ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 61 ศึกในยังมีห่วง ศึกนอกเข้ารอนราญ (2)
หลี่จวิ้นมองเด็กหญิงตัวน้อยผู้คุ้นหน้าอยู่เล็กน้อยคนนั้น ความทรงจำในอดีตหวนคืนมาในสมองแทบจะในบัดดล เวลานี้เขาลืมเลือนพิธีรีตองทั้งมวล เอื้อมมือไปอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมาเหมือนครั้งเก่าก่อน แล้วตอบอย่างดีอกดีใจ “หลันหลัน เจ้ากลับมาแล้ว ไฉนสองปีนี้จึงไม่เขียนจดหมายมาหาข้าบ้างเล่า ข้ายังคิดว่าเจ้าลืมข้าแล้วเสียอีก ท่านเจียง มิใช่สิ ท่านอาเขยมิได้กลั่นแกล้งเจ้าใช่หรือไม่ หากเขาทำ ข้าจะไปกราบทูลเสด็จแม่ เสด็จแม่ต้องช่วยทวงความยุติธรรมให้เจ้าแน่”
โหรวหลันมองหลี่จวิ้นผู้กลายเป็นหนุ่มหล่อเหลาสง่างาม ไม่เหลือเค้าความเป็นเด็ก ทันใดนั้นก็ร้องไห้โฮฟ้องเสียงดังว่า “ท่านพ่อกลั่นแกล้งข้า ไม่ยอมให้ข้าส่งจดหมายหาพี่จวิ้น” กล่าวจบโหรวหลันก็สะอึกสะอื้นล้วงจดหมายตั้งหนาออกมา ล้วนแต่เป็นจดหมายที่เขียนเสร็จทว่ามิได้ส่ง
ไม่รู้เพราะเหตุใดหลี่จวิ้นจึงรู้สึกว่ามีไอน้ำปกคลุมดวงตา ทว่าตอนนี้เอง เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนมิอาจเสียกิริยาต่อหน้าผู้คน จึงพยายามเชิดศีรษะมิให้น้ำตาหลั่งริน แล้วรับจดหมายเหล่านั้นด้วยท่าทางจริงจัง “เข้าใจแล้ว ข้าจะอ่านทุกฉบับ หลันหลันถือเสียว่าจดหมายติดอยู่ระหว่างทางนานมากๆ ก็แล้วกัน” ตอนนี้โหรวหลันจึงเปลี่ยนน้ำตาเป็นเสียงหัวเราะ
หลี่จวิ้นมองไปด้านหลังอย่างหวั่นใจเล็กน้อย ยังดี ขุนนางเหล่านั้นล้วนหลบไปอยู่ไกลๆ อย่างรู้จักสถานการณ์ยิ่งนัก หลี่จวิ้นถอนหายใจแล้วปล่อยโหรวหลันลง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นรอยยิ้มขององค์หญิงฉางเล่อ ใบหน้าพลันแดงก่ำอย่างมิอาจห้าม “เสด็จอา เสด็จปู่ เสด็จย่า กับเสด็จพ่อ เสด็จแม่กำลังรอท่านอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฉางเล่อคลี่ยิ้มอ่อนโยนพลางจูงมือน้อยของโหรวหลัน แล้วตอบว่า “เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบเดินทางสักหน่อยเถิด” กล่าวจบก็จูงโหรวหลันขึ้นราชรถ โจวซั่งอี๋ส่งเซิ่นเอ๋อร์ขึ้นราชรถมาด้วย ตอนนี้เข้าเมืองฉางอันแล้ว ไม่สะดวกให้หลี่หลินนั่งบนราชรถด้วย ปลายหางตาขององค์หญิงฉางเล่อมองเห็นหลี่หลินทำหน้าเศร้าสร้อย ก่อนขึ้นราชรถจึงเอ่ยกับหลี่จวิ้นเบาๆ ประโยคหนึ่ง
หลังจากราชรถออกเดินทางแล้ว หลี่จวิ้นจึงเดินไปข้างหลี่หลินแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าคือน้องหลินสินะ ขี่ม้าไปด้วยกันกับข้าเป็นอย่างไร”
หลี่หลินผู้เดิมทีมีสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย มีความอบอุ่นผุดขึ้นในดวงตา ความเจ็บปวดที่โหรวหลันทิ้งตนเองไปสนทนากับหลี่จวิ้นเมื่อครู่ค่อยๆ มลายหาย เขาผู้ไม่สันทัดการพูดจาตอบเสียงนิ่งขรึม “ข้าขี่ม้าเองเป็น”
ดวงตาของหลี่จวิ้นฉายแววประหลาดใจ “เจ้าอายุน้อยเท่านี้ก็ขี่ม้าเป็นแล้ว เก่งกาจเสียจริง” แล้วจึงให้องครักษ์จูงอาชาตัวหนึ่งมา เขาคลี่ยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นอาชาที่เสด็จพ่อพระราชทานให้แก่ข้า นิสัยเชื่องยิ่งนัก เจ้าลองขี่ดู ไม่ต้องกลัวนะ”
หลี่หลินพยักหน้าอย่างแข็งทื่อ เขาอายุยังน้อย แต่อานม้าบนอาชาตัวนี้ทำมาเป็นพิเศษ ดังนั้นหลังจากหลี่หลินขึ้นม้าจึงควบคุมม้าได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก จากนั้นจึงเยาะย่างตามหลังราชรถเข้าประตูหมิงเต๋อพร้อมกับหลี่จวิ้น ระหว่างทาง หลี่จวิ้นคอยถามคำถามสารพัดกับหลี่หลิน หลี่หลินรู้สึกว่าหลี่จวิ้นออกจะพูดมากอยู่บ้าง แต่ในเวลาเดียวกัน หัวใจเขาก็รู้สึกอบอุ่นมากขึ้นทุกที ดูท่าการอาศัยอยู่ในนครฉางอันของตนคงจะไม่ทุกข์ทนเกินไปนัก
ยามองค์หญิงฉางเล่อก้าวเข้าไปในตำหนักฉือหนิงอันเป็นที่ประทับของไทเฮา สิ่งแรกที่มองเห็นคือดวงเนตรอันเมตตาของเสด็จแม่ นางหลั่งน้ำตาอย่างมิอาจห้าม จากนั้นก้าวเข้าไปคารวะอย่างชดช้อย จ่างซุนซื่อก้าวเข้ามาประคองธิดารัก พลางมองหน้าตาอิ่มเอิบแจ่มใส มิดูหม่นหมองดังก่อนหน้าแม้สักนิดของธิดารักอย่างปลื้มปริ่ม สองแม่ลูกถามไถ่เรื่องทั่วไปกันหลายคำ จ่างซุนซื่อก็ประคองพระธิดาให้นั่งลงข้างตน
องค์หญิงฉางเล่อเพิ่งมองเห็นเหยียนกุ้ยไท่เฟยที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงรีบลุกขึ้นคารวะ แม้หลายปีนี้เหยียนเฟยจะยังคงดำรงพระเกียรติยศดุจเดิม แต่เพราะกังวลเรื่องความบาดหมางระหว่างโอรสกับฝ่าบาทที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ดวงหน้าจึงแก่ชราลงเล็กน้อย
ข่าวสารในวังแพร่ไปว่องไวยิ่ง นางทราบอยู่ก่อนแล้วว่าองค์หญิงฉางเล่อพาหลานแท้ๆ ของตนมาด้วย แม้แค้นเคืองฉินเจิงอยู่บ้างที่พาบุตรรักให้โชคร้าย แต่มิว่าอย่างไรหากฉินเจิงมิปลิดชีพตนชดใช้ความผิด เกรงว่าเรื่องคงยุ่งยากกว่านี้ หลี่หลินเองก็เป็นแก้วตาดวงใจของนาง หากมิใช่ไร้ทางเลือกจริงๆ นางไม่มีทางปล่อยให้ฉีอ๋องพาหลี่หลินไปยังสนามรบด้วย
ครั้งนี้ได้ยินว่าองค์หญิงฉางเล่อพาหลี่หลินกลับมาด้วย ในใจนางรู้สึกขอบคุณองค์หญิงฉางเล่อยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น นางยังได้ยินว่าสามีของฉางเล่อเดินทางไปเป็นเสนาธิการที่เจ๋อโจว ความรุ่งเรืองร่วงโรยชั่วชีวิตของบุตรรักหลังจากนี้อาจขึ้นอยู่กับเจียงเจ๋อและภรรยา ดังนั้นเหยียนเฟยจึงประคองฉางเล่อขึ้นมาอย่างเกรงใจและสนิทสนมอย่างยิ่ง พลางกล่าวว่า “เจินเอ๋อร์ ได้ยินว่าเจ้าพาโหรวหลันกับเซิ่นเอ๋อร์มาด้วย ท่านพี่คิดถึงหลานตั้งนานแล้ว ยังไม่รีบพาพวกเขาเข้ามาอีก”
จ่างซุนไทเฮาได้ยินพลันปรบมือเอ่ยว่า “น้องสาว เจ้าว่าข้าเลอะเลือนแล้วใช่หรือไม่ แต่เดิมก็คิดจะให้เด็กๆ เข้ามาด้วย แต่พอเห็นเจินเอ๋อร์สิ่งใดก็ลืมเสียสิ้น เถียนซั่งกง รีบเรียกเด็กๆ เข้ามาเร็ว”
ไม่นาน โจวซั่งอี๋ก็อุ้มเจียงเซิ่นเข้ามาด้วยตัวเอง โหรวหลันกับหลี่หลินเดินตามหลังรัชทายาทหลี่จวิ้นเข้ามา ตอนนี้หลี่จวิ้นยังตัดใจแยกจากโหรวหลันไม่ลง จึงตามเข้ามาด้วย
จ่างซุนไทเฮากวักหัตถ์ให้โหรวหลันเดินเข้ามาใกล้ๆ เป็นคนแรกแล้วอุ้มนางขึ้นมาบนตัก ทักว่า “หลันหลันตัวน้อย ยังจำข้าได้หรือไม่”
ดวงตาโหรวหลันเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น นางคว้าวรกายของไทเฮาแล้วตอบว่า “จำได้เพคะ หลันหลันคิดถึงพระสนมยิ่งนัก แล้วก็คิดถึงท่านปู่ฮ่องเต้มากด้วย”
ไทเฮาตรัสตอบอย่างอบอุ่น “ตอนนี้เจ้าเรียกเจินเอ๋อร์ว่าท่านแม่ ก็สมควรเปลี่ยนมาเรียกข้าว่าท่านยายได้แล้ว สองปีนี้ไท่ซั่งหวง[1]เอ่ยถึงเจ้าอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้กลับหาข้ออ้างว่าไปล่าสัตว์อีกแล้ว เฮ้อ ผู้ใดให้เขารักหน้าตาปานนั้น จดจำได้แต่ในอดีตมิยอมตกลงเรื่องการแต่งงานระหว่างเจินเอ๋อร์กับบิดาของเจ้า จึงกังวลว่าพวกเจ้าจะขุ่นเคืองเขา”
ทุกคนฟังจบก็รู้สึกขบขัน แต่ต้องอดกลั้นไว้ ไทเฮากล่าวเช่นนี้ได้ แต่พวกเขาย่อมมิอาจหัวเราะเยาะไท่ซั่งหวงได้
หลังจากนั้นไทเฮาจึงตรัสอีกว่า “เอาละ รีบอุ้มเซิ่นเอ๋อร์มาเร็ว ให้ข้าดูหลานชายคนเล็กผู้นี้หน่อย”
องค์หญิงฉางเล่อรับบุตรรักมาแล้วอุ้มมาตรงหน้าไทเฮาด้วยตนเอง โหรวหลันกระโดดลงจากตักไทเฮาอย่างหัวไว ไทเฮารับทารกน้อยมาแล้วน้ำตาก็คลอหน่วยแวววาวในดวงตา นี่คือหลานชายผู้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง นางย่อมรักสุดหัวใจ เจียงเซิ่นร่าเริงยิ่งนัก เขาไม่กลัวคนแปลกหน้าสักนิด แม้ยังเดินโซเซ โดยส่วนใหญ่ยังต้องคลานไปมา แต่นั่นมิได้ขัดขวางเขาจากการใช้มือน้อยเอื้อมไปแตะมงกุฎหงส์ของไทเฮา ไทเฮาหอมทารกอยู่พักใหญ่ ทันใดนั้นก็ถามขึ้นว่า “เหตุใดฮองเฮายังไม่มาอีก มิใช่บอกว่าวันนี้จะมาตั้งแต่เช้าหรือไร”
เถียนซั่งกงตอบอย่างนอบน้อม “ทูลไทเฮา ฮองเฮาเดิมทีจะเสด็จมาแล้ว แต่เช้าตรู่วันนี้จู่ๆ ต้วนไฉเหรินก็เจ็บท้อง เกรงว่าจะคลอดก่อนกำหนด ฮองเฮาทรงกังวลยิ่งนัก จึงส่งคนมาแจ้งว่าจะมาสายสักหน่อยเพคะ”
จ่างซุนไทเฮาถอนหายใจ “ฮองเฮาช่างจิตใจงดงามทรงคุณธรรมจริงๆ ฝ่าบาททรงมีทายาทยากเย็น จนวันนี้มีจวิ้นเอ๋อร์เป็นทายาทสายหลักเพียงคนเดียว หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นมา ไยมิใช่ทำให้ฝ่าบาทกังวลพระทัย ตอนนี้ในราชสำนักไม่ค่อยสงบนัก ชายแดนก็ยังทำสงครามอีก โชคดีที่มีฮองเฮาผู้ดีงามเก่งกาจพระองค์นี้ สี่เดือนก่อน หากมิใช่ฮองเฮาเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง น่ากลัวว่าบุตรคนนี้ของต้วนไฉเหรินคงรักษาไว้มิได้แล้ว”
เหยียนกุ้ยไท่เฟยเห็นองค์หญิงฉางเล่อรู้สึกแปลกใจจึงกล่าวว่า “นี่ก็เป็นอีกเรื่องน่าเวทนาในวังหลัง หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ ทรงรับสั่งให้กรมพิธีการยกเลิกลำดับขั้นในวังหลัง กำหนดตำแหน่งของฝ่ายในตามลำดับดังนี้ ฮองเฮา สี่พระสนมยศเฟยได้แก่ กุ้ย เสียน ซู เต๋อ เก้าพระสนมยศผินได้แก่ เจาอี๋ เจาหรง เจาย่วน ซิวอี๋ ซิวหรง ซิวย่วน ชงอี๋ ชงหรง ชงย่วน พระสนมยศเจี๋ยอวี๋เก้านาง ยศเหม่ยเหรินเก้านาง ยศไฉเหรินเก้านาง ตำแหน่งที่เหลือล้วนยกเลิกหมดสิ้น
พระชายาเอกแห่งยงอ๋องย่อมเป็นเอกในวังหลัง จ้าวซื่อกับอวิ๋นซื่อต่างเป็นพระชายารองมาหลายปี แล้วยังให้กำเนิดองค์หญิง ดังนั้นจ้าวซื่อจึงได้รับแต่งตั้งเป็นเสียนเฟย อวิ๋นซื่อได้รับแต่งตั้งเป็นเต๋อเฟย เพราะวังหลังเงียบเหงาเกินไป ดังนั้นไทเฮาจึงมีราชโองการให้คัดเลือกสาวงามเข้าวัง ผู้โดดเด่นที่สุดในนั้นก็คือซือหม่าซิวย่วน ผู้ครองตำหนักหย่งเหอ สตรีนางนี้เอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่นับได้ว่ารูปโฉมความสามารถเพียบพร้อม คิดไม่ถึงกลับใจดำอำมหิต
หอหลีเซียงในอาณาเขตตำหนักหย่งเหอเป็นที่พำนักของต้วนไฉเหริน นางเกิดมาในตระกูลยากจน อุปนิสัยอ่อนโยน ฝ่าบาทเสด็จมาหาสองครั้งก็ตั้งครรภ์ ต้วนไฉเหรินผู้นี้มินับว่าได้รับความโปรดปรานนัก ทั้งตัวนางก็มิรู้ประสาจึงมิได้สังเกต ซือหม่าซิวย่วนกลับล่วงรู้เข้าก่อน เมื่อประตูวังปิด นางจึงพาคนสนิทบุกหอหลีเซียง บังคับให้ต้วนไฉเหรินดื่มยาขับเลือด หมู่ตำหนักในเขตตำหนักหย่งเหอเป็นใต้หล้าของซือหม่าซิวย่วน มิหนำซ้ำหอหลีเซียงยังอยู่ค่อนข้างไกล จึงเป็นโอกาสให้นางกระทำเหิมเกริม
ทว่าต้วนไฉเหรินผู้นี้ภายนอกอ่อนโยนแต่ภายในกลับแข็งแกร่ง หลังถูกกรอกยาก็ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายป้องกันหละหลวม เสี่ยงชีวิตหนีไปยังตำหนักซีเพ่ยที่พำนักของเฉิงเจี๋ยอวี๋ เฉิงเจี๋ยอวี๋เป็นญาติห่างๆ ของเว่ยกั๋วกง ครอบครัวเป็นตระกูลทหาร อีกทั้งสตรีนางนี้มีนิสัยกล้าหาญรักคุณธรรม ยามปกติมักปกป้องต้วนไฉเหรินกับสนมผู้อื่นที่ถูกซือหม่าซิวย่วนข่มเหงอยู่แล้ว ครั้งนี้จึงละเมิดกฎวังปีนกำแพงออกจากตำหนักหย่งเหอ เดินทางยามกลางคืนมาขอพบฮองเฮาที่ตำหนักคุนหนิงเพื่อทูลเรื่องนี้
ครั้งนี้เรื่องจึงลุกลามใหญ่โต ฮองเฮาเสด็จในยามกลางคืน ออกคำสั่งให้กักตัวซือหม่าซิวย่วนแล้วเรียกหมอหลวงรักษาต้วนไฉเหรินอย่างสุดความสามารถ โชคยังดีต้วนไฉเหรินร่างกายแข็งแรง ทั้งยังสู้สุดชีวิตจนดื่มยาไปได้เพียงครึ่งถ้วย จึงรักษาบุตรกับชีวิตเอาไว้ได้ น่าเสียดายยามนี้มาคลอดก่อนกำหนดอีก ไม่แปลกที่ฮองเฮาจะทรงกังวลเช่นนี้ จนไม่มีเวลามาต้อนรับเจ้า”