ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 100 ภักดีกลับคลางแคลง (ต้น) (2)
ชิวอวี้เฟยจ้องมองหลี่ซุ่นแล้วกล่าวว่า “คุณชายของท่านกระทำการใดล้วนวางแผนไว้ลึกซึ้งกว้างไกล หากปล่อยข้าออกมาย่อมมีจุดที่จะใช้ประโยชน์จากข้า แต่ก็มิแน่ว่าข้าจะปล่อยให้เขาสมหวัง หนนี้เดิมทีข้าต้องการเดินทางไปพบเขา ถามเขาสักสองสามประโยค แต่ได้ยินว่าท่านอยู่ในค่ายใหญ่ของหลี่เสี่ยน จึงคิดว่าต่อให้ข้าเดินทางไปหา เขาก็คงมิยอมพบข้า
ท่านมิต้องกังวลว่าข้าจะลอบสังหารเขา หากข้ากล้าลงมือ น่ากลัวว่าท่านหมอซังคงมิละเว้นข้าแน่ ข้ามิกล้าคาดเดาขอบขั้นฝีมือของท่านหมอซัง ทว่าแม้แต่ท่านอาจารย์ก็มิแน่ว่าจะเอาชนะเขาได้ ข้าส่งจดหมายไปยังจิ้นหยางแล้ว พรรคมารจะมิมีผู้ใดเดินทางไปลอบสังหารฉู่เซียงโหว มีท่านหมอซังเป็นผู้หนุนหลัง ต่อให้เป็นท่านอาจารย์ก็มิยินดีจะลงมือสังหารเขาโดยพลการ
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ของเป่ยฮั่นย่ำแย่จนถึงขั้นนี้แล้ว ถึงท่านอาจารย์จะลงมือก็มิอาจกอบกู้สิ่งใดกลับมาได้ พรรคมารของข้ามิมีทางเป็นสุนัขร้อนรนกระโดดกำแพงเช่นนั้น”
หลี่ซุ่นปรบมือกล่าวว่า “คุณชายชิวพูดได้ดี หากตอนแรกท่านชาญฉลาดเช่นนี้ คุณชายคงยากจะใช้ท่านในแผนการยุแยงตะแคงรั่ว”
ชิวอวี้เฟยสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ยามนั้นข้าหลงกลแผนชั่วจริงๆ สินะ ในจดหมายจากฉู่เซียงโหวที่ได้รับมาเมื่อหลายวันก่อนมีถ้อยคำเชิงขออภัยอยู่มาก ข้านึกสงสัยอยู่แล้ว เมื่อลองคาดเดา ผนวกกับท่านหมอซังชี้แนะ จึงทราบว่าในอดีตข้าถูกหลอกลวง”
หลี่ซุ่นยิ้มน้อยๆ เขาทราบความตั้งใจของเจียงเจ๋อตั้งแต่แรก เจียงเจ๋อคงจะเปิดเผยความจริงที่ว่าสืออิงถูกใส่ความในเวลานี้เพื่อโจมตีต้วนอู๋ตี๋ ส่วนการที่จู่ๆ ชิวอวี้เฟยหวนคืนเป่ยฮั่น เขาคาดว่าเจียงเจ๋อคงจะบอกความจริงให้เขาทราบเพื่อหยั่งเชิง มิผิดจากที่คาดจริงๆ
ชิวอวี้เฟยถอนหายใจเบาๆ หันหลังกลับจะจากไป แต่แล้วฝีเท้าก็หยุดชะงัก เอ่ยขึ้นว่า “ยามนั้นสุยอวิ๋นพบกับข้ากลางทาง แม้นข้ามีเจตนาร้ายซ่อนเร้นแต่ก็มองเขาเป็นสหายรู้ใจ มิทราบว่าตั้งแต่ต้นจนจบไมตรีของเขาเป็นเรื่องหลอกลวงหรือไม่”
หลี่ซุ่นตอบด้วยท่าทางจริงจัง “แม้คุณชายเป็นคนเจ้าแผนการ ทว่าหากท่านมิได้เปี่ยมความสามารถ จิตใจสูงส่ง คุณชายจะมอบตำราพิณชิงหย่วนให้ได้เช่นไร ตำราพิณเล่มนั้นเป็นความทุ่มเทของบิดาผู้วายชนม์ของคุณชาย หากไมตรีของคุณชายเป็นสิ่งลวง ไฉนจะกลั้นใจตัดใจจากของรักได้ หากท่านจะแค้นเคืองคุณชายเพราะเรื่องที่เป็นศัตรูกัน นั่นก็แล้วแต่ท่าน แต่อย่าได้คลางแคลงความจริงใจของคุณชายในวันนั้น”
ชิวอวี้เฟยเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะก้าวเท้าจากไป เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือหลิงตวน เขาเดินตามหลังชิวอี้เฟยต้อยๆ ไม่นานทั้งสองคนก็หายลับไปท่ามกลางรัตติกาล
ดวงตาของหลี่ซุ่นทอประกายเย็นยะเยือก สายตาคล้ายกำลังมองทะลุความมืดอันหนาทึบ มองไปยังเมืองผิงเหยา ยามนี้ซูชิงน่าจะเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ข่าวลือเรื่องที่หลงถิงเฟยหลงกลแผนยุแยงจนบีบให้สืออิงตายคงแพร่กระจายไปตั้งแต่ผิงเหยาจรดจิ้นหยางแล้ว
วันนี้หลงถิงเฟยตายจากไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องในวันวานย่อมต้องแบกรับแรงกดดันมากกว่าเดิม ต้วนอู๋ตี๋มีส่วนในเรื่องนี้ไม่น้อย เขาจักต้องถูกเบื้องบนของแคว้นเป่ยฮั่นตำหนิอย่างรุนแรงเป็นแน่ ต่อให้พวกองค์หญิงจยาผิงเข้าใจว่าต้วนอู๋ตี๋บริสุทธิ์ เขาก็คงยากจะอธิบายการกระทำของตนเองอยู่ดี
หลี่ซุ่นนึกถึงถุงผ้าไหมที่คุณชายแอบทำลับๆ ล่อๆ ยัดใส่มือตนในวันที่เขาไปรับคำสั่ง ถุงใบนี้คุณชายกำชับให้ตนส่งมอบให้ซูชิงระหว่างร่วมทัพกับฉีอ๋อง ในใจหลี่ซุ่นรู้สึกนับถือ ใต้แสงจันทร์สลัวเขาหยิบกระดาษสั้นๆ ชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงผ้าไหมที่เคยถูกเปิดออกแล้ว บนนั้นเขียนตัวอักษรน้อยนิดเพียงไม่กี่บรรทัดไว้ว่า
‘ให้ซูชิงกระจายข่าวลือ กล่าวถึงเรื่องยุแยงใส่ร้ายสืออิงในอดีต ให้จิตใจของทหารในกองทัพของต้วนอู๋ตี๋สับสน ต้วนอู๋ตี๋เป็นผู้มีคุณธรรม มิยอมทำผิดต่อผู้ใด เขาย่อมละอายใจแทบวางวาย หากระหว่างทำงานเกิดผิดพลาดประการใดขึ้นให้ฉวยจังหวะเสี้ยมให้พวกเขาแตกคอ เขามิมีพรรคพวกในราชสำนัก ยามนี้เป่ยฮั่นอยู่ระหว่างความเป็นความตาย คงลงมือสำเร็จโดยง่าย’
หลี่ซุ่นยิ้มละไม มือขวาขยำเบาๆ กระดาษน้อยแผ่นนั้นพลันสลายเป็นผุยผง
วันต่อมาหลี่เสี่ยนเริ่มบุกตีผิงเหยา วิธีการทำศึกเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา อาศัยกำลังทหารอันมหาศาลของกองทัพต้ายงบุกโจมตีต่อเนื่องมิขาดสาย การศึกคืบหน้าไปอย่างราบรื่น ยังมิทันถึงยามเว่ย หลี่เสี่ยนก็ออกบัญชาการทัพด้วยตนเอง
กำแพงเมืองด้านหนึ่งถูกโจมตีจนการป้องกันเริ่มส่อเค้าว่าจะพังทลาย เมื่อเครื่องยิงหินระดมโจมตี มุมหนึ่งของกำแพงเมืองจู่ๆ ก็พังถล่ม กองทัพต้ายงโห่ร้องเสียงดังด้วยความยินดี จากนั้นเคลื่อนทัพผ่านช่องโหว่ของกำแพงเมืองในทันใด ขณะที่ทหารต้ายงอีกนับไม่ถ้วนเริ่มอาศัยอาวุธสำหรับบุกตีเมืองเช่นบันไดพาดกำแพงเข้าไปจู่โจมด้านใน ทหารเป่ยฮั่นที่อยู่ใกล้กับรูโหว่ก็ต้านทานไว้สุดชีวิต ทว่าก็ยังคงขวางการโจมตีของกองทัพต้ายงมิได้
เวลานี้ต้วนอู๋ตี้ออกคำสั่งกองทัพอย่างเยือกเย็น องครักษ์คนสนิทข้างกายมองเขาอย่างแทบมิอยากเชื่อ แต่ความน่าเกรงขามในยามปกติทำให้องครักษ์คนสนิทหันไปถ่ายทอดคำสั่งต่ออย่างมิลังเลแม้แต่น้อย ทหารเป่ยฮั่นที่คุ้มกันช่องโหว่ช่องนั้นอยู่ได้ยินเสียงสัญญาณก็เปิดทางเส้นหนึ่งทันที
ขณะที่ทหารต้ายงโห่ร้องยินดีบุกตะลุยเข้ามาหลังจากแรงต่อต้านเบื้องหน้าลดลงอย่างฉับพลัน เสียงสายหน้าไม้ก็ดังขึ้น ทหารเป่ยฮั่นที่ตั้งแถวรออยู่ก่อนแล้วยิงหน้าไม้ บนหน้าไม้เหล่านี้มีเชื้อเพลิงเช่นดินระเบิดกับดินประสิวอยู่ หลังจากจุดไฟแล้วยิงใส่กองทัพต้ายง เสียงระเบิดก็ดังขึ้นตามต่อกัน ทำให้กองทัพต้ายงโกลาหลทันที
เวลานี้ทหารเป่ยฮั่นที่เดิมทีหลบไปด้านข้างจึงรุมเข้ามาเข่นฆ่าสังหารพวกเขา ฉวยพริบตาที่กองทัพต้ายงถูกเล่นงาน กองทหารเป่ยฮั่นก็ราดน้ำมันลงมา จากนั้นโยนคบเพลิง เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นใต้กำแพงเมือง ประกายโลหิตอาบย้อมตัวกำแพง
เมื่อทหารต้ายงคนสุดท้ายถูกสังหาร ต้วนอู๋ตี๋จึงเดินเข้าไปใกล้กำแพงเมือง สองมือวางบนช่องกำแพงที่ถูกโลหิตย้อมจนชุ่มโชกแล้วก้มลงไปมองเบื้องล่าง เห็นกองทัพต้ายงเริ่มผละถอยอย่างรวดเร็วประหนึ่งคลื่นสมุทรไหลย้อนกลับ แรงกดดันและความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาเลือนรางจากกองทัพที่ล่าถอยนั่นทำให้สีหน้าต้วนอู๋ตี๋เย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม เขาหันกลับมามองสภาพทรุดโทรมของกำแพงที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาลามเลีย จากนั้นทอดสายตามองค่ายของศัตรูที่ตั้งต่อกันเป็นแนวหลายสิบลี้อยู่ห่างออกไปสองสามลี้ ในใจต้วนอู๋ตี๋หนาวเหน็บ
แม้จะบีบกองทัพศัตรูให้ล่าถอยไปได้ แต่เขากลับมิวางใจแม้แต่น้อย กองทัพต้ายงเพิ่งเริ่มบุกตีเมืองวันนี้ ทว่าตั้งแต่เมื่อวานซืน ในเมืองก็มีข่าวลือแพร่ไปทั่ว ต่อให้ในเมืองแห่งนี้มิมีผู้ใดกล้ามาพูดต่อหน้า แต่ต้วนอู๋ตี๋ก็ทราบว่าข่าวลือเหล่านั้นกล่าวถึงเรื่องที่ตนลักลอบขนของเถื่อนเพราะความละโมบจนถูกสืออิงจับได้ แต่ตนกลับเป่าหูหลงถิงเฟย ใส่ความสืออิงให้ต้องโทษ ทำให้สืออิงถูกบีบจนนำไปสู่ตาย
องครักษ์คนสนิทข้างกายเขาโกรธเกรี้ยวคับแค้น ขอคำสั่งหาตัวคนที่แพร่กระจายข่าวลือเพื่อจับตัวมาสังหารอยู่หลายครั้ง แต่ล้วนถูกต้วนอู๋ตี๋ปรามไว้
มิใช่เขามิทราบว่ากำลังใจอันหนักแน่นของทหารคือสิ่งสำคัญในการป้องกันเมือง แต่เขามิอาจปล่อยให้มีการสืบสาวเรื่องนี้อย่างจริงจังได้ เพราะกำลังพลในมือเขา นอกจากกองทัพเก่าของตัวเขาเอง ก็ยังมีกำลังพลเก่าของสืออิงอยู่สามส่วน คนที่แพร่กระจ่ายข่าวลือน่าจะเป็นกำลังพลเก่าของสืออิง พวกเขาเองก็มิได้มีจุดประสงค์เช่นนั้น เพียงแต่ทหารคนใดบ้างมิวาดหวังให้แม่ทัพของตนรักไพร่พลประหนึ่งบุตร ออกศึกกล้าหาญชาญชัย หากเป็นผู้ใต้บัญชาของแม่ทัพผู้ชื่อเสียงฉาวโฉ่สักคน ความอัปยศเช่นนั้นทั้งชีวิตก็มิอาจล้างให้สะอาด
ยามนั้นหลังจากสืออิงตาย ชื่อเสียงของเขาพังทลายหมดสิ้น กองทัพเก่าของเขาได้รับความอัปยศมิรู้เท่าใดเพราะเรื่องหนนั้น ยามนี้เมื่อได้ทราบว่าแม่ทัพของตนต่างหากที่ถูกคนใส่ร้ายจนตาย จะมิบอกต่อได้เช่นไร สำหรับพวกเขาแล้ว ในเมื่อแม่ทัพใหญ่หลงผู้ ‘ถูกหลอกลวง’ ตายจากไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นผู้ที่ต้องถูกตำหนิในเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นต้วนอู๋ตี๋ผู้ ‘ใส่ร้ายป้ายสี’ เมื่อเป็นเช่นนี้กำลังพลเก่าของสืออิงจึงล้วนคับแค้นอยู่ในอก แม้แต่กำลังพลของตนก็มีบางส่วนคลางแคลงใจ
ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ต้วนอู๋ตี๋มิอาจทำสิ่งใดได้อีกแล้ว หากตนต้องการกำจัดข่าวลือก็ต้องพัวพันไปถึงทหารบริสุทธิ์จำนวนมากมาย เกรงว่ากองทัพข้าศึกยังมิทันบุกเมือง ฝั่งตนก็คงเข่นฆ่ากันเองจนหมดสิ้นแล้ว ต้วนอู๋ตี๋จนหนทาง จึงได้แต่อาศัยกฎกองทัพอันเข้มงวดปรามทหารทั้งหลายเอาไว้ก่อน หากหวนคืนจิ้นหยางแล้วอาจยังมีโอกาสกอบกู้ความเชื่อมั่นของเหล่าทหารกลับคืนมา เขาได้แต่ปลอบตนเองเช่นนี้
ยามนี้เอง เซวียนซงก็ถูกทหารเป่ยฮั่นสองนาย ‘คุ้มกัน’ ขึ้นมาบนกำแพงเมือง อาการบาดเจ็บของเขาค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว แม้นแผลเป็นบนใบหน้ายังเหมือนเดิม แต่ก็ขยับเคลื่อนไหวได้ดั่งใจ นับตั้งแต่กองทัพเป่ยฮั่นถอนทัพมาจากชิ่นหยวน เขาก็อยู่ในกองทัพของต้วนอู๋ตี๋
ต้วนอู๋ตี๋ค่อนข้างมีมารยาทต่อเขา ขอเพียงมิใช่เวลาสำคัญที่กำลังเดินทัพหรือทำศึก แม้การเฝ้าจับตาจะแน่นหนา แต่ก็มิได้ทารุณโหดเหี้ยม ดังนั้นเขาจึงขึ้นมาบนกำแพงเมืองเวลานี้ได้
เซวียนซงมองสภาพทรุดโทรมของกำแพงเมือง ในใจพลันหม่นหมอง เขาทราบสถานการณ์ของการสู้รบนองเลือดเมื่อครู่จากปากของทหารเป่ยฮั่นแล้ว แน่นอนนี่เป็นเพราะทหารเป่ยฮั่นเหล่านั้นคิดจะทำลายกำลังใจของแม่ทัพต้ายงเช่นเขา เขาย่อมทราบดีว่าคราบโลหิตบนกำแพงเมืองหมายถึงสิ่งใด แต่เขามิเผยสีหน้าโศกเศร้าออกมา
ในฐานะแม่ทัพแห่งต้ายง เดิมก็สมควรตระหนักถึงความตายในสมรภูมิอยู่แล้ว ความโศกเศร้าและความเห็นอกเห็นใจมีประโยชน์อันใด เขาจะสั่งให้กองทัพต้ายงมิบุกตีเมืองเพื่อลดความสูญเสียได้หรือ เขาใช้วาจาเกลี้ยกล่อมให้กองทัพเป่ยฮั่นยอมแพ้เลิกขัดขืนได้หรือ มีเพียงรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเท่านั้นจึงจะทำให้สงครามนองเลือดที่มิสนใจว่าฝั่งใดถูกฝั่งใดผิดเช่นนี้มิเกิดขึ้นอีกต่อไป