ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 79 ทีละก้าว (2)
ชิวอวี้เฟยถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผืนผ้า ทันใดนั้นหูก็พลันได้ยินเสียงหายใจเลือนราง ชิวอวี้เฟยตระหนก หรือจะมีผู้ใดแอบฟังอยู่ด้านนอก แต่เมื่อครู่เหตุใดจึงมิรู้สึกสักนิด ในเมื่อคนผู้นั้นหลบพ้นหูของตนแล้ว เหตุใดยามนี้กลับถูกตนสังเกตพบได้อีก เขาแสร้งทำเป็นจับสังเกตไม่ได้ จากนั้นก็สวมเสื้อตัวนอกแล้วกล่าวว่า “ไปคารวะใต้เท้าเจียงก่อน เจ้ากับตาเฒ่าชุยเตรียมสัมภาระให้เรียบร้อย วันนี้พวกเรายังต้องเร่งเดินทางอีก”
กล่าวจบเขาก็แสร้งมิทราบว่าด้านนอกมีคนแล้วผลักประตูห้องออกไป จึงได้เห็นสามเณรน้อยรูปหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลดังคาด สีหน้าอีกฝ่ายคล้ายกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นชิวอวี้เฟยเดินออกมาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วกล่าวว่า “เณรมีนามว่าจิ้งเสวียน รับคำสั่งเจ้าอาวาสมาขอพบประสกเกา”
เกาเหยียนเบาใจ ทราบแล้วว่าจิ้งเสวียนผู้นี้คงมิกล้าออกปากขอเข้าพบเพราะจินจืออยู่ในห้องของตน จึงสงบรอคอยอยู่ตรงนั้น แต่สามเณรน้อยรูปนี้วรยุทธ์มิใช่ชั่ว เขาประเมินจิ้งเสวียนผู้นี้อย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก็เห็นว่าแม้เขาจะอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปี แต่ดวงหน้าเคร่งขรึม กิริยาหนักแน่น มีบรรยากาศเช่นพระชั้นสูง เกาเหยียนมิต้องการเสียมารยาท จึงเอ่ยว่า “มิทราบว่าท่านเจ้าอาวาสมีสิ่งใดชี้แนะ”
จิ้งเสวียนตอบ “เช้าวันนี้ฉู่เซียงโหวโกรธจัด กำลังลงโทษองครักษ์ข้างกาย เรื่องเหล่านี้เดิมทีมิสมควรให้ลูกศิษย์ในวัดเข้ามายุ่ง แต่ท่านเจ้าอาวาสกังวลว่าท่านโหวอาจโกรธจนทำผิดศีลข้อห้ามฆ่าสัตว์ ท่านเจ้าอาวาสทนมิได้จึงต้องการเชิญคุณชายเดินทางไปเกลี้ยกล่อม ท่านโหวปฏิบัติต่อคุณชายเสมือนหนึ่งสหายสนิท คิดว่าคงจะไว้หน้าเป็นแน่”
คราวนี้ชิวอวี้เฟยประหลาดใจขึ้นมาแล้ว เหตุใดเจียงเจ๋อจึงโกรธจัดเช่นนั้น หรือจะเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น เขาเอ่ยกับจิ้งเสวียน “ข้ากับท่านโหวเป็นคนแปลกหน้าที่พบกันระหว่างทาง ข้าได้รับความเมตตาจากท่านโหวจึงได้รับการปฏิบัติเยี่ยงสหายสนิท แต่ท่านโหวมีภาระหน้าที่เป็นผู้ตรวจการกองทัพ เกรงว่าเหตุการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับความลับทางการทหาร ข้ามิสะดวกสอดมือเข้ายุ่ง แต่หากเป็นไปได้ ข้าก็จะไม่วางเฉย สามเณรน้อยเชิญนำทางเถิด”
เมื่อจิ้งเสวียนนำทางจนเดินไปถึงเรือนพักที่เจียงเจ๋ออาศัย ชิวอวี้เฟยก็ตกตะลึง เขาเห็นประตูเรือนรับรองเปิดกว้าง องครักษ์ร้อยกว่านายยืนกระจัดกระจายล้อมรอบเรือนรับรอง แม้พวกเขาล้วนแต่งชุดธรรมดา แต่กลับมีไอสังหารหนักหน่วง ท่าทางน่าเกรงขามชวนหวาดหวั่น ส่วนเจียงเจ๋อสวมเสื้อขนสัตว์อ่อนนุ่ม ยืนมือไพล่หลังอยู่บนขั้นบันได สีหน้าเย็นยะเยือก องครักษ์หลายคนคุกเข่าอยู่ด้านล่างของบันได เสี่ยวซุ่นจื่อกับฮูเหยียนโซ่วแยกกันยืนอยู่ฝั่งซ้ายขวาของเจียงเจ๋อ เสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าเย็นชา ส่วนฮูเหยียนโซ่วสีหน้ากลัดกลุ้ม ชิวอวี้เฟยผ่อนฝีเท้าลงเพราะต้องการดูสถานการณ์สักหน่อย
เวลานี้เอง เขาก็ได้ยินเจียงเจ๋อเอ่ยเสียงเย็นชา “จ้าวเหวยอี้ ข้าเคยสั่งให้เจ้าตั้งใจจับตาหลิงตวน เจ้าตั้งใจอย่างไรกันจึงถูกเด็กน้อยคนหนึ่งสกัดจุดไว้ได้ แม้หลิงตวนผู้นั้นรู้สิ่งใดไปมิมาก แต่หากเขาหนีกลับเป่ยฮั่นสำเร็จแล้วมีผู้ชาญฉลาดสักคนมองเงื่อนงำอันใดออก ไฉนมิใช่ทำลายการใหญ่ของกองทัพเรา เรียกคนมา ลากจ้าวเหวยอี้ออกไปลงโทษหนักโบยสามสิบไม้ หลังจากนั้นไล่กลับฉางอัน ให้ฝ่าบาทลงโทษเขา”
องครักษ์ด้านข้างได้ยินคำสั่งก็ลากองครักษ์คนหนึ่งออกไปด้านข้างด้วยท่าทางดุดันประหนึ่งพยัคฆ์ โบยลงโทษต่อหน้าธารกำนัล แม้องครักษ์ผู้นั้นถูกโบยจนเลือดเนื้อสาดกระเซ็น แต่กลับมิกล้าร้องโอดโอย เพียงกัดฟันข่มกลั้นไว้
ข้ารู้นานแล้วว่า ‘เกาเหยียน’ ยืนอยู่นอกประตูเรือน แววตาข้าซ่อนอารมณ์หลากหลาย หัวใจเกิดเสียดายอย่างอดมิอยู่ มิใช่ข้าไม่เคยคิดหลอกตนเองว่าเกาเหยียนผู้นี้คือองค์ชายแห่งเกาลี่ แต่เมื่อมีช่องโหว่เรื่องพิณ ‘สี่เฉิน’ เป็นอย่างแรก ผนวกรวมกับเมื่อวานยามมอบตำราให้ข้าหยั่งเชิงซ้ำหลายครั้ง แม้เขาแสดงออกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าสุดท้ายในถ้อยคำก็เปิดเผยร่องรอยออกมา
องค์ชายจากเกาลี่ผู้ตกยากคนหนึ่ง ผู้ที่หลงใหลในพิณคนหนึ่ง หากมิได้เกี่ยวพันกับตัวเขาอย่างลึกซึ้ง เขาจะสนใจเรื่องราวในจงหยวนปานนี้ได้เช่นไร แม้จะปิดบังอย่างมีชั้นเชิงอีกเท่าใดก็หลบมิพ้นดวงตาที่ตั้งใจสังเกต
ข้าเสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ‘เกาเหยียน’ สายตาเลื่อนมาจบบนร่างองครักษ์คนที่เหลือ ขณะที่สีหน้าเผยความลังเล คล้ายกำลังครุ่นคิดว่าจะลงโทษพวกเขาเช่นไร เวลานี้เอง สายตาของฮูเยียนโซ่วก็เคลื่อนมาจับบนร่าง ‘เกาเหยียน’ อย่างเหมาะเจาะ เขาเผยสีหน้ายินดีออกมาเลือนรางแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้า คุณชายเกามาขอรับ”
ข้าได้ยินคำรายงานของฮูเหยียนโซ่วก็แสร้งเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีคนมาหา ข้าเงยหน้าขึ้นมอง หลังจากเห็น ‘เกาเหยียน’ จึงผ่อนสีหน้าลงเล็กน้อย แล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ที่แท้ซวี่จือมานี่เอง ข้ากำลังลงโทษองครักษ์อยู่ ขายหน้าซวี่จือแล้ว”
ชิวอวี้เฟยก้าวเข้าไปคำนับแล้วกล่าวว่า “ข้ารบกวนสหายเจียงยามจัดการงานในกองทัพแล้ว มิทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น สหายเจียงจึงเดือดดาลเช่นนี้”
ข้าทำท่าบอกให้เขาเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ซวี่จือ บางครั้งความเมตตาใจอ่อนก็มีไม่ได้จริงๆ หลายวันก่อนฉีอ๋องปราบกองทัพเป่ยฮั่นของถานจี้ที่เมี่ยวพัว ลูกน้องใต้บัญชาของแม่ทัพถานล้วนสิ้นชีพแทบทั้งหมด เหลือเพียงหลิงตวนทหารม้ากุ่ยฉีนายหนึ่งที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ ข้าเห็นว่าเขาอายุยังน้อย ทั้งยังเป็นองครักษ์คนสนิทข้างกายแม่ทัพถาน จึงตัดใจให้เขาไปทรมานทำงานหนักในค่ายไม่ลง ด้วยเหตุนี้จึงใช้ไม้อ่อนและไม้แข็งดึงเขามาทำงานข้างกาย
แม้เด็กคนนี้มักมีท่าทีเฉยชา แต่ข้าก็มิเก็บมาใส่ใจ ตรงกันข้ามกลับชื่นชมความจงรักภักดีและกล้าหาญของเขา มิปรารถนาจะทำร้ายเขาอีก คิดเสมอว่าผ่านไปหนึ่งถึงสองปี หลังจากปราบเป่ยฮั่นสำเร็จแล้วจะมอบอิสระให้แก่เขา คิดไม่ถึงเด็กหนุ่มผู้นี้กลับมิรู้จักดีชั่ว เมื่อคืนวานกลับลักลอบหนีออกไปใต้การจับตามองขององครักษ์
แม้ข้าระวังมิให้เขายุ่งเกี่ยวกับความลับทางการทหารไว้แล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ข้างกายข้ามาหลายวัน เกรงว่าคงทราบเรื่องที่มิควรทราบอยู่บ้าง ท่านว่าองครักษ์เหล่านี้ไร้ประโยชน์หรือไม่ จึงปล่อยให้เด็กน้อยที่ยังไม่ทันก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่คนหนึ่งหนีรอดไปใต้หนังตาของพวกเขา
วันนั้นก่อนที่ท่านกับข้าจะพบกันครั้งแรก เด็กคนนี้ก็ถูกเสียงพิณของซวี่จือกระตุ้นจนคิดหมายลอบสังหารข้า หากมิใช่ข้าเห็นใจที่เขายังมิอาจขจัดจิตชั่วร้ายได้หมด ก็คงมอบความตายให้เขาแล้ว ซวี่จืออาจยังจำเขาได้”
ชิวอวี้เฟยตกตะลึง แต่มิกล้าเผยสีหน้าออกมา วันนั้นยามเขากับเจียงเจ๋อพบกันครั้งแรก เขาเคยเห็นภาพที่หลิงตวนคุกเข่าขออภัยก็จริง แต่ยามนั้นเขามิได้ใส่ใจ เวลานี้เมื่อนึกย้อนกลับไป เด็กหนุ่มผู้นั้นมีสีหน้าดื้อรั้น แม้คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ยังแสดงท่าทางมิยอมจำนน คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคือองครักษ์คนสนิทของถานจี้ แล้วยิ่งคิดไม่ถึงว่าเจียงเจ๋อจะเก็บเด็กหนุ่มผู้นั้นไว้ข้างกาย
ชิวอวี้เฟยสงบสติครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจำหลิงตวนผู้นั้นได้จริงๆ แต่ท่านโหวทำเช่นนี้ ข้าคิดว่ามิเหมาะสม ท่านโหวเป็นถึงผู้ตรวจการกองทัพแห่งค่ายใหญ่เจ๋อโจว ฐานะสำคัญเพียงไหน ในเมื่อหลิงตวนมีฐานะเช่นนี้ ท่านโหวก็มิควรให้เขาอยู่ใกล้ตัว แม้วันนี้ตำหนิลูกน้องจะไม่มีสิ่งใดผิด แต่ท่านโหวทำพลาดอยู่ก่อน ตามเหตุผลแล้วจึงมิสมควรลงโทษพวกเขาหนักหนาเกินไป”
ข้าฟังคำเกลี้ยกล่อมของเขาแล้ว ในใจก็ขบคิด เขาก็กล่าวมิผิด หากมิใช่ว่าเดิมทีข้าต้องการใช้ประโยชน์จากหลิงตวน เรื่องนี้ข้าก็เป็นฝ่ายผิดมากกว่า ข้ายิ่งนึกชมชอบ ‘เกาเหยียน’ ผู้นี้ เขาพิจารณาเรื่องราวได้กระจ่างแจ้ง กล่าววาจาอย่างมีชั้นเชิง เกลี้ยกล่อมอย่างชำนาญ น่าเสียดายเขาเป็นมือสังหารของเป่ยฮั่น มิอาจเก็บไว้ข้างตัว
ข้าแสดงสีหน้าเหมือนถูกโน้มน้าวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ซวี่จือกล่าวมีเหตุผล นี่เป็นความผิดพลาดของข้าเอง เอาเถิด แม้จ้าวเหวยอี้มีความผิด แต่การโบยสามสิบครั้งก็เพียงพอชดใช้ความผิดแล้ว มิจำเป็นต้องส่งกลับไป จ้าวเหวยอี้ เจ้ายินยอมหรือไม่”
อาภรณ์ท่อนล่างของจ้าวเหวยอี้มีแต่โลหิต เขาได้สหายร่วมรบประคองเข้ามา ก่อนจะลงไปคารวะตอบว่า “ผู้น้อยเลินเล่อปล่อยให้โจรน้อยผู้นั้นหลบหนี ถูกลงโทษย่อมเป็นเรื่องสมควร คุณชายเกาช่วยขอความเมตตาจนใต้เท้าให้อภัย อนุญาตให้ผู้น้อยสร้างความชอบชดใช้ความผิด ผู้น้อยซาบซึ้งยิ่งนัก”
ข้ามองรอยเลือดบนร่างเขาแล้วเอ่ยอย่างละอายใจ “เมื่อครู่ข้าถูกโทสะครอบงำ ทำให้เจ้าทรมานแล้ว ออกไปทายารักษาบาดแผลให้ดีเถิด ส่วนเรื่องการตามจับหลิงตวน แม้จะสำคัญ แต่มิจำเป็นต้องให้พวกเจ้าทำ อีกประเดี๋ยวส่งคนกลับไปค่ายใหญ่ ขอให้ฉีอ๋องออกคำสั่งกองทัพจับกุมตัวคนผู้นี้
ทว่าถึงแม้เด็กคนนี้จะมิรู้จักบุญคุณ แต่ข้าชื่นชมความภักดีของเขา อย่างไรก็พยายามจับเป็นเถิด ซวี่จือ ขายหน้าท่านแล้ว มิสู้ร่วมรับประทานอาหารกับข้าสักมื้อ อีกประเดี๋ยวก็จะออกเดินทางแล้ว”
ชิวอวี้เฟยค้อมกายคำนับ กล่าวว่า “มิกล้าปฏิเสธ ตำราพิณมิมีสิ่งใดเสียหาย ขอใต้เท้าโปรดรับคืน” กล่าวจบสองมือก็ประคองตำราพิณส่งให้อย่างจริงจัง
ข้ารับตำราพิณมาจากมือเขา ในใจทอดถอนใจ ทราบว่านับจากนาทีนี้ต้องระวังการลอบสังหารของเขาตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เมื่อตำราพิณแตะถึงมือ ข้าพลันส่งตำราพิณให้เสี่ยวซุ่นจื่อทันที เสี่ยวซุ่นจื่อก็ฉวยโอกาสเข้ามาประชิดข้า ป้องกันมิให้ ‘เกาเหยียน’ ฉวยโอกาสลอบสังหารได้