูกศัตรูจับเป็นเชลย ต่อให้ถูกเฉือนเป็นพันหมื่นชิ้นก็มิพอชดใช้ มิสู้รบจนตัวตาย อย่าได้ตกอยู่ในมือศัตรูให้ต้องอัปยศ”
กล่าวจบก็ไม่หลีกหลบแหลนอาชาที่ฝั่งตรงข้ามแทงเข้าใส่ ยกมือข้างหนึ่งหนีบแหลนอาชาเล่มนั้นไว้กับรักแร้แน่น ขณะที่ขวานปากไก่ฟันฉับตัดศีรษะนายหทารต้ายงผู้นั้น หลังจากนั้นจึงเอื้อมมือดึงคนผู้นั้นมาบนอาชาของตนเอง จากนั้นเสียบขวานปากไก่ไว้กับอาชา แล้วใช้สองมือชูศพคนผู้นั้นขึ้นสูง พลางตวาดว่า “ศัตรูไม่ตาย ข้าก็ม้วย สู้ตายเพื่อรอด”
จากนั้นสองมือพลันออกแรงฉีกศพร่างนั้นแยกออกเป็นสองส่วนด้วยมือเปล่า โลหิตและอวัยวะภายในร่วงลงมารินรดย้อมร่างของถานจี้เป็นสีโลหิต กองทัพต้ายงฮือฮาเสียงดัง ขณะที่ความดุร้ายในกมลสันดานของทหารเป่ยฮั่นถูกปลุกขึ้นมา พวกเขาตามหลังถานจี้ทะลวงฝ่าสิ่งกีดขวางด้านหน้า ตัดเข้าไปในทัพหลวง
จิงฉือเคร่งเครียด รีบกำแหลนอาชาแน่น แต่กลับรู้สึกว่ามือเท้าไร้เรี่ยวแรง เวลานี้เอง ฉีอ๋องพลันหัวเราะกังวาน จากนั้นชักม้าพุ่งเข้าประจันหน้า องครักษ์คนสนิทฝั่งซ้ายขวารีบทะยานตามไป หมายจะปกป้องฉีอ๋อง ทว่าอาชาของฉีอ๋องว่องไวนัก เขาเข้าไปรับมือกับถานจี้ผู้นำหน้ากระบวนทัพหัวศรของกองทัพเป่ยฮั่นแล้ว
ถานจี้เดิมทีกำลังบุกทะลวงมาอย่างราบรื่น แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีคนขวางขวานปากไก่เอาไว้ เมื่อเงยหน้ามองจึงเห็นคนผู้นั้นสวมเกราะทองทั้งตัวกับชุดทหารสีแดงเพลิง นอกจากฉีอ๋องไม่มีทางเป็นผู้อื่น เมื่อคิดว่าหากสังหารคนผู้นี้ได้ กองทัพศัตรูย่อมโกลาหลแน่ ถานจี้พลันเกิดกำลังใจฮึกเหิมอย่างห้ามมิได้ เขาออกกระบวนท่าสังหารอย่างต่อเนื่อง ทหารม้ากุ่ยฉีข้างกายเขาก็โอบล้อมเข้ามา หมายจะสละชีวิตปราบแม่ทัพเอกของกองทัพข้าศึกให้จงได้
แต่ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนก็ฝึกยุทธ์มานานปี ได้อาจารย์ชื่อดังสอนสั่ง ทั้งยังรบทัพจับศึกมาหลายครั้ง กล่าวถึงวิชายุทธ์ไม่เป็นรองถานจี้ แล้วข้างกายเขายังมีทหารกล้ามากมาย ฉีอ๋องพุ่งออกมาครั้งนี้ พวกเขาล้วนติดตามมาด้วย ทั้งสองฝั่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด การบุกของถานจี้ถูกขัดขวางไว้ชั่วคราว หากเป็นการศึกธรรมดาทั่วไปคงไม่สำคัญนัก แต่ตอนนี้กองทัพเป่ยฮั่นตกอยู่ในวงล้อมแน่นหนา ผลลัพธ์ย่อมไม่เหมือนกัน
ฉวยโอกาสที่กระบวนทัพหัวศรถูกขวางไว้ชั่วขณะ กองทัพต้ายงที่เหลือจึงยิ่งโหมโจมตี ปีกสองข้างกับด้านหลังของกระบวนทัพเป่ยฮั่นเริ่มระส่ำระสาย ผ่านไปเพียงครู่หนึ่งก็มีทหารม้าต้ายงรุมล้อมเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของฉีอ๋องจนล้อมกองทัพเป่ยฮั่นไว้ได้โดยสมบูรณ์
หลี่เสี่ยนผู้ถอยกลับมาใต้ธงผืนใหญ่สูดลมหายใจเย็นยะเยือกลึกๆ ออกรบสังหารศัตรูมาหลายปีปานนี้ แม้ด้วยฐานะอ๋องของเขาจะมิได้เผชิญหน้าอันตรายตรงๆ มากมายเป็นพิเศษนัก แต่ก็มิใช่ว่าไม่เคยวนเวียนอยู่ระหว่างขอบเหวความเป็นความตายมาก่อน ทว่านาทีนั้น เมื่อครู่ที่ถานจี้กับทหารม้ากุ่ยฉีใต้บัญชาของเขาโหมโจมตี หลี่เสี่ยนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งใดคือห้วงขณะแห่งความเป็นความตาย
เขามองจิงฉืออย่างนึกขอบคุณ เมื่อครู่จิงฉือมิได้รีบร้อนพุ่งมาช่วย แต่ออกคำสั่งอย่างรวดเร็วให้โหมโจมตี ทำให้หลี่เสี่ยนมีโอกาสถอยออกมา หลี่เสี่ยนมองดูพวกถานจี้ผู้ต่อสู้ราวกับสัตว์ร้ายที่ติดกับ ในใจไม่เพียงไม่นึกโกรธแค้น กลับกันยังนึกชื่นชมเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน หลายปีนี้มิใช่ว่าไม่เคยเห็นแม่ทัพผู้เก่งกาจห้าวหาญ แต่แม่ทัพที่มีทั้งความกล้าหาญและสติปัญญาเช่นนี้อย่างถานจี้ไม่ได้หาพบได้มากนัก หากมิใช่ว่าเริ่มแรกกองทัพเป่ยฮั่นเดินหมากผิดก้าวหนึ่ง พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสล้อมคนผู้นี้ได้
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง ในที่สุดบรรดาทหารม้าใต้บัญชาของจิงฉือก็รีบเร่งมาถึง พวกเขาเข้าร่วมสนามรบ ในที่สุดชัยชนะก็ตกเป็นของต้ายงแน่นอนแล้ว แม้กองทัพเป่ยฮั่นตั้งกระบวนทัพทรงกลมตั้งรับอย่างหนักแน่น แต่เมื่อไม่มีทหารกองหนุน ความพ่ายแพ้ก็เป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น ผลแพ้ชนะตัดสินแล้ว
รบราอยู่ครึ่งวัน ท้องฟ้าก็เริ่มสลัว หลี่เสี่ยนกังวลว่าถานจี้จะฉวยโอกาสยามค่ำคืนฝ่าวงล้อมจึงเรียกพลเดินเท้ามาสมทบ รอบด้านจุดคบเพลิงส่องสนามรบจนสว่างไสว กองทัพเป่ยฮั่นเหลือคนน้อยนิดเพียงสามพันคน หลี่เสี่ยนควบคุมจังหวะการบุก ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทำลายศัตรูทั้งกองทัพหลุดลอยไป กองทัพที่เหลืออยู่ของเป่ยฮั่นตั้งกระบวนทัพทรงกลมตั้งรับอย่างหนักแน่น แต่กองทัพต้ายงที่อยู่ด้านนอกก็ตั้งทัพเป็นกระบวนทัพกลมล้อมอยู่รอบนอก คอยบั่นทอนชีวิตของกองทัพเป่ยฮั่นอย่างเต็มที่
วงล้อมการต่อสู้หดเล็กลงเรื่อยๆ หลี่เสี่ยนออกคำสั่งให้กองทัพต้ายงผลัดกันบุก กองทัพเป่ยฮั่นมิอาจได้พักจึงเหนื่อยล้าขึ้นทุกที หากกระบวนทัพกลมแตกเมื่อใด คงเป็นเวลาที่ทั้งกองทัพย่อยยับเมื่อนั้น แต่เมื่อมีถานจี้คอยบัญชาการ กองทัพเป่ยฮั่นกองนี้จึงยังไม่หมดสิ้นเรี่ยวแรงต่อสู้
ถานจี้อยู่ใจกลางกระบวนทัพ ริมฝีปากแห้งผากปริแตก ทหารม้ากุ่ยฉีข้างกายเหลือเพียงสิบเจ็ดคน นับตั้งแต่เขาเป็นแม่ทัพมา ไม่เคยพ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนี้มาก่อน ทว่าแววตาของเขากลับไม่มีความผิดหวัง หรือหวาดกลัว มีเพียงความเยือกเย็นเรียบเฉยดังเช่นปกติเท่านั้น
กองทัพเป่ยฮั่นเหล่านี้แต่เดิมก็ห้าวหาญเป็นสันดาน ยิ่งไปกว่านั้น แม้เผชิญหน้าสถานการณ์สิ้นหวังอยู่ แต่พวกเขามีความแค้นลึกล้ำกับต้ายง ถึงจะกล่าวกันว่าประมือบนสนามรบ แม้นตายไร้เคืองแค้น แต่พวกเขาไม่ใช่เช่นนั้น ประชาชนต้ายงที่ตายในมือพวกเขามีนับไม่ถ้วน ที่ผ่านมาหากทหารใต้บังคับบัญชาของถานจี้ตกอยู่ในมือต้ายง แทบจะมีแต่ตายสถานเดียว
ถึงกระนั้น ยามนี้ในใจพวกเขากลับไม่นึกเคียดแค้นถานจี้ แม้คนผู้นี้จะนำพวกเขามาพบการฆ่าล้างบางอันไร้ทางรอด แต่นายทหารเหล่านี้ต่างเข้าใจดีว่าพวกเขามีโอกาสสั่งสมเงินทองจนเพียงพอในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีเพราะอยู่ใต้บัญชาของถานจี้ ต่อให้พวกเขาจะจบชีวิตบนสมรภูมิ แต่ครอบครัวของพวกเขาก็มีเงินทองเพียงพอจะใช้ชีวิตอยู่ก่อนแล้ว เพื่อครอบครัวของตน มีแต่ต้องสู้จนตัวตาย ขอเพียงสุดท้ายปกป้องเป่ยฮั่นให้ปลอดภัยได้ ครอบครัวของตนย่อมปลอดภัย ความเชื่อมั่นเช่นนี้ทำให้แม้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังที่ต้องตายแน่นอนแล้ว แต่ก็ไม่มีความคิดยอมจำนนร้องขอชีวิตแม้สักนิด
หลี่เสี่ยนมองดูแล้วรู้สึกนับถือในหัวใจ จึงกล่าวขึ้นว่า “ทหารม้ากองนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังมิยอมจำนน ช่างหายากจริง ต่อให้เป็นต้ายงของพวกเราก็ยากที่จะพบทหารม้าเช่นนี้ จิงฉือ ท่านว่าข้าชวนให้ยอมสวามิภักดิ์ดีหรือไม่”
จิงฉือลังเลครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ถานจี้แค้นทหารและประชาชนต้ายงล้ำลึก เกรงว่าชักชวนมาเข้าพวกคงไม่เหมาะ”
หลี่เสี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ข้าก็พอรู้เรื่องมาบ้าง ท่านมิต้องกล่าวหลบเลี่ยงหรอก ถานจี้ผู้นี้มีความแค้นลึกล้ำดั่งมหาสมุทรกับต้ายงจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงความตายของบิดามารดาและคนในตระกูลของเขา แค่หลายปีนี้เขาก็สังหารคนในเจ๋อโจวกับเจิ้นโจวไปมากมาย มีหนี้โลหิตนับไม่ถ้วน แต่ข้าเสียดายความสามารถของเขาจริงๆ หากเขายอมสวามิภักดิ์ อย่างมากข้าก็ย้ายเขาไปไว้ทางใต้ก็ใช้ได้แล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เสี่ยนพลันตะเบ็งเสียง เอ่ยดังลั่นว่า “ถานจี้ เจ้าจนตรอกแล้ว หากยอมสวามิภักดิ์ ข้ารับปากว่าจะไม่ทำอันตรายชีวิตเจ้า ผู้ใต้บัญชาของเจ้าล้วนจะได้รับการละเว้น วาจาข้าหนักแน่นดั่งขุนเขา เจ้าจะยอมพิจารณาสักหน่อยหรือไม่”
เสียงของเขาแฝงกำลังภายใน แม้สนามรบโกลาหลยิ่งนัก แต่ทุกคนล้วนได้ยินกระจ่างชัด แม่ทัพทั้งหลายของกองทัพต้ายงส่งสัญญาณให้ผ่อนการโจมตีลงชั่วคราว
ถานจี้ได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง องครักษ์ข้างกายเขาต่างได้ยินเสียงหัวเราะแหบพร่าดังออกมาจากหลังหน้ากากสำริด ไม่นานนักเขาก็เอ่ยเสียงดังว่า “ถานจี้เป็นแม่ทัพเป่ยฮั่น ติดค้างบุญคุณแม่ทัพใหญ่อยู่มากมาย แม้วันนี้พ่ายแพ้ก็เพียงตายเท่านั้น ท่านอ๋องอย่าได้เปลืองใจ ถานจี้เคยลั่นวาจาสาบานไว้แล้ว ไม่มีทางยอมถูกคนหยามหมิ่นเด็ดขาด”
หลี่เสี่ยนเอ่ยเสียงดัง “แม้เจ้ามิเสียดายชีวิต แต่ชีวิตทหารใต้บัญชา เจ้าก็มิสนใจไยดีด้วยหรือ”
ถานจี้ฟังจบก็หัวเราะอีกครั้ง ด้วยทราบดีว่าหลี่เสี่ยนฉวยโอกาสโจมตีขวัญกำลังใจทหารของกองทัพเป่ยฮั่น คิดไม่ถึงว่าฉีอ๋องผู้นี้จะรอบคอบ มาถึงเวลานี้แล้วยังไม่ลืมทำลายขวัญกำลังใจทหารของกองทัพศัตรู
เขากวาดสายตามองรอบด้านอย่างเชื่องช้าแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าล้วนเป็นชาวเป่ยฮั่น หากมีผู้ต้องการยอมจำนนก็กล่าวออกมาเสีย ข้าจะไม่ขัดขวางหากพวกเจ้าอยากมีชีวิตรอด”
ทุกคนฟังจบก็ทราบว่าเขามิได้คิดจะหลอกผู้ที่จิตใจคลอนแคลนออกมาสังหารปิดปาก นี่เป็นเรื่องที่ถานจี้ดูแคลนจนมิเคยทำ ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนก็เอ่ยเสียงพร้อมเพรียง “ยินดีติดตามท่านแม่ทัพจนตัวตาย”
ถานจี้ถอนหายใจ สายตาจับอยู่บนร่างทหารม้ากุ่ยฉีที่ตัวเตี้ยที่สุดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หลิงตวน ปีนี้เจ้าเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี พี่ชายสองคนของเจ้าล้วนเคยเป็นทหารม้ากุ่ยฉีของข้า น่าเสียดายพวกเขาล้วนตายในสนามรบ ครึ่งปีก่อนหากมิใช่ว่าวรยุทธ์เจ้าโดดเด่นอย่างแท้จริง ทั้งยังเพียรพยายามขอร้อง ข้าคงมิอาจกลั้นใจเลือกเจ้ามาเป็นทหารม้ากุ่ยฉี หากเจ้าอยากยอมจำนน ข้าจะไม่ตำหนิเจ้า”
ทหารม้ากุ่ยฉีผู้นั้นรีบกระโดดลงจากม้ามาคุกเข่าบนพื้น แล้วปลดหน้ากากสำริดออก เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาที่ยังมีความเยาว์วัยเหลืออยู่ เขาร่ำไห้กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพไยจึงเอ่ยเช่นนี้ พวกเราพี่น้องสูญเสียบิดามารดาตั้งแต่เล็ก เร่ร่อนไร้ที่พึ่ง หากมิใช่ท่านแม่ทัพถ่ายทอดวิชายุทธ์ให้ วันนี้ก็คงเป็นขอทานที่ทุกคนข่มเหงรังแก หลิงตวนยินดีตายด้วยกันกับท่านแม่ทัพ ขอท่านแม่ทัพอย่าได้เอ่ยเช่นนี้อีก”
ถานจี้ฟังแล้วพลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ หัวใจอันหนาวเหน็บประหนึ่งน้ำแข็งนับตั้งแต่บิดามารดาและคนในตระกูลตายสิ้นพลันอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย เขาเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “เจ้าลุกขึ้นมาเถิด ข้าไม่ไล่เจ้าแล้ว” เด็กหนุ่มผู้นั้นพลันเช็ดน้ำตาแล้วสวมหน้ากาก กระโดดขึ้นอาชาศึกอีกครั้ง
ถานจี้แหงนหน้ามองฟ้า ปรบมือแล้วครวญเพลง “สวรรค์เอยไร้ใจ บันดาลเภทภัยพลัดพราก ดินเอยไร้เมตตา ดลสงครามบังเกิด บิดามารดรเอยสลายเป็นธุลี ปณิธานเอยมลายสิ้นให้ร้าวราน แค้นเอยแม้นสะสางยังมิคลาย พระคุณเอยมากล้นยอมพลีกาย สังหารซากศพเอยเกลื่อนท้องทุ่งข้ามิเสียใจ โลหิตเอยไหลนองทุกข์ทนหม่นไหม้ ท่านถือคันศรแลข้าถือหอก ข้าห้ออาชาแลท่านเคียงบ่าเคียงไหล่ ชิ่นเอ๋ยชิ่นสุ่ยเย็นเยือกฝังร่างข้า แม้นมุ่งปรโลกดวงจิตสงบ เป็นตายมิกลัวแลหัวใจฮึกเหิม พานพบสหายเอยข้าโศกา!”
ทหารทั้งหลายแรกเริ่มเพียงส่งเสียงประสาน ต่อมาจึงร้องเสียงดังตามด้วย เสียงเพลงโศกสลดดังกังวานก้องฟ้าดิน ไอสังหารของกองทัพเป่ยฮั่นพวยพุ่ง ใบหน้าของแต่ละคนปรากฏสีหน้าไม่อนาทรต่อความตาย
หลี่เสี่ยนเห็นภาพนี้แล้วย่อมไม่มีความจำเป็นต้องถามต่อ เพียงถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วออกคำสั่ง “สังหารให้สิ้น”
เหล่านักรบผู้ควรค่าแก่การนับถือ มีเพียงปล่อยให้พวกเขารบจนตัวตายอย่างสมเกียรติจึงจะเป็นการแสดงความนับถือในใจ
ภายใต้แสงคบเพลิงส่องกระทบ ทหารม้าต้ายงบีบเข้าหากองทัพเป่ยฮั่น เวลานี้เมฆดำบนท้องนภามลายสิ้น จันทราส่องสว่างกับหมู่ดาราประปรายฉายแสงส่องสมรภูมิอันโหดร้ายอย่างไร้หัวใจ เฝ้ามองดูการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเหล่าทหารเป่ยฮั่น