ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 66 วางหมากทั่วหล้า (2)
จิงอู๋จี๋หันไปมองร่างผึ่งผายองอาจของหลงถิงเฟยแล้วคลี่ยิ้ม “ถิงเฟย เจ้าคิดว่าท่วงทำนองของอวี้เฟยสู้เจียงเจ๋อผู้นั้นมิได้จริงหรือ”
หลงถิงเฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบ “ศิษย์มิรู้เกี่ยวกับดนตรีมากนัก แต่รู้สึกเหมือนอวี้เฟยจะเหนือกว่าเจียงเจ๋ออยู่”
จิงอู๋จี๋ยิ้ม “อวี้เฟย หลายวันนี้เจ้าหมกมุ่นอยู่กับแพ้ชนะทางด้านดนตรี แต่กลับลืมเลือนว่าเจ้ากับคนผู้นั้นกำลังต่อสู้กันอยู่บนสนามรบ เสียงกลองกับเสียงแตรของพวกเจ้ามิอิทธิพลต่อจิตใจของไพร่พล แต่ขวัญกำลังใจของไพร่พลก็มีผลต่อเสียงดนตรีของพวกเจ้าด้วย ยามนี้ต่อให้เจียงเจ๋อผู้นั้นตีกลองอีกครั้งก็ไม่มีทางเกิดเสียงกลองดั่งวันนั้นได้ซ้ำอีกหน
อวี้เฟย ศาสตร์ดนตรีของเจ้าใต้หล้ามิมีผู้ใดเทียบเคียง แต่กองทัพเป่ยฮั่นของพวกเรากลับเอาชนะกองทัพต้ายงที่ถูกปลุกขวัญกำลังใจมิได้ ดังนั้นความพ่ายแพ้ย่อยยับของเจ้ามิได้มาจากท่วงทำนองดนตรี เจียงเจ๋อผู้นี้ชำนาญการใช้อารมณ์ชักพาสถานการณ์และชำนาญการหยิบยืมสถานการณ์ชักจูงอารมณ์ หากเจ้าเข้าใจสภาวะอันเยี่ยมยอดยามฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง เส้นทางยุทธ์จักก้าวหน้าพุ่งทะยาน จงอย่าได้เกียจคร้าน”
ชายหนุ่มอาภรณ์ดำ หรือชิวอวี้เฟยมีประกายความเข้าใจผุดขึ้นในดวงตา จากนั้นจึงก้มลงคารวะเอ่ยตอบว่า “ศิษย์ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่สอนสั่ง”
หลงถิงเฟยฟังมาถึงตรงนี้พลันรู้สึกเหมือนใบหน้าหล่อเหลาถูกเปลวเพลิงแผดเผา อับอายจนยากจะทานทน จิงอู๋จี๋เห็นเข้าจึงยิ้มละไม ถามว่า “ถิงเฟย เจ้าอับอายเพราะพ่ายแพ้หรือ”
หลงถิงเฟยก้มหน้าตอบว่า “ถิงเฟยไร้ความสามารถ ทรยศต่อความเมตตาของเจ้าแคว้นและราชครู”
จิงอู๋จี๋ลุกขึ้นยืน เดินมาถึงเบื้องหน้าหลงถิงเฟยแล้วประคองเขาลุกขึ้นด้วยมือตนเอง จากนั้นกล่าวว่า “ถิงเฟย เจ้าผิดแล้ว ผู้ที่นำทหารสองแสนนายต้านทานต้ายงมาได้นานหลายปี นอกจากเจ้าแล้ว บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนที่ทำได้
สิบสี่ปีที่ผ่านมา ต้ายงเคยยกกำลังพลมาประจำการที่เจ๋อโจวมากที่สุดถึงห้าแสนนาย พวกเขาบุกตีชิ่นโจวสี่หน มีครั้งหนึ่งบุกมาจนถึงเมืองจิ้นหยาง ทว่านับแต่เจ้ามาพิทักษ์ชิ่นโจว ต้ายงก็มิอาจเหยียบย่างเข้ามายังแผ่นดินเป่ยฮั่นได้อีก คุณงามความชอบของเจ้า เจ้าแคว้นทรงทราบ ขุนนางทั้งหลายในราชสำนักก็ทราบ ข้าเองก็ทราบ ทหารและประชาชนเป่ยฮั่นก็ล้วนทราบดี
ต้ายงยึดครองแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ทางภาคกลางเอาไว้ ในราชสำนักมีแม่ทัพชั้นเลิศเกิดมามากมาย หลี่จื้อจักรพรรดิต้ายงรัชสมัยนี้ยังเป็นเทพสงครามแห่งต้ายง ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนผู้พิทักษ์เจ๋อโจวในยามนี้แม้ยังสายตากว้างไกลสู้พี่ชายมิได้ แต่ก็เป็นแม่ทัพผู้ลือชื่อแห่งยุค แม้ทัพต้ายงที่ปกป้องเจ๋อโจวมีเพียงสามแสนนาย แต่ไพร่พลทหารก็มากมาย เมื่อสูญเสียก็เติมกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
แต่ทัพเป่ยฮั่นของพวกเราแม้ในบันทึกมีกำลังพลสี่แสนนาย ทว่านอกจากทหารชั้นยอดสองแสนนายของเจ้า กำลังทหารที่เหลือมิอาจโยกย้ายไปช่วยเหลือเจ้าได้ ไต้โจวมีกำลังพลแสนนาย แต่ครึ่งหนึ่งเป็นทหาร ครึ่งหนึ่งเป็นชาวบ้าน ต้านทานพวกคนเถื่อนยังพอทำเนา แต่คิดจะโยกย้ายไปต่อกรกับทัพต้ายงเป็นไปมิได้เด็ดขาด จิ้นหยางมีทหารอยู่แสนนาย แต่พวกเขาต้องรับผิดชอบปกป้องสถานที่ต่างๆ ในเป่ยฮั่นทหารชั้นยอดสองแสนนายนั้นของเจ้าเป็นกำลังพลทั้งหมดของแว่นแคว้นแล้ว เสียไปหนึ่งคนก็ยากยิ่งจะหามาเสริม
สภาพยากลำบากเฉกเช่นนี้ หากมิใช่เจ้าบัญชาการกองทัพได้ดุจเทพ บีบบังคับจนต้ายงไร้กำลังบุกขึ้นเหนือ เกรงว่าเป่ยฮั่นของพวกเราคงล่มสลายเสียนานแล้ว แม้ศึกนี้เจ้าปราชัย แต่กระทั่งยอดภรรยาก็ลำบากหากไร้ข้าวสารให้หุงหา เฉกเช่นกัน เรื่องนี้ยากจะกล่าวโทษเจ้าได้”
หลงถิงเฟยสีหน้าเศร้าสลด กล่าวขึ้นว่า “ล้วนเป็นเพราะข้ามองแผนการของพวกเขามิออก จึงต้องเสียแม่ทัพถานกับทหารหาญจำนวนนับไม่ถ้วน”
จิงอู๋จี๋ยิ้มเศร้า “เรื่องนี้ก็ยากจะโทษเจ้าเช่นกัน มิต้องพูดถึงเจ้า แม้แต่ตัวข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าเจียงเจ๋อผู้นั้นจะใจกล้าเช่นนี้ ถึงขนาดให้แม่ทัพธรรมดาคนหนึ่งประจันหน้ากับเจ้า การที่ฉีอ๋องเชื่อใจเจียงเจ๋อขนาดนี้ก็เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาล่วงหน้าเช่นกัน ข่าวลือที่พวกเราตั้งใจจัดเตรียมก็ถูกเชื้อพระวงศ์ต้ายงสยบไว้ได้ ผู้ใดจะคิดว่าองค์หญิงฉางเล่อผู้บอบบางจะทำให้ขุนนางท้องถิ่นมากมายสงบจิตใจได้อย่างง่ายดาย ยามนี้ฉีอ๋องกับเจียงเจ๋อได้ชัยชนะครั้งใหญ่ครานี้ไปแล้ว หลังจากนี้หากคิดจะใช้การปลุกปั่นอีกคงยากเท่าเหยียบขึ้นฟ้า”
หลงถิงเฟยเอ่ยอย่างขมขื่น “ท่านราชครู แม้หนานฉู่รวมไพร่พลอยู่ตงชวน แต่แม่ทัพลู่บอกชัดแจ้งนัก หากอยากให้หนานฉู่ยกพลออกรบจริงๆ มิง่าย วันนี้คนของหนานฉู่ตั้งแต่บนจรดล่างเหมือนจะยังหวาดหวั่นขวัญผวา แม้แม่ทัพลู่กระสันอยากออกศึกก็เป็นไปมิได้”
จิงอู๋จี๋จับมือหลงถิงเฟยพาเขามาถึงหน้าตั่งนุ่ม แล้วทำท่าให้หลงถิงเฟยนั่งลง จากนั้นเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “เรื่องบางอย่าง ข้าเตรียมการมานานแล้ว วันนี้สมควรบอกเจ้าเสียที ข้าทราบข้อเสียเปรียบของเป่ยฮั่นมาตั้งแต่แรก หากมิอาจทำให้ต้ายงตกอยู่ในสภาพศึกในวุ่นวาย ศึกนอกกล้ำกราย เป่ยฮั่นของพวกเราย่อมไม่มีโอกาสคว้าใต้หล้ามาครอง
ดังนั้นหลายปีมานี้ ข้าจึงเตรียมการไว้ที่หนานฉู่กับแคว้นสู่ ครั้งนี้ลู่ช่านยกทัพประชิดตงชวน เจ้าคิดว่าเขาตัดสินใจเพียงผู้เดียวหรือ ตอนนี้ศิษย์คนหนึ่งของนิกายจันทราแห่งพรรคมารเราเป็นหนึ่งในผู้นำฝ่ายทหารของหนานฉู่ แม้พวกเรามีเป้าหมายคนละสิ่ง แต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ร่วมกันเช่นนี้ย่อมมิพลาดโอกาส หลายปีก่อนข้าติดต่อกับเขาแล้ว ครั้งนี้ลู่ช่านยกทัพประชิดตงชวนก็เพราะข้อเสนอของเขา แม้หมากตานี้มิอาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ แต่อย่างน้อยต้ายงก็คงมิกล้าเคลื่อนย้ายทหารมายังเจ๋อโจว เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมมั่นใจว่าจะปกป้องชิ่นโจวเอาไว้ได้”
หลงถิงเฟยได้ฟังความลับประการนี้ ในใจก็ตกตะลึง แต่ใบหน้ากลับมิแสดงออก เขากล่าวขึ้นว่า “หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์มั่นใจว่าจะพิทักษ์ชิ่นโจวไว้ได้ แต่หากทัพหนานฉู่ทำเพียงตั้งทัพอยู่ไกลๆ ต้ายงอาจใจเด็ดรวบรวมกำลังพลห้าแสนนายมายังเจ๋อโจวก็เป็นได้”
จิงอู๋จี๋หัวเราะตอบว่า “เรื่องนี้แน่นอน แม้ทัพหนานฉู่จะยกทัพทำศึกตอนนี้มิได้ แต่หลังจากสถานการณ์เปลี่ยน ต่อให้ราชสำนักหนานฉู่มิอนุญาต ลู่ช่านก็ไม่มีทางปล่อยโอกาสดีๆ ไป เรื่องนี้ยังมิต้องพูดถึงตอนนี้ เสี้ยนชิ้นนั้นที่ข้าส่งเข้าไปฝังอยู่ภายในต้ายงตอนนี้เริ่มส่งผลแล้ว
ชิ่งอ๋องหลี่คังกลับตงชวนครานี้คงกวาดล้างขุนนางบุ๋นบู๊ที่ตงชวน กักบริเวณคนสนิททั้งหมดของหลี่จื้อจักรพรรดิต้ายงทันที หากมิใช่ไม่กล้าชูธงกบฏอยางโจ่งแจ้ง เขาก็คงสังหารพวกเขานานแล้ว แม้เรื่องนี้ราชสำนักต้ายงยังถูกปิดหูปิดตาอยู่ในกลอง แต่ไม่นานนัก ใจคิดกบฏของชิ่งอ๋องผู้นี้ย่อมยากจะปกปิดอีกต่อไป”
หลงถิงเฟยเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ศิษย์เคยได้ยินองค์หญิงหลินปี้กล่าวว่าชิ่งอ๋องผู้นี้เหมือนจะไม่ถูกกับฉีอ๋อง แต่เขาน่าจะมิมีสิ่งใดผิดใจกับหลี่จื้อ ยามนี้เจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ของราชสำนักต้ายงครองบัลลังก์ได้มั่นคงแล้ว มาก่อกบฏเอาเวลานี้ออกจะประหลาดอยู่บ้าง”
จิงอู๋จี๋เผยรอยยิ้มมีเลศนัย “บางเรื่องเจ้าก็มิทราบ ชิ่งอ๋องหลี่คังในอดีตได้คนถ่ายทอดวิทยายุทธ์กับศาสตร์การวางกลอุบายให้ ในใจเขาเคียดแค้นต้ายงลึกล้ำนัก เด็กคนนั้นเป็นผู้มีอคติและหัวแข็ง แต่เดิมก็ยากทำให้เชื่อง แม้วันนี้ได้ชื่อว่าอยู่เหนือคนนับหมื่น อยู่ใต้คนผู้เดียว แต่ความจริงแล้วในหัวใจของจักรพรรดิต้ายง ฐานะของฉีอ๋องยังสูงกว่าเขาอยู่มาก
หากมิได้เป็นเช่นนั้น บางทีเด็กคนนี้อาจอดกลั้นได้นานกว่านี้อีกสักสองสามปี แต่ตอนนี้ฉีอ๋องมีวี่แววว่าจะได้ยศกลับคืน หลี่คังผู้นี้ย่อมยากจะเสแสร้งแกล้งเป็นคนดีต่อ ทว่าเด็กคนนี้ความคิดลึกซึ้งยิ่งนัก เขาจงใจผูกมิตรกับตระกูลขุนนางแคว้นสู่ในภาคกลาง ซื้อใจกบฏผู้คิดจะฟื้นฟูแคว้นสู่เหล่านั้น แม้เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ของต้ายง แต่อาศัยชาติกำเนิดของเขา กลับทำให้คนเหล่านั้นเชื่อว่าเขากับราชวงศ์ต้ายงมีความแค้นกันลึกล้ำ
ครั้งนี้วังหลังของจักรพรรดิต้ายงเกิดเรื่องก็ด้วยอุบายของเด็กคนนี้ เขายุยงบุตรีที่ตระกูลซือหม่าส่งเข้าวังหลังให้กระทำความผิดมหันต์ หลังจากนั้นบีบบังคับให้ราชวงศ์ต้ายงลอบโบยพระสนมผู้นั้นจนถึงแก่ความตาย แต่เพื่อไว้หน้าชิ่งอ๋อง จึงบอกกับภายนอกเพียงว่าสตรีนางนี้เสียชีวิตกะทันหัน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมอบโอกาสให้ชิ่งอ๋องฉกฉวย
หลี่คังบอกตระกูลซือหม่าว่าเชื้อพระวงศ์ต้ายงมิยินดีรับสตรีจากแคว้นที่ล่มสลายเป็นสนมจึงจงใจทำร้ายบุตรีของพวกเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลขุนนางแห่งแคว้นสู่ย่อมคิดแค้น ครั้งนี้หลี่คังควบคุมตงชวนทั้งหมดไว้ได้อย่างราบรื่นก็เพราะตระกูลขุนนางเหล่านี้ให้ความช่วยเหลือ ยามนี้ต่อให้หลี่จื้อจักรพรรดิแห่งต้ายงทราบเรื่องก็คงมิกล้าลงมือง่ายๆ เพราะไม่ต้องการให้พลาดพลั้งจนเสียการใหญ่ ไม่ต้องการบีบบังคับจนหลี่คังอาจไปสมคบกับหนานฉู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ด้านนอกมีหนานฉู่กับเป่ยฮั่นเป็นศัตรู ด้านในมีชิ่งอ๋องแบ่งแยกดินแดน สถานการณ์ของต้ายงย่อมไม่ดีนักแล้ว”
หลงถิงเฟยอดมิได้ ถามขึ้นว่า “ผู้ที่ถ่ายทอดวรยุทธ์ให้ชิ่งอ๋องคือผู้ใด มีวิธีชักจูงชิ่งอ๋องผ่านเขาหรือไม่ ทำให้เขาเคลื่อนไหวใหญ่โตสักหน่อย”
จิงอู๋จี๋หลุดหัวเราะ “เรื่องนี้ง่ายดายนัก เจ้าไปถามหลิงเซียวดูเถิด”
หลงถิงเฟยหันไปมองต้วนหลิงเซียวก็เห็นเขาอมยิ้มน้อยๆ ดวงตามีประกายความตื่นเต้นฉายวาบ จากนั้นเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อย “ราชครูสายตากว้างไกลจริงแท้ วางแผนการมาหลายปี วันนี้จึงเห็นผล แต่ภารกิจเร่งด่วนยามนี้คือทัพต้ายงหมายบุกชิ่นโจวยามวสันต์ปีหน้า ตอนนี้หนานฉู่ยังดูสถานการณ์อยู่ ชิ่งอ๋องก็ยังไม่ชูธงกบฏ หากพวกเราเป็นหนังหน้าไฟ เกรงว่าจะสูญเสียสาหัส แม้ชนะก็ยากจะได้ประโยชน์อันใด”