ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 67 วางหมากทั่วหล้า (3)
จิงอู๋จี๋ถอนหายใจ เอ่ยว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยมิได้ แม้ชิ่งอ๋องถูกพวกเราชักจูงอยู่ แต่เพราะเขามีจิตใจทะเยอทะยานมากเกินไป หากให้เขากบฏตอนนี้ย่อมเท่ากับให้เขาไปตาย เรื่องเช่นนี้ถึงบอกให้เขาทำ ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ
แม้หนานฉู่มีคนของพวกเราอยู่ แต่ถึงอย่างไรเบื้องบนก็ยังมีเจ้าแคว้นกับอัครมหาเสนาบดี แล้วอำนาจของบิดาบุตรตระกูลลู่ก็มากกว่าเขา เขาไม่มีทางทำการใดมากกว่านี้ได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเขา ผลประโยชน์ของหนานฉู่สำคัญที่สุด แต่เกรงว่าครั้งนี้คงเป็นโอกาสสุดท้ายในการหยุดยั้งต้ายงแล้ว หากปล่อยให้ต้ายงหลุดพ้นวงล้อมไปได้ การรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งก็คงเป็นเรื่องอีกไม่นานเกินรอแล้ว”
ต้วนหลิงเซียวเอ่ยแทรกขึ้นมา “หากคิดขัดขวางต้ายงมิให้เดินทัพยามวสันต์ปีหน้า มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ยามนี้แม่ทัพใหญ่ของแนวรบทางเหนือของต้ายงคือฉีอ๋อง แต่ผู้ที่ทำให้แนวรบทางเหนือมั่นคงดั่งเขาไท่ซานคือฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อ
หากสังหารคนผู้นี้ แนวรบทางเหนือย่อมสับสน ระหว่างจักรพรรดิต้ายงกับฉีอ๋องมิมีผู้ใดคอยปรับความสัมพันธ์ การบุกตียามวสันต์ปีหน้าย่อมแข็งแกร่งแต่เปลือก หากท่านอาจารย์อนุญาต ศิษย์ยินดีหาวิธีปะปนเข้าไปในกองทัพต้ายง ลอบสังหารเจียงเจ๋อ”
หลงถิงเฟยเผยสีหน้ายินดี แต่เมื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างจนหนทาง “เกรงว่าคงทำมิได้ องค์หญิงหลินปี้เคยกล่าวว่าข้างกายเจียงเจ๋อมียอดฝีมือนามเงามารหลี่ซุ่นอยู่ แม้ศิษย์พี่ต้วนวรยุทธ์สูงส่ง แต่คนผู้นี้มีกองทัพต้ายงช่วยเหลือ เกรงว่าศิษย์พี่คงยากลงมือ หากพลาดพลั้ง พวกเราย่อมมิมีโอกาสอีก ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งแม่ทัพซูตายในนครหลวงต้ายง ผู้แซ่หลงก็เจ็บปวดใจเหลือทนแล้ว หากศิษย์พี่ต้วนเป็นอันใดไปอีก ถิงเฟยตายหมื่นหนก็ยากชดใช้ความผิด”
ทันใดนั้น จู่ๆ ชิวอวี้เฟยก็ลุกขึ้น กล่าวว่า “หากแม่ทัพหลงไว้ใจผู้น้อย อวี้เฟยยินดีรับภาระสำคัญครั้งนี้”
ต้วนหลิงเซียวกับหลงถิงเฟยล้วนตกตะลึง ชิวอวี้เฟยหมกมุ่นอยู่กับดนตรี แม้วรยุทธ์โดดเด่นแต่เทียบมิได้กับต้วนหลิงเซียว ถึงขั้นที่เทียบกับซูติ้งหลวนผู้ออกรบบนสมรภูมิมานานปีกับเซียวถงผู้ทำงานอยู่ในกองทัพยามนี้มิได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งเขายังเป็นคนถือดี งานลอบสังหารนี่มิใช่ว่าผู้ใดล้วนทำได้
จิงอู๋จี๋กลับเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งสงบ “อวี้เฟยมีแผนการแล้วหรือ”
ชิวอวี้เฟยกล่าวว่า “ศิษย์ใคร่ครวญแล้ว หากต้องการใช้หอกจริงดาบจริง เกรงว่าศิษย์คงทำมิสำเร็จ วันนั้นยามประลองทำนองดนตรีกับเจียงเจ๋อ แตรสัญญาณของศิษย์ถูกกระแทกจนหัก ย่อมเพราะพลังภายในสู้มิได้ แม้เจียงเจ๋อผู้นั้นอาศัยพลังภายในของผู้อื่นมาขันแข่งกับศิษย์ แต่ก็เห็นได้ว่าพลังภายในของคนผู้นั้นเหนือกว่าศิษย์ ต่อให้ศิษย์พี่ใหญ่ไปก็มิแน่ว่าจะมีโอกาสชนะ ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นอยู่ในค่ายทหาร รอบกายมีองครักษ์ดุจหมู่เมฆ อยากลอบสังหารไฉนง่ายดั่งพูด
เมื่อคิดดูแล้ว มีแต่แฝงตัวไปอยู่ข้างกายคนผู้นั้นจึงจะหาโอกาสลอบสังหารได้ ข้าทราบว่าเจียงเจ๋อผู้นั้นเป็นอัจฉริยะแห่งหนานฉู่ พรสวรรค์ล้ำเลิศ ศิษย์เองคิดว่าตนมีความสามารถ แล้วยังได้ยินมาว่าคนผู้นั้นรักคนมีความสามารถ แม่ทัพที่ประมือกับแม่ทัพหลงในครานี้ก็เป็นเขาที่ผลักดัน
หากข้าเข้าไปในกองทัพของต้ายงได้ อาศัยพรสวรรค์ของศิษย์คงถูกคนผู้นี้เห็นค่าได้ไม่ยาก นานวันเข้า รอความระแวงของเขาลดทอน ศิษย์ย่อมสังหารเขาได้อย่างง่ายดาย เวลานี้เหมันต์ฤดูผืนดินเป็นน้ำแข็ง ทัพต้ายงต้องติดอยู่ที่เจ๋อโจว เป็นจังหวะดีที่สุด ช่วงเวลาหลายเดือนนี้ บางทีศิษย์อาจทำภารกิจให้ลุล่วงได้ ขอท่านอาจารย์โปรดอนุญาต”
จิงอู๋จี๋ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ก็ดี ยามนี้เจ้ามีปมในใจกับเจียงเจ๋อผู้นั้นแล้ว หากสังหารเขาได้ น่าจะทำให้จิตใจของเจ้าฟื้นคืนดังเดิม แต่การจะเข้าใกล้เจียงเจ๋อมิใช่เรื่องง่าย จักรพรรดิต้ายงกับฉีอ๋องใส่ใจคนผู้นี้ยิ่งนัก มิต้องพูดถึงเงามารหลี่ซุ่นที่อยู่ข้างกายเขา แม้แต่องครักษ์ข้างกายเขาก็ล้วนเป็นคนที่จักรพรรดิต้ายงส่งมาด้วยพระองค์เอง อยากเข้าใกล้เขาต้องมีสถานะที่เหมาะสมสักอย่าง แม้หน้าตาและตัวตนของเจ้ามีน้อยคนนักที่รู้จัก แต่หากต้องการเข้าใกล้เจียงเจ๋ออย่างราบรื่น เกรงว่าจะไม่ง่าย เวลาสามเดือนผ่านไปเพียงพริบตาก็หมด มิอาจสิ้นเปลือง”
ชิวอวี้เฟยขมวดคิ้วน้อยๆ เรื่องนี้เขาเองก็ไม่มั่นใจนัก ตอนนี้ต้วนหลิงเซียวจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ขอให้ศิษย์จัดการเรื่องนี้เถิด ศิษย์มีฐานะหนึ่งที่เหมาะสมจะให้ศิษย์น้องหยิบยืมพอดี”
จิงอู๋จี๋ทราบนิสัยจริงจังของเขาจึงมิได้ถามมาก เขาคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็มอบหมายให้พวกเจ้า แม้การลอบสังหารจะไม่นับเป็นแผนการที่ดีอันใดนัก แต่เจียงเจ๋อผู้นี้เป็นพระราชบุตรเขยแห่งราชวงศ์ต้ายง ทั้งยังเป็นเสนาธิการคนสนิทของจักรพรรดิต้ายง สังหารคนผู้นี้ย่อมเป็นเรื่องดีที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง พวกเจ้าจงอย่าได้เลินเล่อ”
ชิวอวี้เฟยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “มีศิษย์พี่ใหญ่ช่วยเหลือ ศิษย์จักต้องทำสำเร็จแน่ หากมิเป็นเช่นนั้น ศิษย์ยินดีสละชีวิต”
จิงอู๋จี๋ ต้วนหลิงเซียว และหลงถิงเฟยต่างขมวดคิ้ว พวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงลางไม่ดีจากคำพูดของชิวอวี้เฟย ต้วนหลิงเซียวกับหลงถิงเฟยมองไปทางจิงอู๋จี๋พร้อมกัน แววตาขอคำปรึกษา
จิงอู๋จี๋ทบทวนนับร้อยตลบ ในที่สุดก็กล่าวว่า “เจ้าจงทำภารกิจอย่างระวัง อย่าได้ละทิ้งชีวิตง่ายๆ” กล่าวจบก็หมุนตัวเดินไปริมราวกั้น มือยกขึ้นไพล่หลังเหม่อมองเมฆหนาวริมขอบฟ้า ในใจคิดว่านี่คงเป็นคราวเคราะห์ที่ชะตาลิขิตมาให้เขา หากมิอาจกำจัดอุปสรรคในจิตใจ ทั้งชีวิตก็ยากจะก้าวหน้าได้อีก มิสู้ตายเสียให้สิ้น
ในใจหลงถิงเฟยนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านราชครู ศิษย์ยังมีอีกเรื่องหนึ่งต้องการขอคำชี้แนะจากท่าน” หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เล่าเรื่องสารลับฉบับนั้น ครั้งนี้เขากลับไปถึงชิ่นโจวก็สั่งให้เซียวถงสังเกตการเคลื่อนไหวของแม่ทัพใต้บัญชาเป็นพิเศษ แต่หลายวันนี้ขบคิดอย่างละเอียดก็รู้สึกว่าจริงลวงก้ำกึ่ง สุดท้ายจึงมาขอคำชี้แนะจากจิงอู๋จี๋
จิงอู๋จี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็มิตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้ามิอาจตอบเจ้าได้ แต่ข้าบอกตามตรง แม้คบหาจนผมขาวโพลน มือยังต้องกุมกระบี่ ข้าไม่มีทางเชื่อผู้ใดง่ายๆ เด็ดขาด แต่เจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้นำเหล่าทหาร หากระแวงมากเกินไปเกรงว่าจะทำร้ายจิตใจผู้ใต้บังคับบัญชา หากเชื่อใจง่ายดายเกินไป ข้าก็กังวลว่าเจ้าจะถูกคนหักหลัง เรื่องนี้มิสู้เจ้าหารือกับท่านเจ้าแคว้นสักหน่อยเถิด”
หลงถิงเฟยฟังแล้วในจิตใจก็สับสน มิทราบว่าที่แท้ทำเช่นไรจึงจะดี
หลงถิงเฟยออกมาจากหอกล้วยไม้ก็นึกได้ว่าครั้งนี้ตนกลับมาจิ้นหยาง เพิ่งได้พบหน้าเจ้าแคว้นไวๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น สมควรเดินทางไปกราบทูลเรื่องราวจึงจะถูกต้อง หลังจากข้ารับใช้เข้าไปแจ้ง เจ้าผู้ครองแคว้นหลิวโย่วก็เรียกเขาเข้าเฝ้าในห้องทรงพระอักษร
หลงถิงเฟยเดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษรก็เห็นเจ้าแคว้นหลิวโย่วทันใด เขารู้สึกเจ็บปวดวูบหนึ่งในหัวใจ หลิวโย่วยังไม่ทันอายุห้าสิบปี เส้นผมก็ขาวเป็นหย่อมๆ เสียแล้ว หากมิใช่ว่าใบหน้ายังมีชีวิตชีวา ไหนเลยจะยังเหลือเค้าความองอาจห้าวหาญในวันวานอยู่ หลงถิงเฟยก้าวเข้าไปคำนับ สะอื้นทูลว่า “ผู้น้อยทรยศความเมตตาของท่านเจ้าแคว้น ขอเจ้าแคว้นลงโทษให้หนัก”
เจ้าแคว้นถอนหายใจแผ่วเบาแล้วยื่นมืออกมาประคองเขา “แม่ทัพหลงเป็นเสาหลักแห่งเป่ยฮั่นของพวกเรา ไฉนข้าจะลงโทษง่ายๆ แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาของการรบทัพจับศึก ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจ หลังวันตรุษท่านก็ต้องกลับไปพิทักษ์ชิ่นโจวแล้ว ข้าหวังว่าท่านจะมิต้องพะวงสิ่งใด ทำศึกอย่างสุดความสามารถเป็นพอ
เป่ยฮั่นของข้าเพิ่งก่อตั้งแคว้นได้ยี่สิบสามปี แต่ตระกูลหลิวของข้าแยกดินแดนแต่งตั้งตัวเองเป็นเจ้าแคว้นได้เกือบเจ็ดสิบปีแล้ว หวนนึกดูมิเคยทำผิดต่อประชาชน ความจริงยามนี้คนเก่งกาจในแว่นแคว้นล้มหายตายจากไปทีละคนๆ ไฉนข้าจะมิรู้ แต่ข้ามิอาจทนมองแผ่นดินตระกูลหลิวตกอยู่ในมือของผู้อื่นจึงได้แต่ลำบากท่านทุ่มเทจนรากเลือด
แม่ทัพหลงโปรดรับการคารวะจากข้า ยามนี้เป็นห่วงเวลาแห่งการตัดสินเป็นตาย ข้าฝากฝังกำลังทหารทั้งแว่นแคว้นไว้กับท่าน หากท่านโชคร้ายแพ้พ่าย ข้ายินดีปลิดชีพตนเพื่อขออภัยขุนนางและประชาชน”
หลงถิงเฟยหยดน้ำตาพรั่งพรูดุจสายฝนแล้วทรุดหมอบบนพื้น มิอาจเก็บกลั้นเสียงแห่งความโศกเศร้าได้อีกต่อไป ในใจไม่คิดเอ่ยเรื่องแม่ทัพใต้บังคับบัญชาอาจมีกบฏอีก เจ้าแคว้นกังวลพระทัยกับเรื่องแว่นแคว้นเช่นนี้แล้ว เขาหักใจเอ่ยต่อมิได้ ในใจกลับตัดสินใจแล้วว่าต่อให้ต้องสังหารผิดพันคน ก็มิอาจปล่อยให้คนทรยศสักคนรอดไปได้
เจ้าแผ่นดินกับขุนนางหารือกันหลายคำ หลงถิงเฟยก็เอ่ยลา เจ้าแคว้นกลับสรวลตรัสว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เจ้ากับปี้เอ๋อร์ผัดผ่อนการแต่งงานมานานมากแล้ว มิสู้พวกเจ้าจัดพิธีให้เสร็จสิ้นก่อนวันตรุษเป็นเช่นไร”
หลงถิงเฟยเงียบครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ยามนี้กองทัพศัตรูประชิดชายแดน กระหม่อมมิต้องการตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน รอแว่นเคว้นสงบสุขสักหน่อยค่อยหารือกันอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นมองแผ่นหลังของหลงถิงเฟย แล้วอดถอนหายใจออกมามิได้ “แม่ทัพหลงจะรักความสมบูรณ์แบบเกินไปหน่อยแล้ว เอาเถิด เรื่องระหว่างบุรุษสตรี ข้าก็มิสะดวกเข้าไปยุ่ง ปี้เอ๋อร์ เจ้าคิดเช่นไร”
ร่างของหลินปี้ก้าวออกมาจากหลังฉากกันลม นางเอ่ยอย่างหม่นหมอง “หัวใจของถิงเฟยผูกติดอยู่กับเรื่องใหญ่ของแว่นแคว้น หลินปี้มีแต่ความเลื่อมใส หวังเพียงเขาจะคว้าชัยมาได้ นับจากนี้มิต้องเก็บความพ่ายแพ้ที่เจ๋อโจวมาใส่ใจอีก”
เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นถอนหายใจพลางมองหลานสาวและพระธิดาบุญธรรมผู้มีสีหน้าเศร้าหมอง จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวใจ ข้าเพียรพยายามดิ้นรนเช่นนี้เพียงเพื่อปกป้องสมบัติพัสถานของตนเอง แต่กลับปล่อยให้เด็กน้อยเหล่านี้ทุกข์ทรมานเช่นนี้ เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยหรือไม่