ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 9 แรกถึงปินโจว (3)
วันต่อมา หลินปี้ออกคำสั่งให้ทุกคนออกไปเที่ยวเล่นได้ แต่ไม่อนุญาตให้ก่อเรื่องก่อราว หวังจี้ถูกหลินถงลากไปด้วยกัน แม้มิทราบความคิดของหลินถง แต่หวังจี้ทราบความคิดของหลินปี้อยู่ ยามนี้หลินปี้ไม่มีทางปล่อยให้ตนคลาดจากสายตาของพวกเขาเด็ดขาด
เป็นดังคาด องครักษ์ที่รับผิดชอบคุ้มครองหลินถงถูกหลินปี้สั่งให้ไปพัก เปลี่ยนเป็นองครักษ์คนสนิทสองนายของตัวหลินปี้เอง หนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรีสองคนนี้ หวังจี้ดูแล้ววรยุทธ์โดดเด่นนัก หวังจี้ย่อมรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถเอาชนะสองคนนี้ยามร่วมมือกันได้ หากเขาคิดฉวยโอกาสหนีคงไม่มีโอกาสแน่นอน หลินปี้ทำงานรอบคอบยิ่งนักดังคาด แต่หวังจี้ติดต่อกับคนของฝ่ายตนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงไปเที่ยวเล่นในเมืองปินโจวเป็นเพื่อนหลินถงอย่างสบายอกสบายใจ
แต่เดิมเมืองปินโจวเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ติดทะเลแห่งหนึ่ง แต่วันนี้กลับเป็นเมืองใหญ่อย่างสมบูรณ์ ภายในเมืองพ่อค้าชุมนุมกันแน่นขนัด ร้านรวงสารพัดมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน ภายในร้านรวงข้าวของละลานตา ทำให้คนมองดูแทบไม่ทัน หลินถงกวาดสายตามองรอบด้านอย่างตื่นเต้น ถูกของแปลกตาดึงดูดเป็นพักๆ แต่องครักษ์สองนายข้างกายนางระแวดระวังสภาพรอบด้านด้วยสายตาอันแหลมคมอยู่ตลอดเวลา
เดินมาได้หลายชั่วยาม หวังจี้ผู้ซึ่งมือเต็มไปด้วยกล่องและถุงก็มองหลินถงผู้ยังคงเริงร่าอย่างกลัดกลุ้ม ไม่รู้เพราะเหตุใด ท่านหญิงน้อยผู้นี้จึงยัดของทั้งหมดมาให้เขาถือ องครักษ์สองคนนั้นเพียงอมยิ้มมองดูอย่างขบขัน หวังจี้ย่อมทราบว่าพวกเขาไม่มีทางเป็นฝ่ายเอ่ยปากช่วยตนถือของ เพราะนั่นจะเกะกะมือเท้าของพวกเขา แต่เหตุใดตนจึงต้องมาเป็นบ่าวรับใช้ของท่านหญิงน้อยผู้นี้เล่า
ขณะที่หวังจี้โอดครวญกับความไม่เป็นธรรมอยู่นั่นเอง หลินถงก็เห็นร้านขายอาวุธร้านหนึ่ง แม้นางเป็นสตรี ทว่าตั้งแต่เล็กเติบโตมาท่ามกลางไฟสงคราม จิตใจจึงชมชอบอาวุธและอาชาศึก นางจึงเดินเข้าไปอย่างกระตือรือร้น ร้านแห่งนี้กว้างขวางอย่างยิ่ง บนกำแพงสี่ด้านแขวนดาบทวนกระบี่ต่างๆ นานาเอาไว้ ล้วนเป็นอาวุธชั้นเยี่ยมทั้งสิ้น ตรงกลางมีโต๊ะยาวอยู่ตัวหนึ่ง บนนั้นวางมีดสั้นและดาบสั้นอันงดงามจำนวนหนึ่ง บางชิ้นในนั้นรูปร่างแปลกประหลาดเล็กน้อย มองดูก็ทราบว่าไม่ใช่อาวุธที่ทำขึ้นในจงหยวน
หลินถงเดินเข้าไปอย่างใคร่รู้ แล้วหยิบดาบโค้งเล่มหนึ่งขึ้นมาพินิจดู ดาบโค้งสวมปลอกอยู่ ปลอกหนังฉลามสีเขียว ด้ามจับงาช้างสีขาวผ่องเรียบลื่น ตรงด้ามจับพันไหมเส้นเล็กสีดำกับทองเอาไว้ ตัวดาบรูปร่างเหมือนจันทร์ข้างขึ้น หลินถงชักดาบออกมาก็เห็นประกายดาบแวววาวดั่งเกล็ดน้ำแข็ง ในใจชื่นชอบยิ่งนัก
เวลานี้เอง ผู้ดูแลร้านวัยกลางคนก็เดินเข้ามาแล้วโบกมือไล่เสมียนร้านที่คอยต้อนรับหลินถงอยู่ให้หลีก จากนั้นหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “คุณหนู นี่คือดาบโค้งที่ซื้อมาจากเปอร์เซีย สะบั้นเหล็กตัดหยกได้ เหมาะให้คุณหนูผู้เป็นวรยุทธ์พกไว้ป้องกันตัวที่สุด หากคุณหนูชื่นชอบ ผู้น้อยยินดีลดราคาให้”
หลินถงถือดาบโค้งขึ้นมา จากนั้นเดินไปหน้าหลักไม้ที่ใช้ลองดาบ ฟันฉับเดียว ไม้แก่แข็งโป๊กนั่นก็ถูกเฉือนมุมหนึ่งไปอย่างง่ายดาย หลินถงชอบใจนัก ถามขึ้นว่า “ดาบเล่มนี้ราคาเท่าไร”
ผู้ดูแลร้านรีบตอบว่า “ดาบเล่มนี้เป็นถึงดาบที่ราชวงศ์เปอร์เซียใช้ ผู้น้อยมิกล้าบังอาจโก่งราคา เพียงสามพันตำลึงเงินเท่านั้น”
“อะไรนะ” หลินถงตกใจ แม้ทราบอยู่แล้วว่าดาบเล่มนี้คงไม่ถูก แต่สามพันตำลึงก็ออกจะแพงเกินไปเล็กน้อย แม้นางเกิดในตระกูลใหญ่ มียศเป็นถึงท่านหญิง แต่ตระกูลหลินปกปักษ์ไต้โจวมาทุกสมัย เพื่อฝึกปรือทหาร เงินทองจึงใช้ออกไปดั่งสายน้ำไหล ทั้งตระกูลหลินยังมีชื่อเสียงเรื่องใจซื่อมือสะอาด ดังนั้นหลินถงจึงไม่มีเงินมากขนาดนั้น
หลินถงถอนหายใจแล้ววางดาบสั้นลง หากตนใช้เงินสามพันตำลึงซื้อดาบโค้งที่ลงสนามรบสังหารศัตรูไม่ได้เล่มหนึ่งมาจริงๆ เกรงว่าคงถูกบิดาทำโทษ นางเดินออกไปด้านนอกอย่างห่อเหี่ยว แล้วหันกลับไปมองดาบโค้งเปอร์เซียอันประณีตงดงามเล่มนั้นอยู่หลายครั้งหลายหนอย่างอดไม่ไหว
ตอนนี้เอง เด็กหญิงตัวน้อยนางหนึ่งก็วิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามา นางสับเท้าเร็วยิ่งนัก จังหวะบังเอิญตรงกับตอนหลินถงหันหลังกลับไปอีกครั้งพอดี ทั้งสองจึงชนกัน เด็กหญิงร่างบางร้อง “โอ๊ย” คำหนึ่งก็ล้มหงายหลัง หลินถงเป็นผู้ร่ำเรียนวรยุทธ์มาจึงตอบสนองทันที นางเอื้อมมือโอบเด็กน้อยไว้แล้วก้มหน้ามอง เห็นเด็กหญิงตัวน้อยอายุราวห้าหกขวบ หน้าตางดงามแลดูซุกซน ผิวประหนึ่งไขมัน ดวงตาเมล็ดซิ่งทั้งสองข้างสุกใสแฝงแววเจ้าเล่ห์ หน้าตาดูฉลาดเฉลียวยิ่งนัก หลินถงอดไม่ได้คลี่รอยยิ้มถามว่า “น้องสาวตัวน้อย ชนเจ้าบาดเจ็บหรือไม่”
เด็กหญิงน้อยส่ายหัวพลางตอบว่า “พี่สาววางใจเถิด หลันหลันไม่เจ็บ”
หลินถงคลายมือทั้งสองข้างออก เด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้นก็พุ่งไปข้างโต๊ะแล้วถือดาบโค้งเล่มนั้นที่หลินถงชื่นชอบเมื่อครู่ขึ้นมา เอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ท่านลุงผู้ดูแล ข้านำเงินมาแล้ว ขายมันให้ข้าเถอะ”
หลินถงจ้องตาค้าง ดาบโค้งราคาแพงเช่นนี้ เด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้กลับจะซื้อ นี่มันเรื่องอันใดกัน
ผู้ดูแลร้านคนนั้นก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเช่นกัน เมื่อครู่เด็กหญิงผู้นี้ก็ต้องการซื้อดาบโค้งเล่มนี้ แต่ตนเองไม่เชื่อว่าเด็กหญิงคนหนึ่งจะมีเงินมากมายปานนั้น ดังนั้นแม้เด็กหญิงขอให้ตนเเก็บดาบโค้งเอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งขาย ตนจึงไม่ทำตามสัญญา เขาเหลือบมองหลินถงอย่างละอายใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นางน้อย สิ่งนี้ราคาสามพันตำลึงเงินเชียวหนา”
ดรุณีน้อยเอ่ยอย่างลำพอง “ข้านำเงินมาแล้ว แค่ให้คนอื่นถืออยู่ก็เท่านั้น ท่านอาไห่ ท่านอาไห่ ท่านเดินเร็วหน่อยสิ”
สิ้นเสียงใสกังวานรื่นหูของเด็กหญิง เสียงทุ้มเข้มก็ดังตอบ “มาแล้ว มาแล้ว ยัยหนูน้อยวิ่งเร็วเช่นนี้ ท่านอาไห่ไล่ตามเจ้าไม่ทัน” เสียงเพิ่งจะดังขึ้นในหู บุรุษสวมอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาจากด้านนอก เขาเป็นบุรุษอายุสามสิบกว่าปี หน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยน แต่มีผิวสีทองแดง ผิวหน้าหยาบกร้าน มองดูก็ทราบว่าเป็นผลมาจากการตากแดดเป็นประจำ
แม้บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์เรียบง่าย ทว่าบุคลิกท่าทางหนักแน่น ท่าทางมีอำนาจ สายตาของผู้ดูแลร้านเป็นประกายเนื่องจากจำฐานะของคนผู้นี้ได้ เขาฉีกยิ้มแก้มปริก้าวเข้าไปทันที “ที่แท้ท่านไห่มานี่เอง ซื้ออะไรกันเล่า กิจการเล็กกระจ้อยนี่ของผู้น้อยล้วนพึ่งใบบุญของท่าน หากคุณหนูชมชอบ เชิญหยิบได้ตามใจ” กล่าวพลาง ผู้ดูแลร้านก็ขบคิดว่าท่านไห่มีหลานสาวแสนรักคนหนึ่งอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อใดกันหนอ
บุรุษผู้นั้นยิ้มจางๆ “ล้วนเป็นคนค้าคนขาย ลงทุนแลกกำไร ข้าจะเอาเปรียบเจ้าได้เช่นไรเล่า สาวน้อยคนนี้เป็นลูกสาวของสหายรักคนหนึ่งของข้า ชอบซุกซนก่อปัญหาเป็นที่สุด วันนี้ต้องตาดาบโค้งเล่มนี้ เงินที่จ่ายล้วนเป็นเงินค่าขนมของตัวนางเอง นี่เป็นเรื่องของยัยหนูคนนี้ เจ้ามิต้องเกรงใจข้าหรอก ควรขายเท่าไรก็ขายเท่านั้น”
เด็กหญิงตัวน้อยเบะปาก “ท่านอาไห่ช่างไม่เห็นแก่ไมตรี ไม่ช่วยหลันหลันต่อราคา”
บุรุษผู้นั้นยิ้มละไมตอบว่า “ผู้ใดให้เจ้าดื้อรั้นเช่นนี้ ในมืออาไห่ของล้ำค่าใดไม่มีบ้าง หากเจ้าชอบก็เลือกได้ตามใจ แต่ดันมาต้องตาดาบโค้งเล่มนี้”
หลินถงได้ยินคนผู้นี้เอ่ยวาจาใหญ่โตยิ่งนักก็อดสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาไม่ได้ จึงแสร้งทำเป็นเลือกดาบกระบี่แล้วอยู่รอดูเรื่องสนุก
เด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้นเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “นั่นได้อย่างไร เรื่องนี้ท่านพ่อรับปากแล้วว่าจะให้หลันหลันซื้อของขวัญอย่างหนึ่งให้น้องชายเอง หากเลือกจากคลังของท่านอาไห่ก็ไม่ใช่ของขวัญที่หลันหลันมอบให้สิ”
บุรุษผู้นั้นหลุดหัวเราะ “พ่อเจ้าไม่เคยถือสาเรื่องพวกนั้น แต่เจ้าดันหัวแข็งเช่นนี้เสียได้ เอาละ อาไห่ไม่บังคับเจ้า” พูดพลางก็หยิบตั๋วเงินส่งให้ผู้ดูแลร้านคนนั้น ปากก็หันกลับไปเอ่ยว่า “ดีเสียจริง คราวนี้เงินค่าขนมกับอั่งเปาสองปีนี้ของเจ้าก็หมดเกลี้ยงแล้ว ต่อไปอย่ามาขอยืมเงินจากข้าเล่า”
เด็กหญิงเอ่ยอย่างลำพอง “เรื่องนี้ท่านอาไห่มิต้องกังวล ท่านแม่รักข้าที่สุดแล้ว ต้องให้เงินค่าขนมหลันหลันเพิ่มแน่นอน”
ถึงตอนนี้ ผู้ดูแลร้านคนนั้นก็บรรจุดาบโค้งเล่มนั้นลงกล่องลวดลายวิจิตรเสร็จสิ้น แล้วส่งให้บุรุษผู้นั้นอย่างนอบน้อม ทั้งยังประคองตั๋วเงินส่วนหนึ่งส่งคืนให้อีกด้วย “ท่านไห่ ผู้น้อยขวัญกล้าเทียมฟ้าก็มิกล้าหากำไรบนศีรษะท่าน ขอท่านไห่โปรดรับไว้”
บุรุษผู้นั้นแย้มยิ้ม “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด พวกเจ้ารอนแรมพันลี้นำสินค้ากลับมา จะขายถูกได้ที่ไหน หลานสาวคนนี้ของข้าชมชอบของงดงามพวกนี้ หลังจากนี้คงมารบกวนอีกแน่ ขอเพียงเจ้าขายของราคายุติธรรมก็พอแล้ว” พูดพลางก็ส่งตั๋วเงินเหล่านั้นคืนให้ผู้ดูแลร้าน
ดวงตาของผู้ดูแลร้านคนนั้นกลอกไปมาแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นผู้น้อยก็น้อมรับบัญชา ท่านไห่ ผู้น้อยมีของงดงามวิจิตรอย่างหนึ่งต้องการมอบให้คุณหนูเชยชม” พูดพลางก็ให้ลูกจ้างไปหยิบของหน้าตาประหลาดที่ทำจากเหล็กกล้าชิ้นหนึ่งมาจากด้านหลัง
เขาดึงและพลิกอย่างชำนาญ ของสิ่งนั้นก็ปรากฏโฉม ที่แท้เป็นหน้าไม้ประณีตงดงามชิ้นหนึ่ง ส่วนคันโก่งทำจากเหล็กกล้ามีบานพับยึดไว้แน่นหนา สายหน้าไม้มิทราบใช้วัสดุอันใดทำ แลดูแข็งแรงยิ่ง มัดปลายสองฝั่งของคันโก่งไว้แน่น เมื่อหน้าไม้ทั้งชิ้นกางออกจนสุดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือสักเท่าใด ซ่อนไว้ในแขนเสื้อได้พอดี ใช้ป้องกันตัวดีเป็นที่สุด ผู้ดูแลร้านคนนั้นกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ผู้น้อยได้มาอย่างไม่คาดคิด เพรามีเพียงชิ้นเดียว กำลังก็ไม่มากนัก ดังนั้นจึงมิได้นำออกมาขาย มอบให้คุณหนูเล่นสนุกก็แล้วกัน”
เด็กหญิงตัวน้อยดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ฉวยหน้าไม้ไปแล้วพลิกไปมาดูอยู่เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ประณีตยิ่งนักจริงๆ ท่านอาไห่ หลันหลันชอบมาก” ดวงตาสุกสกาวเต็มไปด้วยแววตาวิงวอน
บุรุษผู้นั้นยิ้มละไมเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเจตนาดีของผู้อื่น เจ้าก็รับไว้เถิด” พูดจบก็จูงมือเด็กหญิงเดินออกไปด้านนอก ผู้ดูแลร้านคนนั้นตามมามองส่งอยู่ด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นชัดว่ายินดีอย่างยิ่งที่ท่านไห่ผู้นั้นยอมรับของขวัญ
หลินถงคิดว่าผู้ใดกันจึงทำให้ผู้ดูแลร้านคนนั้นพินอบพิเทานัก คงเป็นคนใหญ่คนโตสักคนของปินโจวกระมัง ระหว่างที่คิด สายตาก็จับจ้องบุรุษผู้นั้นอย่างห้ามไม่ได้จึงเผยร่องรอย บุรุษผู้นั้นสัมผัสได้ว่ามีคนมองตนอยู่นานแล้ว แต่ฐานะของเขาพิเศษ การมีคนสนใจก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่งกว่าอะไร ดังนั้นจึงไม่สนใจ แต่ตอนเดินออกประตู เขาก็ยังคงฉวยจังหวะเหลือบมอง ผู้ใดจะคิดว่าเห็นแวบเดียว ใบหน้าของเขากลับเผยรอยยิ้มประหลาดบางๆ ดวงตายิ่งทอประกายเย็นยะเยือก
รอจนกระทั่งบุรุษผู้นั้นเดินออกไปไกลแล้ว หลินถงจึงถามผู้ดูแลร้านคนนั้นว่า “คนผู้นี้คือใครหรือ ท่านจึงเอาอกเอาใจเขาเช่นนี้”
ผู้ดูแลร้านคนนั้นคลี่ยิ้ม “แม่นางเป็นคนต่างถิ่น อาจมิรู้จัก คนผู้นี้ก็คือเถ้าแก่กิจการเดินเรือที่ใหญ่ที่สุดในปินโจวของพวกเรา ท่านไห่ ไห่อู๋หยาผู้ควบคุมการค้าโพ้นทะเลไว้ในมือ”
หลินถงหลุดส่งเสียงตกใจออกมา เมื่อเหลือบมองออกไปนอกประตู ไห่อู๋หยาผู้นั้นก็หายไปไร้ร่องรอยแล้ว
เวลานี้เอง ผู้ดูแลร้านคนนั้นก็ตะโกนเรียกเหล่าลูกจ้าง “คุณชายไห่ผู้คบค้ากับพวกเราเป็นคนเฉลียวฉลาดอย่างที่สุด คิดจะเอาเปรียบยากยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ท่านไห่เป็นผู้มีน้ำใจกว้างขวาง ทว่านิสัยเคร่งขรึม มิชอบสังสรรค์ เป็นคนที่ประจบยากอย่างที่สุด คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะบังเอิญเช่นนี้ ทำให้ข้าได้หน้าแล้ว ยังไม่รีบส่งสารไปแจ้งนายท่าน อีกสองวันเชิญนายท่านนำของขวัญไปคารวะเยี่ยมเยียนท่านไห่…”
หลินถงกระทืบเท้า “น่าเสียดายจริง หากท่านพี่อยู่ก็คงดี” หลินถงกล่าวจบก็หมดอารมณ์เที่ยวเล่นต่อ จึงเดินกลับโรงเตี๊ยมอย่างอารมณ์เสีย หวังจี้ยิ้มละไม ดวงตาเปล่งประกายด้วยความยินดีและตั้งตารอ