ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 10 สิ้นบุญคุณหมดเยื่อใย (1)
ยามนั้นสืออิงต้องข้อหากบฏถูกสั่งขังคุก แต่ยังมิทันเข้าคุกก็หลบหนีเสียก่อน แม่ทัพใหญ่ออกคำสั่งตามจับ สืออิงปลิดชีพตน แม่ทัพใหญ่มิคลายโทสะ ฝังศพอย่างลวกๆ นอกกำแพงเมืองทิศเหนือของชิ่นโจว
รัชศกหรงเซิ่งปีที่ยี่สิบห้า เป่ยฮั่นสิ้น ฉีอ๋องแห่งต้ายงประกาศแก่ใต้หล้า คนทั้งหลายทั่วหล้าจึงทราบว่าสืออิงสิ้นชีพทั้งที่บริสุทธิ์
…พงศาวดารเป่ยฮั่ั่น บันทึกสืออิง
ชิวอวี้เฟยยืนอยู่ตรงระเบียง ฟังเสียงผีผาประหนึ่งเมฆาคล้อยสายน้ำไหลจากในห้องน้อยแล้วรู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง
หลังจากแม่นางชิงไต้ถูกพาเข้ามาในจวนแม่ทัพใหญ่ก็ถูกเซียวถงสอบสวน ชิวอวี้เฟยซ่อนอยู่ในที่ลับ เขาชื่นชมรูปโฉมและความสามารถของชิงไต้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝีมือดีดผีผาอันยอดเยี่ยมของนาง เขากังวลว่าเซียวถงจะใช้วิธีโหดเหี้ยมให้บุปผาบอบช้ำจึงลอบปกป้องอย่างลับๆ
มิว่าเซียวถงใช้ไม้แข็งไม้อ่อนเช่นไร ชิงไต้ก็ตอบอย่างเยือกเย็น ทว่าแม้แต่ชิวอวี้เฟยก็มองออกว่าสตรีนางนี้เคียดแค้นราชสำนักเป่ยฮั่น นางปฏิบัติต่อเซียวถงอย่างเย็นชาห่างเหิน เมื่อเอ่ยถึงต้วนอู๋ตี๋ นางกลับมีท่าทางเคียดแค้น แต่เมื่อเอ่ยถึงสืออิง สีหน้าของนางกลับเศร้าหมองและรู้สึกผิด ชิวอวี้เฟยเข้าใจความรู้สึกของนาง บางทีนางอาจมิได้รักใคร่สืออิง แต่ความรักคลั่งไคล้ที่สืออิงมีให้ทำให้นางหวั่นไหวยิ่งนัก สตรีเช่นนี้หากเป็นสายลับของต้ายงก็ออกจะผิดต่อหน้าที่อยู่ไม่น้อย เพียงนิสัยของนางก็ไม่เหมาะจะเป็นจารชนแล้ว
หลังจากเซียวถงมั่นใจในขั้นต้นว่าสตรีนางนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ก็ยังมิได้ปล่อยนางไป ประการแรกเพราะต้องตรวจสอบอดีตของสตรีนางนี้อย่างละเอียดให้แน่ชัด อีกประการหนึ่งหลงถิงเฟยลอบส่งสัญญาณบอกให้เขารั้งตัวชิงไต้ไว้ ต้วนอู๋ตี๋ยุ่งกับหน้าที่ในกองทัพมาหลายปีจึงมิได้แต่งงาน เมื่อเห็นท่าทีร้อนใจของเขาเมื่อวานก็ทราบว่าเขายังไม่ลืมเลือนความรู้สึกที่มีต่อชิงไต้ หากทำให้พวกเขากลับมาคืนดีกันได้ย่อมกลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามเรื่องหนึ่ง
ทว่าหลายวันมานี้ต้วนอู๋ตี๋วุ่นวายอยู่กับงานในกองทัพ หลังจากสืออิงตายก็ต้องปลอบขวัญคนในกองทัพของเขา จากนั้นยังต้องจัดการสะสางคดีลักลอบขนของเถื่อน เรื่องเหล่านี้ล้วนมิใช่เรื่องง่าย ต้วนอู๋ตี๋แทบไม่มีเวลามาพบหน้าชิงไต้ แต่ชิวอวี้เฟยกลับรู้สึกอยู่เลือนรางว่าระหว่างทั้งสองคนคงเป็นไปมิได้ เพราะหลายวันนี้นอกจากดีดผีผาแล้ว ชิงไต้ก็เอาแต่นั่งนิ่งเหม่อลอย มิเคยขอพบหน้าต้วนอู๋ตี๋สักครั้ง หากไม่ติดต้วนอู๋ตี๋ ชิวอวี้เฟยก็อยากจะถกเรื่องดนตรีกับชิงไต้สักหน
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง ชิวอวี้เฟยเพียงได้ยินเสียงก้าวเท้าก็ทราบว่าหลิงตวนมา เขาไม่หันหลังกลับไป เพียงฟังเสียงของหลิงตวนกล่าวขึ้นว่า “ท่านสี่ สุรามาแล้ว ท่านสี่ฟังบทเพลงเสียเคลิบเคลิ้ม มิคิดเข้าไปพบหน้าแม่นางชิงไต้หรือ”
ชิวอวี้เฟยหันกลับมากลอกตาใส่หลิงตวนครั้งหนึ่ง เห็นใบหน้าเขามีรอยยิ้มพิกลจึงยื่นมือไปเขกศีรษะเขาเสียหนึ่งที หลิงตวนทำหน้าบูด นับตั้งแต่สืออิงตาย หลิงตวนก็รู้สึกว่าความแค้นของแม่ทัพถานกับหลี่หู่ได้รับการชำระแล้ว ในใจไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป จึงกลับมาร่าเริงเช่นก่อนหน้า
ชิวอวี้เฟยเห็นสีหน้าพิกลของเขาจึงเอ็ดเบาๆ “พูดจาเหลวไหล วิญญูชนมิแย่งชิงของรักของผู้อื่น แม่ทัพต้วนกับแม่นางชิงไต้เคยมีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ แม้ที่ผ่านมาต้องพลัดพรากเดินคนละทาง แต่ข้าดูแล้วพวกเขายังมิลืมเลือนความรักครั้งเก่า อีกอย่างหนึ่ง ข้านับถือนิสัยและความสามารถของแม่นางชิงไต้ มิใช่ว่ามีใจปรารถนาเป็นคู่ครอง”
เวลานี้เอง หลิงตวนก็มองเห็นต้วนอู๋ตี๋เดินช้าๆ มาแต่ไกลจึงรีบกระตุกแขนเสื้อของชิวอวี้เฟยเบาๆ ชิวอวี้เฟยคิดว่าไม่ควรปล่อยให้เขาเห็นจึงรีบลากหลิงตวนเข้าไปซ่อนหลังภูเขาจำลอง เขาเห็นต้วนอู๋ตี๋ยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าประตู ยื่นมือออกไปจะเปิดประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็วางมือลง เวลานี้เอง ด้านในประตูจึงมีเสียงใสเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งเอ่ยว่า “แม่ทัพต้วนใช่หรือไม่ เชิญเข้ามาเถิด”
ชิวอวี้เฟยยิ้มละไมแล้วหมุนตัวจากไป เขามิคิดจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น แต่หลิงตวนกลับสงสัยใคร่รู้ เขายังอายุน้อยจึงไม่ขบคิดมากเช่นนั้น เห็นชิวอวี้เฟยจากไปไกลแล้วจึงแอบไปลอบฟังบทสนทนาตรงใต้หน้าต่าง หากเป็นก่อนหน้านี้ การกระทำของเขาย่อมปิดบังต้วนอู๋ตี๋กับชิงไต้ที่อยู่ด้านในมิได้ แต่วันนี้ทั้งสองคนได้พบหน้ากันอีกครั้งหลังจากกันเนิ่นนาน จิตใจกำลังปั่นป่วน พวกเขาจึงมิทันสังเกตอย่างสิ้นเชิงว่าด้านนอกมีคนลอบฟังอยู่
ชิงไต้เห็นต้วนอู๋ตี๋เดินเข้ามาแต่มิได้ลุกขึ้นไปต้อนรับ นางยังคงไล้ฝ่ามือบนผีผา ดีดสายเครื่องดนตรีแผ่วเบาเป็นระยะ ต้วนอู๋ตี๋ยืนอยู่หน้าประตู มองดูชิงไต้แล้วรู้สึกสะท้อนใจนัก ชิงไต้ในอดีตมิได้งดงามเย็นชาดังเช่นวันนี้ หากกล่าวว่านางในยามนี้หยิ่งทระนงดุจดอกเหมยยามเหมันต์ ตัวนางในอดีตก็บริสุทธิ์เสมือนดอกสาลี่หลังสายฝน
สายตาของชิงไต้จับบนร่างต้วนอู๋ตี๋ เจ็ดปีเต็มแล้ว แม่ทัพหนุ่มในวันวาน ยามนี้กลายเป็นบุรุษวัยกลางคนผู้สุขุมหนักแน่น สิ่งที่ทำให้ตนหวั่นไหวในวันวานเหล่านั้นยังคงอยู่ แต่ระหว่างทั้งสองคนกลับประหนึ่งกั้นขวางด้วยห้วงมหาสมุทร
เจ็ดปีก่อนตนยังเป็นเพียงสาวน้อยผู้สับสนทำสิ่งใดมิถูกนางหนึ่ง นอกจากมีความแค้นล้ำลึกต่อราชสำนักเป่ยฮั่น แม้แต่จะแก้แค้นเช่นไรก็คิดวิธีไม่ออก วันวานยามพานพบต้วนอู๋ตี๋ นางปรารถนาจะเคียงคู่เขาจนเส้นผมขาวโพลนจากใจจริง ทว่าในหัวใจคนผู้นี้มีเพียงคำว่าภักดีเท่านั้น ทั้งสองคนจึงต้องแยกจากเดินคนละทางเช่นนี้
เขาไปเป็นขุนนางผู้ภักดีแห่งเป่ยฮั่นของเขา ส่วนตนเดินไปอีกเส้นทาง ชิงไต้ อดีตคุณหนูผู้เพียบพร้อมจากตระกูลดังของเป่ยฮั่น ยามนี้กลายเป็นหัวหน้าหน่วยสอดแนมของหน่วยข่าวอุดรใต้สังกัดกองการข่าวกรมกลาโหมแห่งต้ายงผู้คอยรวบรวมข่าวสารในเป่ยฮั่น และนางยังเป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพของต้ายง ฉายาขนงโก่งแพรเขียว นางมิอาจมีความรักอันใดหลงเหลือให้ต้วนอู๋ตี๋ แม่ทัพผู้เป็นปราการเหล็กแห่งเป่ยฮั่นอีกต่อไป
ต้วนอู๋ตี๋เห็นชิงไต้เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา ในที่สุดจึงเอ่ยปากว่า “ชิงไต้ มิพบหน้ากันหลายปี เจ้าลำบากแล้ว หลายปีนี้เจ้ามิพบผู้ที่พึงใจเลยหรือ ด้วยความสามารถและรูปโฉมของเจ้า สมควรเลือกคู่ครองดีๆ ได้นานแล้วจึงจะถูก”
ชิงไต้ผินหน้าหนี เอ่ยตอบอย่างเย็นชา “แม่ทัพสือมีใจให้ชิงไต้ ก็ถูกพวกท่านบีบจนตายแล้วมิใช่หรือไร”
ต้วนอู๋ตี๋รีบเอ่ย “ชิงไต้ เจ้าฟังข้าอธิบาย วันนั้นข้าเห็นสืออิงมีใจให้เจ้าก็ตั้งใจหลีกทางให้แล้ว ข้าทราบว่าเจ้าไม่มีวันให้อภัยข้า สืออิงนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา หากเจ้าแต่งงานกับเขาจักต้องมีความสุขเป็นแน่ แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะทรยศแว่นแคว้นไปเข้ากับฝ่ายศัตรู แล้วยิ่งคิดไม่ถึงว่าเขาจะปลิดชีพตนเอง”
ชิงไต้ดีดสายผีผาอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “ท่านมิต้องพูดมากความ แม่ทัพสือหลงใหลข้า มิได้หมายความว่าข้าจักต้องแต่งงานกับเขา แต่เขาเป็นคนรักจริง เทียบกับคนเช่นท่านแล้วดีกว่ากันมาก”
ต้วนอู๋ตี๋ถอนหายใจ “เจ้ายังโทษข้าอยู่อีกหรือ”
ชิงไต้ตอบอย่างเฉยเมย “ข้าเคยกล่าวโทษท่าน ยามนั้นหลังข้าแยกจากท่านก็มิสนใจไยดีชีวิตอีก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเข้าไปในภูเขา คิดจะตายอย่างเงียบๆ หากมิได้ท่านอาจารย์ช่วยเหลือไว้ ชิงไต้คงตายในปากสัตว์ร้ายนานแล้ว ต่อมาชิงไต้คิดตก ข้าแค้นเป่ยฮั่น ท่านภักดีเป่ยฮั่น นี่เป็นความขัดแย้งที่มิอาจคลี่คลาย ไม่ใช่ความผิดของท่านและไม่ใช่ความผิดของข้า เพียงแต่ยามนั้นพวกเราเพียงมองข้ามความแตกต่างระหว่างคนสองคนไป”
ต้วนอู๋ตี๋ส่ายศีรษะตอบว่า “มิใช่ความผิดของเจ้า แต่เป็นความผิดของข้า ตอนนั้นเจ้าบอกความรู้สึกในใจของเจ้ากับข้าตั้งนานแล้ว ข้าเองก็รับปากแล้วว่าจะหลีกเร้นจากโลกไปพร้อมกับเจ้า แต่ข้าก็กลับคำ ทำร้ายเจ้า จนวันนี้เจ้ายังมิแต่งงาน ในใจข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก แต่ชิงไต้ ตอนนี้ผ่านไปหลายปีเช่นนี้แล้ว เจ้ายังเคียดแค้นเป่ยฮั่นถึงเพียงนั้นอยู่อีกหรือ นั่นเป็นเรื่องของแว่นแคว้น มิใช่ความแค้นส่วนตัว เจ้าไยต้องยึดติดไม่ปล่อยวางเช่นนี้เล่า”
ชิงไต้เผยรอยยิ้มเหยียดหยันออกมา “ไม่ว่าจะเรื่องของแว่นแคว้น หรือความแค้นส่วนตัว ข้ารู้เพียงว่าคนในตระกูลของข้า คนที่ตายก็ตายจากไปแล้ว คนที่พลัดพรากก็พลัดพรากไปแล้ว ล้วนเป็นเพราะราชโองการของเจ้าแคว้น มารดาของข้าต้องตายเพราะความยากจนและโรคร้าย ตัวข้าอับจนหนทางต้องขายเสียงเพลงในหอคณิกา ล้วนเป็นเพราะเป่ยฮั่น สาเหตุที่จวบจนวันนี้ข้ายังคงอยู่ที่เป่ยฮั่นมิยอมจากไปไหน ก็เพราะต้องการเห็นวันที่เป่ยฮั่นล่มสลาย นั่นจึงจะสมปรารถนาของข้า”
เพียะ เสียงตบหน้าดังกังวานขึ้นครั้งหนึ่ง ต้วนอู๋ตี๋ลงมือเสร็จ เห็นดวงหน้างามของชิงไต้บวมแดงก็อดเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิดไม่ได้ “ชิงไต้ ขออภัย ข้ามิสมควรลงมือกับเจ้า แต่เจ้าก็มิสมควรกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ หากผู้อื่นได้ยินเข้า เจ้าจะถูกมองว่าเป็นไส้ศึก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ามิสมควร…”
ชิงไต้เอ่ยขัดคำพูดของเขา “ยิ่งไปกว่านั้นข้ามิสมควรเอ่ยถ้อยคำชวนเสียกำลังใจเช่นนี้ต่อหน้าแม่ทัพเป่ยฮั่นอย่างท่านใช่หรือไม่ หลายปีที่ผ่านมา ประชาชนทุกข์ยากยิ่งนัก นอกจากตระกูลใหญ่ผู้มั่งคั่งจำนวนน้อยนิดที่ยังมีแพรพรรณงดงามมีอาหารโอชะ ชาวบ้านก็มิได้อยู่ดีแต่อย่างใด มิต้องพูดถึงชีวิตอยู่เย็นเป็นสุข ต่อให้เป่ยฮั่นสิ้นจะมีสิ่งใดหนักหนานักเล่า”