ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 71 สังหารคนปิดปาก (4)
หลี่หู่จามเสียงดังอีกครั้ง ตามหลักแล้วเขาเป็นคนเป่ยฮั่น ตลอดทั้งปีใช้ชีวิตอยู่ในชิ่นโจวที่หนาวเย็นยิ่งกว่านี้ เดิมมิสมควรเป็นหวัดง่ายดายปานนี้ น่าเสียดายยามนี้เขาเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บหนัก สูญเสียลมปราณไปมากมายย่อมป่วยง่าย แต่หลิงตวนแม้อายุยังน้อย ทว่าพลังภายในฝึกฝนมาอย่างยอดเยี่ยม วันนี้แทบจะเคลื่อนไหวได้ดั่งปกติแล้ว
เวลานี้ท้องนภาเริ่มมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา เสี่ยวซุ่นจื่อผู้ที่ทั้งสองคนหวาดกลัวที่สุดเดินมาหาเจียงเจ๋อแล้วกล่าวว่า “คุณชาย หิมะตกแล้ว กลับกระโจมพักผ่อนสักหน่อยเถิด”
หลิงตวนถูฝ่ามือสองข้างที่เริ่มเย็นเฉียบ พลางเงี่ยหูแอบฟังตำตอบของเจียงเจ๋อ อากาศเย็นเช่นนี้ เขาอยากรีบกลับไปผิงไฟยิ่งนัก เขาได้ยินเสียงบทสนทนาลอยตามลมมาจากไกลๆ “มะรืนครบรอบวันตายของบิดาแล้ว น่าเสียดายข้าระหกระเหินอยู่ข้างนอกมิอาจกลับไปเซ่นไหว้สุสาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าแถวนี้มีวัดที่ใดบ้าง เซ่นไหว้ต่อหน้าพระพุทธองค์สักหน่อยก็ยังดี”
เสี่ยวซุ่นจื่อลังเลครู่หนึ่งก็ตอบว่า “คุณชาย ห่างจากที่แห่งนี้หกสิบลี้มีวัดวั่นฝัวอยู่ แต่เดิมเป็นวัดใหญ่แห่งหนึ่ง ต่อมากองทัพเป่ยฮั่นบุกตีเจ๋อโจวหลายครั้ง วัดแห่งนี้จึงถูกทิ้งร้าง ไม่นานมานี้กองทัพของพวกเราได้ชัย ภายในอาณาเขตเจ๋อโจวจึงมีการบูรณะสถานที่หลายแห่ง วัดวั่นฝัวก็มีพระเข้ามาดูแลแล้ว น่าจะประกอบพิธีได้
ยิ่งไปกว่านั้น ประชาชนเจ๋อโจวก็เชื่อว่านับจากนี้กองทัพเป่ยฮั่นจะมิอาจรุกรานแผ่นดินได้อีก ดังนั้นจากที่แห่งนี้ไปจนถึงวัดวั่นฝัว ตามรายทางจึงเริ่มมีหมู่บ้านกับร้านรวงมาตั้งแล้ว ก่อนเข้าเหมันต์ ถนนหนทางซ่อมบำรุงเสร็จเรียบร้อย หากคุณชายจะเดินทางไปน่าจะมิเป็นปัญหา แต่หลายวันนี้หิมะตกหนักไม่หยุด เกรงว่าคงเดินทางไม่สะดวกนัก”
เพิ่งฟังถึงตรงนี้ ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงหัวเราะกังวานดังลอยมา “สุยอวิ๋น ตากลมตากหิมะทำตนเองทรมานไปไยเล่า” หลิงตวนมองไปก็พบฉีอ๋องสวมอาภรณ์สบายๆ เดินฝ่าหิมะเข้ามา
เจียงเจ๋อก็เห็นฉีอ๋องแล้วเช่นเดียวกัน แต่เขากลับทำหน้าไม่พอใจ กล่าวขึ้นว่า “องค์ชายเสด็จมาถึงนี่ คงมีเรื่องเกี่ยวกับกองทัพอีกแล้ว เจียงเจ๋อเป็นเพียงผู้ตรวจการกองทัพคนหนึ่ง องค์ชายมิจำเป็นต้องมาปรึกษาเจียงเจ๋อเสียทุกเรื่องกระมัง”
ฉีอ๋องหัวเราะตอบว่า “ท่านมีความสามารถถึงเพียงนี้ หากข้ามิรู้จักใช้งาน ไยมิใช่โง่เขลา ข้ามีธุระจะหารือกับท่านจริงๆ” กล่าวจบ เขาก็ลากเจียงเจ๋อเดินเข้าไปในกระโจม
หลิงตวนมองหลี่หู่แล้วยักไหล่ ก่อนจะเดินไปยังกระโจมที่ทั้งสองคนพักอาศัยด้วยกัน เมื่อหลี่เสี่ยนมาถึง ย่อมมีคนให้พวกเขากลับไปพักผ่อนที่กระโจม ดังนั้นครั้งนี้ทั้งสองคนจึงไม่รอคำสั่ง แต่เตรียมกลับกระโจมทันที ทว่ายังไม่ทันเดินไปได้สักกี่ก้าว ก็เห็นจวงจวิ้น องครักษ์คนสนิทข้างกายฉีอ๋องเดินว่องไวเข้ามาหา หลิงตวนหยุดยืน เขาจำจวงจวิ้นได้ เมื่อแรกตกเป็นเชลย จวงจวิ้นเคยมาตรวจดูอาการบาดเจ็บของเขาแทนฉีอ๋อง ดังนั้นหลิงตวนจึงเตรียมตัวจะทักทายเขาสักคำ
จวงจวิ้นเห็นหลิงตวนหยุดฝีเท้า ในใจพลันยินดี เดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงตรงหน้าเขา จากนั้นขยับยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หลิงตวน ข้ามีธุระต้องคุยกับเจ้า ให้เขากลับไปก่อนเถิด”
หลี่หู่ได้ยินคำพูดของเขาก็มิพูดมาก ทิ้งหลิงตวนไว้แล้วกลับไปเอง หลิงตวนรู้สึกว่าประหลาดเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยตอบ “องครักษ์จวง มีเรื่องใดหรือ”
จวงจวิ้นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หลิงตวน เจ้าอยู่กับหลี่หู่ตลอด เคยได้ยินเขาเล่าเรื่องราวตอนดักซุ่มสังหารองค์ชายหรือไม่”
หลิงตวนมึนงงเล็กน้อย “เคยได้ยินเขาเล่าอยู่ แต่เขาเล่าไม่ค่อยเข้าใจนัก”
จวงจวิ้นสีหน้าจริงจังขึ้นกว่าเดิม “เจ้ารู้อะไรมาบ้าง”
หลิงตวนรู้สึกหวาดหวั่นใจ จึงตอบอย่างระแวง “ข้าทราบมาไม่มาก รู้เพียงพวกเขาแบ่งทหารออกตามไล่โจมตี สุดท้ายพ่ายแพ้ที่ป้อมกู้ซาน แพ้เช่นไรเขาเองก็มองไม่เห็น ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ชัดเจน เคยแต่ได้ยินเขาเล่าเรื่องใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพตกน้ำ” เขามิได้ปิดบัง เรื่องเหล่านี้เกรงว่าจวงจวิ้นคงทราบมากกว่าตนเสียอีก
จวงจวิ้นเหมือนจะถอนหายใจแล้วคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถิด จริงสิ เจ้ากับข้ามิพบหน้ากันหลายวัน ถือโอกาสที่องค์ชายกับใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพหารือเรื่องในกองทัพกันอยู่ พวกเราสนทนากันสักหน่อยเถิด พักนี้เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
หลิงตวนฉุกใจคิดบางสิ่ง เมื่อเห็นจวงจวิ้นเหลือบมองไปยังกระโจมที่อาศัยของตนคล้ายเจตนาแต่ไม่เจตนา ความคิดหนึ่งก็พลันผุดขึ้นมา จวงจวิ้นต้องการยื้อตนไว้ที่นี่ แล้วยังถามตนว่าหลี่หู่เคยเล่าอะไร หรือว่าจะทำเพื่อไม่ให้เขาไปขัดขวางเรื่องอันใด
ในใจเขาเริ่มร้อนรน บอกปัดจวงจวิ้นอย่างขอไปทีแล้วหมุนตัววิ่งไปยังกระโจม ทันใดนั้นองครักษ์ของฉีอ๋องสองนายก็เข้ามาขวางทางไว้ หลิงตวนตัดสินใจ ขวานปากไก่เล่มสั้นถูกชักออกมา แม้อาการบาดเจ็บของเขาเพิ่งหายดี พละกำลังยังไม่มาก แต่วิชาใช้ขวานปากไก่ที่เรียนมาจากถานจี้มิธรรมดา เพียงสองสามกระบวนท่า องครักษ์คนหนึ่งก็ถูกบีบให้ถอยออกไปก้าวหนึ่ง หลิงตวนพุ่งไปยังกระโจม เวลานี้เอง จวงจวิ้นจึงตะโกนสั่ง “ปล่อยเขาไปเถิด”
หลิงตวนพุ่งกลับมาถึงกระโจมก็เห็นหลี่หู่หมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น องครักษ์สองนายของฉีอ๋องกำลังจะลากหลี่หู่ออกจากกระโจม หลิงตวนตกใจมาก แม้ทราบว่าไม่มีประโยชน์ แต่ก็ยังเข้าไปขวางทั้งสองคนไว้ ขวานปากไก่เล่มสั้นในมือสั่นเบาๆ เขารู้ดีว่าหากฉีอ๋องต้องการสังหารหลี่หู่จริงๆ ตนก็ทำอันใดมิได้ แต่หลายวันที่ผ่านมา หลิงตวนปล่อยวางบุญคุณความแค้นระหว่างถานจี้กับสืออิงลงแล้ว ในความคิดของเขา สืออิงน่าชังอีกเท่าใดก็มิเกี่ยวข้องกับหลี่หู่ บุรุษอกสามศอกผู้ตรงไปตรงมาเช่นนี้ จะให้ตนเบิ่งตามองเขาตายจากไป ในใจอย่างไรก็ยอมมิได้
เวลานี้เอง จวงจวิ้นก็พาองครักษ์หลายนายก้าวเข้ามาช้าๆ ราชองครักษหู่จีที่อยู่ในกระโจมสองฝั่งก็รุมเข้ามา มองดูสถานการณ์ประหลาดนี้ด้วยความสงสัยใคร่รู้
จวงจวิ้นถอนหายใจ กล่าวว่า “หลิงตวน เรื่องของหลี่หู่มิเกี่ยวข้องกับเจ้า ฉีอ๋องออกคำสั่งกองทัพแล้ว เขาอยู่ในรายชื่อผู้ต้องประหารตัดศีรษะ เจ้าอย่าเข้ามายุ่งเลย”
หลิงตวนสีหน้าดุร้าย ลมหายใจเริ่มหอบหนัก แต่กลับกำขวานปากไก่แน่นแล้วกล่าวว่า “พวกเราเดิมก็เป็นเชลย ความเป็นความตายมิอาจกำหนดด้วยตนเอง พวกท่านอยากสังหารก็สังหารเสีย แต่หากคิดจะพาตัวหลี่หู่ไปก็ต้องสังหารข้าก่อน ถึงอย่างไรข้าก็คิดจะติดตามแม่ทัพถานไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
จวนจวิ้นเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าอยากช่วยคนก็ผ่านด่านข้าไปก่อนเถิด” กล่าวจบหนึ่งฝ่ามือพลันโจมตีเข้าใส่หลิงตวน หลิงตวนสวนกลับสุดกำลัง ทั้งสองคนประมือกันสิบกว่ากระบวนท่า หลิงตวนก็หอบแฮ่ก เมื่อผ่านไปอีกสองสามกระบวนท่าก็ถูกหนึ่งฝ่ามือของจวงจวิ้นโจมตีจนล้มลง
จวงจวิ้นถอนหายใจ “เรื่องวันนี้ ข้าจะทำเสมือนมิเคยเกิดขึ้น เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด” กล่าวจบก็โบกมือ องครักษ์สองนายลากหลี่หู่ที่เกือบหมดสติออกไปด้านนอก หลิงตวนดวงตาแทบปริแยก แต่มิอาจขยับตัวลุกขึ้น ถึงอย่างไรเขาก็ยังอายุน้อย ดวงตาทั้งสองข้างจึงเริ่มมีม่านน้ำพร่ามัวปกคลุม
เวลานี้เอง ราชองครักษ์หู่จีสองนายก็หน้าเขียวเดินเข้ามาขวาง “องครักษ์จวง มาครานี้ได้รับบัญชาจากใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพหรือไม่ สองคนนี้ใต้เท้ารับมาดูแลเองแล้ว หากมิมีคำสั่ง ขออภัยที่พวกข้ามิอาจปล่อยให้พวกท่านพาตัวหลี่หู่ไปตามใจ”
จวงจวิ้นประสานมือตอบว่า “องค์ชายประทับอยู่ในกระโจมกับใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพ เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก ใต้เท้าย่อมมิขัดขวางแน่”
ราชองครักษ์หู่จีผู้นั้นตอบอย่างเย็นชา “ข้าส่งคนไปแจ้งใต้เท้าแล้ว หากใต้เท้ามีคำสั่งลงมา พวกข้าย่อมมิยุ่ง”
ตอนนี้เอง ราชองครักษ์หู่จีผู้หนึ่งก็รีบร้อนวิ่งมาจากกระโจมของเจียงเจ๋อ แล้วกระซิบข้างหูคนผู้นี้หลายประโยค หลิงตวนได้ยินรางๆ คนผู้นั้นกล่าวว่า “ดักซุ่มสังหาร…มิอาจแพร่งพราย…สังหารคนปิดปาก”
แม้ขาดเป็นห้วงๆ แต่หลิงตวนก็กระจ่างใจแล้ว ดูท่าหลี่หู่จะถูกจัดอยู่ในรายชื่อผู้ที่จำเป็นต้องปิดปากเพราะความลับบางประการ เรื่องใดกัน แม้แต่คนตำแหน่งต่ำต้อยเช่นนี้ยังต้องปิดปาก คำถามคลุมเครือของจวงจวิ้นเมื่อครู่หวนกลับมาในสมองอีกครั้ง หลิงตวนเบิ่งตามองหลี่หู่ถูกลากออกไป หัวใจเจ็บปวดแสนสาหัส ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็ดับมืด หมดสติไป