ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 84 รอดตาย (2)
สามเณรน้อยหลายรูปก้าวเข้ามาพยุงพลางถามอย่างตกใจ “ศิษย์พี่บาดเจ็บเป็นเช่นไร”
จิ้งเสวียนตอบว่า “ไม่เป็นอันใด เพียงเก็บตัวสักสองสามวันแล้วมีพวกเจ้าช่วยเหลือ ก็คงไม่เป็นอันใดแล้ว”
สามเณรน้อยรูปหนึ่งเอ่ยอย่างเคียดแค้น “หากศิษย์พี่ยอมทำตามข้อเสนอของพวกเรา สู้แลกชีวิตกับศิษย์พรรคมารผู้นั้นก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาส ไยต้องลำบากกล้ำกลืนความอัปยศเช่นนี้ด้วยเล่า”
จิ้งเสวียนเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ศิษย์น้องยังมิทราบความร้ายกาจ ข้าเห็นแล้วว่าวรยุทธ์ของคนผู้นี้ก้าวหน้าขึ้นมาก เกรงว่าคงข้ามพ้นขอบขั้นสามัญแล้ว ศิษย์น้องอาจมิทราบ เมื่อบรรลุถึงขั้นนั้น พลาดเพียงหนึ่งก้าว ผลต่างกันพันลี้
หากหลายวันก่อนไม่มีประสกเงามารหลี่ซุ่นอยู่ เกรงว่าต่อให้มีคนมากอีกเท่าใดก็ไม่แน่ว่าจะขวางเขาจากการลอบสังหารเจียงโหวได้ วันนั้นเขาน่าจะยังไม่บรรลุถึงระดับในวันนี้ หากมิใช่ท่านหลี่ถูกเจียงโหวห้ามเอาไว้ เกรงว่าผู้ที่ตายในวันนั้นก็คงมีคุณชายชิวผู้นี้อยู่ด้วย”
สามเณรน้อยทั้งหลายฟังแล้วแม้จะยังคงรู้สึกไม่ยินยอม แต่พวกเขาก็เชื่อฟังจิ้งเสวียนมาตลอด จึงมิพูดอันใดมากอีก ประคองจิ้งเสวียนไปรักษาตัว มิได้ทราบว่าจิ้งเสวียนอุทานอย่างตกตะลึงอยู่ในใจ ท่านเจียงช่างประหนึ่งเทพเซียน แม้แต่เรื่องในวันนี้ก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขา
ความจริงวันนั้นหลังจากราชองครักษ์หู่จีกลับมารายงานว่าค้นหาโดยรอบบริเวณยี่สิบลี้แต่ไม่พบร่องรอยของชิวอวี้เฟย ข้าก็ขบคิดหลายตลบแล้วไปพบเจ้าอาวาสฉือหย่วน ให้เขารอคำสั่งกองทัพของค่ายใหญ่ที่จะมาถึงสองสามวันหลังจากนี้ จากนั้นให้เขาพาศิษย์ส่วนใหญ่ออกจากวัดวั่นฝัว
ข้าคิดว่าชิวอวี้เฟยบาดเจ็บหนักต้องเดินทางไกลมิไหวแน่ แต่รอบด้านเป็นทุ่งร้างอันกว้างใหญ่ คนของพรรคมารชำนาญวิชาเก็บซ่อนร่องรอย หากจะตามหาก็คงตามหามิพบ ข้าจึงคาดการณ์ว่าหลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว คนผู้นี้คงย้อนกลับมายังวัดเพื่อชิงเสบียงกับสัมภาระเป็นแน่ มิเช่นนั้นเหมันต์หนาวเหน็บ เขาจะเดินทางเช่นไร
หากวัดวั่นฝัวเหลือคนอยู่มากเกินไป ข้ากังวลว่าเขาจะก่อเภทภัย พระเหล่านี้แม้จะเก่งกาจ แต่หากชิวอวี้เฟยลงมือโหดเหี้ยมขึ้นมาจริง อย่างน้อยก็ต้องมีสามเณรน้อยตายหลายรูป ใจข้าไม่ต้องการให้ชิวอวี้เฟยสร้างบาปเช่นนั้นและผูกแค้นกับวัดเส้าหลิน อีกด้านหนึ่งก็หวังว่าเขาจะกลับเป่ยฮั่นได้อย่างราบรื่น ดังนั้นจึงเหลือแต่สารเณรน้อยไม่กี่รูปไว้รอเขา แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาสังหารคนปิดปาก เก็บซ่อนร่อยรอย ข้าจึงจงใจขอให้ฉือหย่วนต้าซือเลือกลูกศิษย์ที่รู้จักยืดหยุ่นสักคนหนึ่งทิ้งไว้เฝ้าวัด เพื่อจะส่งชิวอวี้เฟยจากไปด้วยดี
จิ้งเสวียนก็คือผู้ล่วงรู้แผนการที่ถูกเลือก เขาคาดเดาได้อยู่เลือนรางว่าทุกเหตุการณ์ในวัดวั่นฝัวล้วนแต่เป็นกับดักที่เจียงเจ๋อวางแผนไว้ ทว่าถึงแม้เขาจะคอยสังเกตเหตุการณ์ทั้งหลายอยู่ แต่ก็หาช่องโหว่อันใดมิพบ รู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นอย่างที่สมควรเป็น ชิวอวี้เฟยเป็นลูกศิษย์ของประมุขพรรคมารและเป็นคนที่จิ้งเสวียนนึกหวั่นกลัวอย่างยิ่ง ทว่าเขากลับร่วงลงมาในกับดักแต่มิรู้ตัว
ขณะที่ในใจของจิ้งเสวียนหวาดกลัว เขาก็ระมัดระวังการกระทำและคำพูด มิกล้าเผยพิรุธออกมาแม้แต่น้อย โชคดีที่ปิดบังสายตาของชิวอวี้เฟยมาได้ รักษาชีวิตและทำตามคำสั่งของอาจารย์ได้สำเร็จ ระหว่างที่หัวใจเขายังไม่หายหวาดผวา เขาก็อดนึกเลื่อมใสฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อมิได้ ในใจเริ่มเข้าใจว่าในอดีตยามอยู่ในวัดเส้าหลิน เหตุใดเจ้าอาวาสกับอาจารย์ลุงฉือเจินจึงกล่าวชื่นชมคนผู้นี้ไว้มากยิ่งนัก แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างหวั่นเกรงเขา จนขบคิดวางแผนการเพื่อรับบุตรรักของคนผู้นี้เป็นศิษย์ บุคคลเช่นนี้ เป็นสหายด้วยได้ เป็นศัตรูด้วยมิได้เป็นอันขาด!
หลังชิวอวี้เฟยออกจากวัดวั่นฝัวก็มุ่งตรงขึ้นเหนือไปยังชายแดนของเป่ยฮั่น เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับภูมิประเทศ แม้กองทัพต้ายงออกค้นหาขนานใหญ่ทั่วทุกหนแห่ง แต่เขาก็ยังหาทางเส้นน้อยลัดเลาะผ่านไปได้ เพียงแต่ขี่ม้ามิได้เท่านั้น แม้การเดินทางครั้งนี้จะยากลำบาก แต่วรยุทธ์ของชิวอวี้เฟยเพิ่งจะก้าวผ่านคอขวดมาได้ ความยากลำบากและบรรยากาศกดดันเช่นนี้จึงยิ่งทำให้วรยุทธ์ขอบขั้นใหม่มั่นคงยิ่งขึ้น
กองทัพต้ายงมิได้ล้อมจับอย่างเอิกเกริก เพียงเพิ่มการตรวจตราบริเวณด่านแต่ละแห่งเท่านั้น ชิวอวี้เฟยสัมผัสได้ว่าแม้ท่าทีภายนอกจะหละหลวม แต่ภายในเฝ้าระวังเข้มงวด ดูท่าการลอบสังหารครานี้ของตนจะทำให้กองทัพต้ายงโกรธแค้นยิ่งนักจริงๆ แต่สำหรับชิวอวี้เฟยผู้วรยุทธ์รุดหน้าก้าวใหญ่ แม้จะต้องระวังเพิ่มสักเล็กน้อย แต่การอ้อมวงล้อมดักจับอันแน่นหนาก็มิใช่เรื่องยากลำบาก หากเป็นตัวเขาก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงจะพบอันตรายทุกย่างก้าว แม้เป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังใช้เวลาสิบกว่าวันจึงจะบุกป่าฝ่าดงข้ามหมู่เขาเข้ามาในชิ่นโจวสำเร็จ
ออกจากเขามาได้ไม่ไกล ชิวอวี้เฟยก็พบร้านค้าชายป่าร้านหนึ่ง เดิมทีเป็นแหล่งพบปะของบรรดานายพรานบนภูเขา แม้ร้านจะซอมซ่อแต่กลิ่นสุราหอมอบอวล กลิ่นอาหารป่าก็ฟุ้งตลบ ยามชิวอวี้เฟยเดินเข้าไปในร้าน นอกจากสองสามีภรรยาผู้ดูแลร้าน ภายในร้านก็มีเพียงนายพรานสองคนกำลังดื่มสุราอยู่ เมื่อเห็นชิวอวี้เฟยเข้ามา พวกเขาต่างมีสีหน้าประหลาดใจ แม้ชิวอวี้เฟยจะเปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ธรรมดาแล้ว ทั้งสภาพยังมอมแมมดูไม่ได้เพราะบุกป่าข้ามเขามา แต่หน้าตากับบรรยากาศรอบตัวก็ยังคงนับว่าหาได้ยาก คนเหล่านี้จะไม่ประหลาดใจได้เช่นไร
ชิวอวี้เฟยคร้านจะสนใจพวกเขา โยนเศษก้อนเงินชิ้นหนึ่งให้แล้วสั่งว่า “เอาสุราดีมาสักไห แล้วก็กับแกล้มสักสองสามอย่าง”
ผู้ดูแลร้านคนนั้นรีบยกไหสุรามา ภรรยาของผู้ดูแลร้านก็ยกอาหารป่ามาอย่างแข็งขัน อยู่ที่นี่ยากนักจะได้พบลูกค้ากระเป๋าหนักเช่นนี้
ชิวอวี้เฟยวางใจแล้ว เมื่อกลับมาถึงอาณาเขตของเป่ยฮั่น หัวใจก็ผ่อนคลายลง แต่ก็อดเศร้าหมองเล็กน้อยมิได้ เขาล้มเหลวกลับมาครั้งนี้ รู้สึกอับอายขายหน้าอยู่บ้าง ในใจกลัดกลุ้มจนทนมิไหว จึงอาศัยสุราคลายความทุกข์ ไฉนจะคิดว่าเมื่อสุราไหลลงกระเพาะกลับยิ่งกลัดกลุ้มกว่าเดิม
ชิวอวี้เฟยผู้เมามายเต็มที่ไม่คิดจะรีบเร่งเดินทางอีกต่อไป เขาเหมาห้องพักที่มีเพียงห้องเดียวของร้านแล้วเข้าไปนอนหลับอุตุ มิทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ชิวอวี้เฟยจึงตื่นจากห้วงฝัน เขารู้สึกละอายอย่างห้ามมิได้ เขาเดินทางอยู่ข้างนอกมาหลายปี เคยเสียกิริยาปล่อยตัวตามสบายเช่นนี้เสียเมื่อไร เขาลุกขึ้นหยิบอาภรณ์สะอาดออกมาจากห่อสัมภาระ เตรียมตัวออกไปรับประทานอาหารเล็กน้อย ผู้ใดจะคิดว่ายังมิทันเดินไปถึงห้องโถงของร้านก็ได้ยินเสียงร้องตกใจดังออกมาจากด้านนอก
ชิวอวี้เฟยหวั่นใจรีบออกไปดู ก็เห็นเด็กหนุ่มสวมชุดซอมซ่อคนหนึ่งล้มอยู่หน้าประตู ผู้ดูแลร้านเข้าไปสำรวจดู จากนั้นจึงเอ่ยด้วยสีหน้าหวาดผวา “คนผู้นี้ลมหายใจแทบจะไม่มีอยู่แล้ว คงมิได้กำลังจะตายหรอกกระมัง”
ชิวอวี้เฟยเห็นสถานการณ์จึงก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “ให้ข้าดูหน่อยเถิด” พูดจบก็ก้มลงไปสำรวจ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้ว “คนผู้นี้ป่วยไข้ซ้ำยังบาดเจ็บ เกรงว่าหลายวันที่ผ่านมาคงมิได้พักผ่อนกินอาหารดีๆ เจ้าต้มน้ำแกงร้อนๆ สักชามป้อนให้เขา ตอนนี้ยกสุรามาสักชามก่อน”
ผู้ดูแลร้านรีบยกสุราฤทธิ์แรงมาชามหนึ่ง ชิวอวี้เฟยหยิบยาฟื้นฟูกำลังเม็ดหนึ่งออกมาป้อนให้คนผู้นี้ แล้วพยุงเขาขึ้นมากรอกสุราฤทธิ์แรงให้ ไม่นานลมหายใจของคนผู้นี้ก็ค่อยๆ กลับมามีกำลัง ชิวอวี้เฟยจึงวางใจ สายตาจับบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ คนผู้นี้เหมือนเขาจะเคยพบหน้ามาก่อน
นึกอยู่นานชิวอวี้เฟยก็นึกออก คนผู้นี้มิใช่องครักษ์ของเจียงเจ๋อที่คุกเข่าขอขมาความผิดในวันนั้น หรือก็คืออดีตทหารม้ากุ่ยฉีนามหลิงตวนหรอกหรือ เขาหลบหนีมาก่อนตนเองหนึ่งวัน คิดไม่ถึงว่าวันนี้เพิ่งจะมาถึงที่แห่งนี้ หลายวันที่ผ่านมาคงทุ่มเทสุดกำลังกว่าจะหนีออกจากเจ๋อโจวมาได้
คนผู้นี้วรยุทธ์ต่ำเตี้ย คงจะลำบากแสนสาหัสกว่าจะหนีรอดมา หากมิได้ตนเองช่วยเหลือ น่ากลัวว่าคงตายอยู่ที่นี่แล้ว แม้ชิวอวี้เฟยไม่ได้มีความประทับใจลึกซึ้งต่อเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่เมื่อคิดว่าเป็นคนหัวอกเดียวกันที่โชคดีรอดพ้นความตายมาจากมือลูกน้องของเจียงเจ๋อ ในใจก็รู้สึกดีด้วยอย่างมิอาจห้าม คิดในใจว่ามิสู้ตนเองอยู่ต่ออีกสักสองสามวันแล้วพาเขากลับไปด้วยกันเถิด
ชิวอวี้เฟยประคองหลิงตวนกลับไปในห้องพักแล้วสำรวจอาการบาดเจ็บของเด็กหนุ่มอย่างละเอียดอีกหน พบว่าไม่อันตรายต่อชีวิต แต่เมื่อสำรวจเช่นนี้ ชิวอวี้เฟยกลับพบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมนัก ยิ่งไปกว่านั้น เคล็ดวิชาที่ร่ำเรียนมาก็เป็นแขนงหนึ่งของพรรคมาร จึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นอย่างช่วยมิได้
การรับลูกศิษย์ของพรรคมารให้ความสำคัญกับวาสนา เขาเกิดความรู้สึกสนิทสนมกับเด็กหนุ่มผู้นี้ ในใจคิดว่านิสัยทรหดอดทนของเด็กคนนี้ หากได้ร่ำเรียนวรยุทธ์ของนิกายสุริยาคงเหมาะเป็นที่สุด แม้วิชาที่ตนร่ำเรียนจะเอนเอียงไปทางฝั่งนิกายจันทรา แต่ศิษย์พี่ใหญ่ยังมิมีลูกศิษย์ที่เข้าตา หากตนแนะนำเด็กหนุ่มผู้นี้แก่เขา เขาน่าจะพึงพอใจอย่างยิ่ง เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็มิอาจปล่อยให้เด็กหนุ่มผู้นี้หมดสติต่อได้ มิเช่นนั้นวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้คงเสียหายหนักหนาเป็นแน่