ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 105 ภักดีกลับคลางแคลง (ปลาย) (1)
ริมถนนสายหลักอันไร้ร่องรอยผู้คน ด้านหลังป่าผืนน้อยสีเขียวขจีผืนหนึ่ง ธารน้ำสายน้อยใสกระจ่างจนเห็นก้นไหลคดเคี้ยวออกมา ผืนป่าน้อยผืนนี้โปร่งโล่งยิ่งนัก ถนนที่กว้างพอให้รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านสายหนึ่งทอดลึกเข้าไปในป่า ด้านนอกชายป่ามีธงของร้านสุราผืนหนึ่งแขวนอยู่ มองปราดเดียวก็เห็นเลือนรางว่ามีกระท่อมฟางกว้างสี่ห้าห้องอยู่ในป่า บนประตูปักธงคำว่าสุราเอาไว้
สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นร้านแวะพักรับประทานอาหารอันเป็นที่นิยมของนักเดินทางแห่งหนึ่ง แม้แต่ในยามสงคราม ภายในป่าก็ยังมีกลิ่นสุราลอยโชยเลือนราง ดูท่าจะมิได้ปิดกิจการ แต่กล่าวไปแล้วก็มิแปลก ที่แห่งนี้มิใช่ทิศทางหลักที่กองทัพต้ายงรุกราน ดังนั้นชีวิตของคนจำนวนมากจึงยังดำเนินไปดั่งปกติ เพียงแต่ว่ามีความหวาดวิตกเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น ชาวบ้านก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงคมดาบคมขวานยังมามิถึงศีรษะก็ยังหาเลี้ยงชีพกันตามปกติ มิฉะนั้นปีนี้จะเอาสิ่งใดมาประทังชีวิตเล่า
ต้วนอู๋ตี๋เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าธรรมดาอย่างนักเดินทางแล้ว ด้านนอกสวมผ้าคลุมกันลม บนศีรษะสวมหมวกไม้ไผ่สานปีกกว้าง หมวกเช่นนี้เป็นสิ่งของที่นักเดินทางต่างมีเตรียมไว้บังลมบังฝน ค่อนข้างสะดวกสบาย รอบหมวกมีผืนผ้าโปร่งทอดตัวลงมาปกปิดใบหน้า ในเขตเป่ยฮั่นสายลมวสันต์พัดแรง แม้แต่บุรุษก็ชอบใช้มันกันฝุ่นที่มากับสายลม
เขารีบเร่งเดินทางมาตลอดทาง มิมีเวลาถนอมกำลังของอาชา แม้กองทัพต้ายงยังมิได้ส่งทหารมาประจำแถวนี้ แต่ก็มีทหารสอดแนมไม่น้อยเดินทางไปมาเป็นประจำ เขาทำได้เพียงพยายามหลบเลี่ยงสุดกำลังเท่านั้น เวลานี้ในใจเขามีแต่ความเศร้าหมองและหวั่นกลัว ก้มหน้าก้มตารีบเดินทาง เพียรทำให้ตนเองมิมีเวลารู้สึกอ้างว้างกับหนทางอันเวิ้งว้างเบื้องหน้า
เขามองดูสีของท้องฟ้า น่าจะใกล้ยามอู่แล้ว เขารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย อาชาศึกที่ขี่อยู่ก็เหงื่อออกจนชุ่ม เขาชะเง้อมองไกลๆ เห็นธงร้านสุราอยู่ข้างทาง ในใจจึงเกิดความคิด ตนเองรีบร้อนออกมา เสบียงก็มิได้ตระเตรียม มิสู้เข้าไปพักสักหน่อย แล้วถือโอกาสซื้อหาเสบียงสักเล็กน้อย เติมสุราที่ชาวบ้านหมักอีกสักหน่อยเพื่อเตรียมไว้กินระหว่างทาง หากพลาดจากที่แห่งนี้ไป เบื้องหน้าคงยากจะหาร้านแวะพักแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็ควบอาชาเข้าไปในป่า ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูร้านขายอาหารป่า เห็นประตูร้านเปิดกว้าง โต๊ะหลายตัวด้านในสะอาดสะอ้าน ด้านในมีลูกค้าอยู่สองสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะริมขวาสุด เถ้าแก่ผู้เป็นบุรุษวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งกำลังหัวเราะร่ายกสุรากับอาหารมาให้
เมื่อเห็นบรรยากาศผ่อนคลายเช่นนั้น ต้วนอู่ตี๋ก็ผ่อนคลายความตึงเคียด เขาผูกม้าไว้กับต้นไม้หน้าร้านแล้วเดินเข้ามาในห้องโถง สั่งเสียงดัง “ยกสุรากับอาหารดีๆ มาสักหน่อย ประเดี๋ยวข้าต้องรีบเดินทาง” กล่าวจบก็นั่งลงที่โต๊ะด้านซ้ายสุด ล้วงเศษเงินก้อนหนึ่งมาโยนลงบนโต๊ะ
เถ้าแก่ผู้นั้นรีบเข้ามาเช็ดโต๊ะ มือซ้ายรวบเงินเข้าไปในแขนเสื้ออย่างว่องไวแล้วรินชาร้อนให้ จากนั้นจึงกล่าวอย่างเป็นมิตร “ท่านลูกค้าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย แม้ร้านเล็กๆ ของพวกเราตั้งอยู่ห่างไกล แต่มีของป่าล้ำค่าสารพัด แล้วยังมีสุราชั้นเลิศที่หมักมานานอีก ท่านลูกค้าโปรดรอสักครู่” กล่าวจบก็ตะโกนเข้าไปด้านใน “เสี่ยวซาน รีบยกสุรากับอาหารอย่างดีมาเร็ว”
หลังจากเสียงตะโกนของเขา ชายหนุ่มหน้าตาซื่อคนหนึ่งก็ยกสุรากับอาหารเดินออกมาจากด้านใน ชายหนุ่มผู้นี้อายุยี่สิบกว่าปี ร่างกายกำยำล่ำสัน แต่หน้าตาโง่เซ่อ เห็นชัดว่าสติปัญญามิสูงนัก เขายกถั่วจานหนึ่งกับเนื้อหัวหมูจานหนึ่งมาวางบนโต๊ะด้วยท่าทางทึ่มๆ แล้วไปเทสุรากาหนึ่งจากไหสุราขนาดใหญ่ที่มุมห้องมาวางตรงหน้าต้วนอู๋ตี๋ หลังจากนั้นจึงกลับเข้าไปห้องด้านใน ได้ยินเสียงหม้อกระทะดังเคร้งคร้าง ไม่นานอาหารป่าหลายจานก็ถูกยกออกมา ทั้งจานเนื้อจานผักมีครบครัน กลิ่นหอมโชยเข้ามาในจมูก
ต้วนอู๋ตี๋รู้สึกว่าท้องหิวจนร้องโครกคราก แต่เขายังมีความระแวดระวังอยู่ จึงมองไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างตั้งใจแต่เหมือนมิตั้งใจ เห็นฝั่งตรงข้ามมีทั้งหมดสี่คน คนที่นั่งหัวโต๊ะเป็นบุรุษวัยกลางคนแต่งตัวอย่างพ่อค้าคล้ายเป็นเจ้านาย สองคนด้านซ้ายขวาสวมชุดของผู้คุ้มกัน หน้าตาห้าวหาญ แล้วมีบุรุษสวมอาภรณ์สีเขียวอีกผู้หนึ่งนั่งหันหลังให้ตน แม้จะมองมิเห็นหน้าตา แต่เส้นผมเป็นสีเทาอ่อน ดูท่าอายุคงมิน้อย แต่ดูจากแผ่นหลังของเขากลับมิมีท่าทางอย่างคนชรา คงจะอายุราวห้าสิบปี เขาใช้ปิ่นหยกเล่มเดียวเกล้าผมไว้ นอกเหนือจากนี้ก็มิมีเครื่องประดับอีก บนร่างสวมอาภรณ์สีเขียว คิดว่าคงจะเป็นพวกนายเสมียนบัญชีทำนองนั้น เขาประเมินอย่างคร่าวๆ คนเหล่านี้ดูมิเหมือนคนในกองทัพ เมื่อแน่ใจแล้วว่าคนพวกนี้น่าจะมิใช่ทหารที่ไล่ตามมา ต้วนอู๋ตี๋จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เริ่มก้มหน้ากินอย่างตะกรุมตะกราม
เขารีบร้อนออกมาจากหยางอี้ จึงมิได้กินสิ่งใดมาครึ่งค่อนวันแล้ว เมื่อความหิวโหยกล้ำกราย ท่วงท่าการกินย่อมมิน่าดูนัก หลังจากกิ่นอิ่มราวเจ็ดแปดส่วน เขาจึงเริ่มผ่อนคลาย แม้สุราของร้านแห่งนี้จะเป็นสุราป่าของชาวบ้าน แต่ก็รสชาติหวานเผ็ดร้อน เพลิดเพลินจนรู้สึกมิพอ เขาคิดจะดื่มอีกสักจอก แต่ผู้ใดจะคิดว่ามิเหลือสักหยดแล้ว เขาขมวดคิ้ว ทนมิไหวต้องสั่งมาอีกกาหนึ่ง
ยามปกติเขาดื่มสุราน้อยนัก มิใช่ว่าเขาคออ่อน แต่เขามิต้องการให้งานของกองทัพล่าช้า แต่วันนี้ตกมาอยู่ในจุดนี้แล้วย่อมเคร่งครัดได้น้อยลงสักหน่อย เขาดื่มต่อกันหลายจอก รู้สึกว่าร่างกายเบาสบาย ความเหนื่อยล้าค่อยๆ เลือนหายไป สุราป็นสิ่งที่ทำให้คนความคิดล่องลอยได้ดีที่สุด เมื่อคนผ่อนคลายลงแล้วย่อมเริ่มคิดเพ้อเจ้อเหลวไหลอย่างห้ามมิได้
เขานึกขึ้นมาว่าตนเองจงรักภักดีเป็นแม่นมั่น แต่กลับต้องมาแบกชื่อเป็นกบฏ ถูกบีบบังคับให้หนีออกมาอย่างรีบร้อนก็หักห้ามมิไหวโศกเศร้าใจ สุราไหลลงท้อง ความทุกข์ตรมเต็มหัวอก สีหน้ามีความโศกเศร้าคับแค้นและอ้างว้างเพิ่มขึ้นมา มิทราบอย่างสิ้นเชิงว่าอารมณ์ของตนตกอยู่ในสายตาของคนทั้งหลายฝั่งตรงข้าม แม้บุรุษอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นจะนั่งหันหลังให้ต้วนอู๋ตี๋ แต่กาทองแดงใบน้อยที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษก็สะท้อนเงาร่างของต้วนอู่ตี๋ให้คนผู้นั้นเห็นอยู่ในสายตา ใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าเวทนา
ต้วนอู๋ตี๋ดื่มสุราไปหลายจอก รู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้งแต่เท้าเบาหวิว ความเมามายครอบงำสติ อดกลั้นมิไหวขับบทกวีออกมาเสียงดัง “ตัวข้าเป็นลูกหลานจักรพรรดิเกาหยาง บิดาผู้ล่วงลับนามปั๋วยง ปีนั้นเทพเจ้าเยือนพยัคฆ์ย่างเดือนหนึ่ง ข้าถือกำเนิดเมื่อวันที่ยี่สิบเจ็ด…”
บทกวีอันโด่งดังบทนี้เป็นบทที่เขาชอบที่สุด แม้เขามิแตกฉานพงศาวดารนัก แต่บทกวี ‘หลีเซา[1]’ บทนี้กลับเป็นสิ่งที่ชมชอบจนถือมิวาง ท่องได้คล่องปาก เสียงของเขาแหบสากทุ้มต่ำอย่างช่วยมิได้เพราะความทรมานใจระหว่างหลายวันนี้ แต่ขับขานออกมาด้วยความรู้สึกจริงๆ จึงชวนให้คนสะเทือนใจยิ่งนัก
เมื่อขับขานถึงท่อนที่ว่า “ใจข้ายึดมั่นเจตจำนง แม้นชีวิตปลิดปลงมิเสียใจ” เขาก็ร้องซ้ำไปมาแต่ร้องต่อมิได้ ปาดรอยน้ำตาทิ้ง จากนั้นยกจอกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดอีกหน
ในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งเริ่มขับขานต่อจากท่อนนั้น เสียงของคนผู้นั้นประหนึ่งหยก น้ำเสียงแฝงอารมณ์และความหมายอันลึกซึ้ง ต้วนอู๋ตี๋ฟังอย่างเพลิดเพลิน หยุดยกจอกสุราดื่ม พอคนผู้นั้นขับขานถึงท่อนที่ว่า “ยอมหักห้ามดวงจิตข่มปรารถนา ทนผรุสวาจาอัปยศหยามหยัน ให้ชื่อคงพิสุทธิ์ตราบชีวัน จึงเป็นยอดบัณฑิตน่าเชิดชู”
หัวใจของต้วนอู๋ตี๋ก็เจ็บปวดรวดร้าว จนกระทั่งคนผู้นั้นขับขานท่อนสุดท้าย “สุดท้ายจึ่งบอกตนว่าช่างเถิด บนแผ่นดินหามีผู้ใดเข้าใจข้า แล้วไยต้องอาวรณ์อดีตนครา ในเมื่อปณิธานไร้ผู้นำพา ข้าจึงขออำลาไปพำนักกับเผิงเสียน”
ต้วนอู่ตี๋จึงเพิ่งได้สติกลับมาอย่างฉับพลัน ในร้านอาหารป่าบ้านนอก คนในกลุ่มพ่อค้าไฉนเลยจะมีคนขับขานบทกวีของชวีหยวนได้ เขาเงยหน้ามอง ก็เห็นว่าฝั่งตรงข้ามยังเป็นลูกค้าหลายคนนั้น สามคนที่เหลือดื่มสุราเงียบๆ คิดว่าผู้ที่ขับบทกวีคงเป็นคนที่นั่งหันหลังให้ตนคนนั้น
อาจเพราะรับรู้ถึงสายตาของเขา บุรุษเส้นผมสีเทาผู้นั้นจึงหันกลับมายิ้มให้ “ข้าเห็นท่านแม่ทัพปวดใจจนมิอาจร้องจนจบ จึงเกิดความคิดชั่วแล่น ร้องแทนท่านจนจบ ขัดจังหวะท่านแม่ทัพร่ำสุรา ขออภัยด้วย”
หัวใจของต้วนอู๋ตี๋สะดุ้งโหยง คนผู้นี้รู้ตัวตนของตน เขาเพ่งพิจมอง จึงเห็นว่าบุรุษเส้นผมสีเทาที่มีจอนผมสองข้างขาวเป็นด่างดวงผู้นี้กลับมีใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา ท่วงท่ากิริยาสง่างามดั่งหยก หน้าตาหนุ่มแน่น แล้วบรรยากาศรอบตัวยังผ่อนคลาย ชวนให้ผู้ที่เห็นเกิดความรู้สึกชื่นชมนับถือ ตนรู้สึกคุ้นตากับโครงร่างของคนผู้นี้อยู่เล็กน้อย
ทันใดนั้นก็นึกออก ต้วนอู๋ตี๋รู้สึกว่าในปากมีรสชาติขมปร่า ยกสุราร้อนแรงในจอกขึ้นซดรวดเดียวจนหมด แล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบว่า “ผู้แซ่ต้วนโชคดีนัก ฉู่เซียงโหวอุตส่าห์ลำบากมาเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง”
ข้าไม่รู้สึกแปลกใจที่ต้วนอู๋ตี๋มองตัวตนของข้าออก อย่างไรเสียชายหนุ่มผู้มีเส้นผมขาวเช่นข้าก็จดจำได้ง่ายดายนัก ผู้คุ้มกันที่แต่งตัวเป็นพ่อค้าสองคนล้วนเป็นยอดฝีมือจากพรรคธรรมะที่ติดตามกองทัพมาครั้งนี้ บนร่างพวกเขาไม่มีกลิ่นอายของคนที่อยู่ในกองทหารจึงปิดบังหูตาของต้วนอู่ตี๋ได้ ยามนี้เมื่อเห็นว่าตัวตนของข้าถูกเปิดเผยแล้ว พวกเขาจึงลุกขึ้นมาปกป้องอยู่ข้างกายข้าทันที
ม่านประตูด้านในเลิกเปิด หลี่ซุ่นก้าวเชื่องช้าออกมา ด้านหลังของเขา สายลับที่ปลอมตัวเป็นเถ้าแก่กับลูกจ้างนามเสี่ยวซานก็กลับมาวางสีหน้าดุดันห้าวหาญ ตรงประตูร้านมีเงาคนเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน นั่นก็คือซูชิงกับฮูเหยียนโซ่ว นอกร้านมีเสียงลมหายใจที่กดให้เบากับเสียงอาวุธออกจากฝักลอยมาเลือนราง เห็นได้ชัดว่าร้านขายอาหารป่าแห่งนี้กลายเป็นแหฟ้าตาข่ายดินแล้ว ส่วนต้วนอู๋ตี๋ก็คือนกกระจอกในตาข่าย มิเหลือทางรอดอีกต่อไป
ต้วนอู๋ตี๋เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันดี ยามเมื่อภัยมาถึงตัว เขากลับนิ่งสงบดั่งขุนเขา เพียงรินสุราให้ตนเองอย่างเนิบนาบจอกหนึ่ง จากนั้นชูจอกขึ้นเชื้อเชิญ “นับตั้งแต่ท่านโหวหวนคืนจากตงไห่ กองทัพข้าก็พบความพ่ายแพ้หนแล้วหนเล่า แม่ทัพถาน แม่ทัพหลงต่างทยอยพลีชีพเพื่อแว่นแคว้น แม่ทัพสือก็ถูกบีบจนปลิดชีพตน ผู้แซ่ต้วนได้ชื่อเป็นคนทรยศของแว่นแคว้น แล้วยังหลงเข้ามาในกับดักของท่านโหว สติปัญญาของท่านโหวช่างน่าทึ่งยิ่งนัก แต่ท่านโหวร่างกายมีค่าดุจพันตำลึงทอง เหตุใดจึงมาเสี่ยงอันตรายตามลำพัง หากหมายจะเอาชีวิตผู้แซ่ต้วน เพียงส่งทหารม้ากองหนึ่งหรือองครักษ์ไม่กี่คนมาก็เพียงพอแล้ว ไยต้องเอาตัวมาเสี่ยงด้วยเล่า” ประโยคสุดท้ายแฝงแววประชด แต่สีหน้าของเขากลับเยือกเย็นอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าตนเองมิได้ตกอยู่ในกับดักแต่อย่างใด
[1]หลีเซา ผลงานประพันธ์ของชวีหยวนกวีเอกคนหนึ่งแห่งยุคจั้นกั๋ว เป็นบทกวีพรรณนาความรู้สึกที่ยาวที่สุดในยุคโบราณ ครึ่งแรกเล่าประวัติความเป็นมาของกวี เหตุการณ์ที่พานพบและปณิธานที่มีต่อบ้านเมือง ครึ่งหลังพรรณนาความรักชาติของตัวกวีและความรู้สึกนึกคิดของประชาชน