ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 107 ภักดีกลับคลางแคลง (ปลาย) (3)
หัวใจของต้วนอู๋ตี๋ปีติยินดีอยู่ครึ่งหนึ่งและโศกเศร้าอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาลุกขึ้นค้อมกายคำนับกล่าวว่า “ขอบคุณท่านโหวที่เมตตา” สายตาตวัดผ่านบนร่างฮูเหยียนโซ่วกับซูชิง แต่เดิมเขาก็เป็นคนละเอียดลออคนหนึ่ง มองปราดเดียวก็เห็นความผิดปกติระหว่างทั้งสองคนจึงยิ้มน้อยๆ
เขาก้มตัวคารวะไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองจิ้นหยาง แล้วกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “อู๋ตี๋ยามมีชีวิตมิอาจพิทักษ์แผ่นดิน ยามสิ้นลมขอดวงวิญญาณหวนคืนมาตุภูมิ คอยปกปักษ์บ้านเกิดเมืองนอน” กล่าวจบก็ยกกระบี่ขึ้นจดลำคอ
ข้ามิทราบเป็นอันใด อารมณ์พลุ่งพล่านเกินระงับ ตะโกนขัดว่า “ช้าก่อน” หลี่ซุ่นเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว เขาดีดลมปราณสายหนึ่งออกจากดรรชนี ต้วนอู๋ตี๋มือชา กระบี่ยาวร่วงลงพื้น
เขาตกใจเอ่ยอย่างกรุ่นโกรธ “ท่านโหวจะกลับคำ หยอกล้อผู้แซ่ต้วนเล่นหรือไร” เวลานี้เขาโกรธเกรี้ยวถึงที่สุดจริงๆ แล้วจึงลุกพรวดขึ้นมา แม้จะถูกคนขวางทางไว้ทันที มิให้เขาก่อเรื่องเพราะความโมโห แต่เขาก็โทสะเดือดพล่านจนสองตาแทบจะกลายเป็นสีโลหิต
ข้ายิ้มละไมกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพวางใจเถิด ข้ามิเปลี่ยนใจแน่ เพียงแต่อยากจะมอบทางเลือกอื่นให้ท่านแม่ทัพสักทางหนึ่ง หากท่านแม่ทัพมิยินดีก็เชิญปลิดชีพตนได้ ผู้แซ่เจียงจะมิขัดขวางแน่นอน”
ต้วนอู๋ตี๋มองพวกหลี่ซุ่น ทราบว่าตนเองมิอยากฟังก็ต้องฟัง จึงได้แต่เอ่ยอย่างโมโหโทโส “ท่านโหวเชิญพูด”
ข้าเอ่ยทีละคำ “ข้าอยากจะปล่อยท่านแม่ทัพไป มิทราบท่านแม่ทัพคิดเห็นเช่นไร”
ต้วนอู๋ตี๋ตกตะลึงยิ่งนัก แต่เขาก็ยิ้มหยันออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านโหวล้อเล่นแล้ว แม้ผู้แซ่ต้วนไร้ความสามารถ แต่หากวันนี้ข้าอยู่ในตำแหน่งของท่านโหวคงมิมีทางปล่อยวิหคออกจากกรงเป็นอันขาด”
ข้าเดินมานั่งหน้าโต๊ะ โบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนนอกจากหลี่ซุ่นถอยออกไป หลังจากนั้นจึงเชิญต้วนอู๋ตี๋มานั่งฝั่งตรงข้าม ต้วนอู๋ตี๋ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เดินเข้ามา เขาปล่อยวางทุกสิ่งลงแล้ว จึงตัดสินใจทำตามใจ
ข้าแย้มรอยยิ้ม “ผู้แซ่เจียงกล้ากล่าวอย่างมิหลบเลี่ยง การหันหลังให้หนานฉู่มาเข้ากับยงอ๋องในอดีตถือเป็นการทำผิดหลักคุณธรรม วันนี้การสมรสกับองค์หญิงหนิงกั๋วฉางเล่อ ขุนนางตบแต่งนายเป็นภรรยายิ่งเป็นการกระทำอันไร้คุณธรรมขาดความภักดีอย่างยิ่ง ภายภาคหน้าข้าย่อมถูกตำหนิติเตียน เป็นไปได้ว่าอาจชื่อเสียงฉาวโฉ่ต่อไปอีกหมื่นปี แต่ข้ามิเคยไยดีชื่อเสียงนอกกาย ทางเลือกในวันนั้นข้าเป็นผู้ยินยอมพร้อมใจ มิได้ถูกบังคับแม้แต่น้อย”
ต้วนอู๋ตี๋เห็นเจียงเจ๋อจู่ๆ เปิดปากเล่าเช่นนี้ก็ทำได้เพียงฟังอยู่เงียบๆ
ข้านึกถึงเรื่องในอดีต ใบหน้าพลันปรากฏสีหน้าหวนคะนึง เล่าต่อว่า “ความจริงตอนแรกผู้แซ่เจียงมิใช่ว่าจะมิพะวงถึงคุณธรรมความภักดีเอาเสียเลย แม่ทัพต้วนน่าจะทราบว่ายามแรกผู้แซ่เจียงถูกจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของต้ายงจับมาเป็นเชลยในนครหลวงของต้ายง”
ต้วนอู๋ตี๋พยักหน้าตอบว่า “ผู้น้อยทราบ ยามนั้นท่านโหวถอดชุดขุนนางแล้ว ทว่าแม้ยงอ๋องมาเชื้อเชิญด้วยตนเอง ท่านโหวก็มิยอมทำงานให้ จึงถูกยงอ๋องจับมาเป็นเชลย พามายังนครหลวงแห่งต้ายง ได้ยินว่าองค์ชายต้อนรับดูแลท่านโหวเป็นอย่างดี ให้เกียรติยิ่งนัก ในที่สุดท่านโหวซาบซึ้งจึงเปลี่ยนใจมาภักดี ยอมทำงานรับใช้” กล่าวถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงเสียดสีก็ชัดเจนอย่างยิ่ง
ข้ากลับมิใส่ใจแม้แต่น้อย เอ่ยต่ออย่างนิ่งสงบ “ความจริงการให้เกียรติผู้มีความสามารถเหล่านั้นทำให้ความตั้งใจของข้าสั่นคลอนได้เสียที่ไหน เจ้านายทั่วหล้าผู้ใดมิเป็นเช่นนี้ ยามสร้างอำนาจปฏิบัติต่อขุนนางเสมือนหนึ่งพี่น้องร่วมอุทร เมื่อการใหญ่สำเร็จก็เป็นวิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายตายจับสุนัขต้ม
เจ้านายผู้โง่เขลาบางคน ถึงขนาดที่การใหญ่ยังมิทันสำเร็จก็ตัดปีกทิ้งเสียก่อน แม้ยามนั้นผู้แซ่เจียงมีเรื่องทางโลกบางเรื่องผูกรั้งอยู่ แต่ก็มิจำเป็นถึงขั้นต้องทำงานรับใช้ผู้อื่น ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะมิยอมทำงานรับใช้ยงอ๋อง ถึงขนาดสร้างความลำบากให้สารพัด บีบให้ยงอ๋องมิอาจไม่ปล่อยมือ ท่านอ๋องชาญฉลาดและมองการณ์ไกลย่อมมิยอมปล่อยข้าจากไปง่ายๆ เมื่อจนหนทางจึงตัดสินใจจะประทานความตายให้ข้า”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ต้วนอู๋ตี๋ก็สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด การได้ล่วงรู้ความลับเช่นนี้ ทำให้เขาอดมิไหวนึกสนใจขึ้นมา ถามขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านโหวเข้ามารับใช้ยงอ๋องได้เช่นไรเล่า”
ข้าตอบอย่างภาคภูมิใจ “ยามนั้นผู้แซ่เจียงมีแผนการอันยอดเยี่ยมไว้สำหรับรักษาชีวิตแล้ว ผู้ปกครองบนโลกใบนี้มากกว่าครึ่งหนึ่ง หากคนเก่งยอมตามจึงรุ่งเรือง หากขัดประสงค์มีแต่สิ้นชีวา ข้าไล่ต้อนให้ยงอ๋องประทานสุราพิษให้ หมายจะแกล้งตายแล้วหนีจาก ถึงตอนนั้นฟ้าดินกว้างใหญ่แล้วแต่ข้าจะท่องไป รอข้าจัดการเรื่องที่ติดค้างได้แล้ว หากยังมีชีวิตเหลือรอดอยู่ก็จะหาสถานที่สงบสักแห่งฝากชีวิตที่เหลือไว้ นั่นคงเป็นความสุขของชีวิต”
เล่าถึงตรงนี้ ข้าก็เผยสีหน้าปลงอนิจจังออกมาอย่างห้ามมิได้ แล้วเล่าต่อว่า “แต่คิดไม่ถึงว่าตัวข้าเจียงเจ๋อเชื่อมั่นว่าตนเองคาดเดาจิตใจทุกคนบนโลกหล้า แต่กลับมาสิ้นท่าให้แก่ยงอ๋อง ในชั่วเวลาพริบตานั้น องค์ชายกลับเทสุราพิษทิ้ง จากนั้นรินสุราเต็มหมวกเกราะทองคำดื่มส่งข้าออกเดินทาง
แม้ผู้แซ่เจียงไร้ความสามารถ แต่ก็ทราบว่าบนโลกใบนี้มีน้อยคนนักจะต่อกรกับข้าได้ องค์ชายกลับปล่อยข้าไปอย่างง่ายดาย เจ้านายผู้มีเมตตาเช่นนี้ ข้าไฉนเลยจะปล่อยให้คุณธรรมเล็กน้อยมาทำให้ผิดต่อเรื่องสำคัญใหญ่หลวง ดังนั้นสุดท้ายข้าจึงยอมเป็นขุนนางรับใช้องค์ชาย นับจากวันนั้นนายบ่าวช่วยเหลือเกื้อหนุน ดุจมัจฉาได้วารีจวบจนถึงวันนี้”
ดวงตาของต้วนอู๋ตี๋ฉายแววชื่นชมจางๆ ไม่นานเขาก็เอ่ยว่า “แม้โอรสสวรรค์แห่งต้ายงจะเมตตา แต่อย่างไรเสียก็มิใช่เจ้าแผ่นดินเป่ยฮั่นของข้า หากท่านโหวคิดว่าเล่าเรื่องนี้แล้วจะโน้มน้าวให้ผู้แซ่ต้วนยอมเปลี่ยนฝั่งได้ ก็ขออภัยที่ผู้แซ่ต้วนมิรับเจตนาดี”
ข้าโบกมือแล้วคลี่รอยยิ้ม “หาเป็นเช่นนั้นไม่ ท่านแม่ทัพจิตใจแน่วแน่มิมีผู้ใดเทียม ข้าทราบว่าท่านแม่ทัพมิมีทางยอมทรยศแผ่นดินและประชาชนเป่ยฮั่น แล้วข้าก็ทราบว่าท่านแม่ทัพขอปลิดชีพตนก็เพราะมิเชื่อว่าข้าจะปล่อยท่านแม่ทัพจากไป”
ต้วนอู๋ตี๋เงียบงัน เรื่องนี้เห็นชัดว่าเป็นเรื่องจริง
ข้ากล่าวต่ออย่างสุขุม “แน่นอนว่าท่านแม่ทัพเป็นยอดแม่ทัพผู้เก่งกาจ ทั้งยังจงรักภักดีต่อเป่ยฮั่น หากข้าบอกว่าจะยอมปล่อยท่านแม่ทัพไป ผู้ใดก็คงมิยอมเชื่อ แต่เมื่อครู่ผู้แซ่เจียงหวนนึกถึงเรื่องในอดีต วันนั้นการที่ฝ่าบาทเสียดายคนมีฝีมือจนยอมละเว้นชีวิตข้าก็เป็นเรื่องเป็นไปมิได้ดุจเดียวกัน ข้าชื่นชมนิสัยของท่านแม่ทัพยิ่งนัก แล้ววันนี้ทำไมจะปล่อยแม่ทัพไปบ้างมิได้ ดังนั้นขอเพียงท่านแม่ทัพรับปากข้าเรื่องหนึ่ง ข้าก็จะปล่อยท่านแม่ทัพไป”
ดวงตาของต้วนอู๋ตี๋ฉายแววคลางแคลงและคาดหวังผสมปนเป แต่ยังคงเงียบงันมิพูดจา
ข้าเอ่ยย้ำอีกหน “ความตั้งใจนี้ของผู้แซ่เจียงฟ้าดินเป็นพยาน ขอเพียงท่านแม่ทัพรับปากข้าเรื่องเดียว ข้าก็จะปล่อยท่านแม่ทัพจากไป”
ต้วนอู๋ตี๋ลังเลเล็กน้อย ถามขึ้นว่า “เชิญท่านโหวเอ่ยปาก แต่บางเรื่องผู้แซ่ต้วนคงมิมีทางตกลง”
ในใจข้าทราบดีจึงกล่าวว่า “ท่านวางใจเถิด ข้าย่อมมิทำให้ท่านลำบากใจ ข้าทราบว่าการเดินทางหนนี้ของท่านคิดจะเดินทางผ่านปินโจวไปยังหนานฉู่ หากท่านรับปากว่าจะมิเดินทางไปหนานฉู่ ข้าก็จะปล่อยท่านจากไป”
ต้วนอู๋ตี๋ขมวดคิ้วกล่าวขึ้นว่า “ตงไห่ช้าเร็วต้องตกเป็นส่วนหนึ่งของต้ายง ผู้แซ่ต้วนจะอยู่ในเขตแคว้นศัตรูได้เช่นไร”
ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็ทราบแล้วว่าเขาหวั่นไหว จึงกล่าวต่อว่า “แม้เป็นเช่นนั้น แต่นอกจากหนานฉู่ยังมีสถานที่มากมายให้เดินทางไป หลายปีนี้มีคนจากจงหยวนโดยสารเรือข้ามทะเลไปบ่อยครั้ง บ้างเดินทางไปยังเกาลี่ บ้างเดินทางไปแคว้นต่างๆ ทางหนานหยาง ทางเลือกมากมายเหลือคณานับ หากท่านแม่ทัพยอมเดินทางออกจากจงหยวนย่อมมิอาจเป็นศัตรูกับต้ายงได้อีก ข้าก็จะปล่อยท่านไป ฝั่งฝ่าบาทกับฉีอ๋องข้าล้วนเจรจาได้ มิทราบท่านแม่ทัพคิดเห็นเช่นไร”
ต้วนอู๋ตี๋เงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ หากเป่ยฮั่นล่มสลาย แม้ไปถึงหนานฉู่แล้วยังจะทำเช่นไรได้อีก หากเป่ยฮั่นมิล่มสลาย แม้ตนอยู่โพ้นทะเล แล้วจะสำคัญอันใด เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงพยักหน้าตอบว่า “ข้ารับปากเงื่อนไขนี้”
ข้ายิ้มละไม กล่าวชึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ทัพก็เชิญเดินทางไปปินโจวด้วยตนเอง จากนั้นไปหาไห่หลีนายน้อยแห่งกิจการเดินเรือตระกูลไห่ เขาจะจัดการให้ท่านแม่ทัพออกจากจงหยวน”
ต้วนอู๋ตี๋ถามอย่างคลางแคลง “ยามท่านโหวใช้อุบายมักจะมิเหลือช่องโหว่ไว้แม้แต่น้อย เหตุใดวันนี้จึงผ่อนปรนให้ข้า เพียงเพราะว่าข้าทำให้ท่านโหวหวนนึกถึงเรื่องในอดีตหรือ”
ข้าลุกขึ้น เสี่ยวซุ่นจื่อผูกผ้าคลุมกันลมสีเขียวให้ข้า ข้าเดินไปถึงประตูแล้วจึงหยุดฝีเท้า ตอบอย่างนิ่งสงบ “ตลอดมายามข้าใช้อุบาย ล้วนใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของผู้อื่น มีเพียงหนนี้ที่หลอกใช้ประโยชน์จากความภักดีและความเมตตาของท่านแม่ทัพ บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงรู้สึกละอายใจต่อท่านแม่ทัพยิ่งนัก
นับจากวันนี้ท่านต้องจากไกลแผ่นดินจงหยวน ระหกระเหินไร้หลักแหล่ง ชีวิตเช่นนี้ดีกว่าตายเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น นี่นับมิได้ว่าเป็นความใจกว้าง เพียงแต่ท่านแม่ทัพโปรดจดจำไว้ หากท่านเพ้อฝันคิดจะใช้ประโยชน์จากความหวังดีของข้า การแก้แค้นของผู้แซ่เจียงจะทำให้ท่านแม่ทัพเสียใจอย่างสุดซึ้ง
แม้แม่ทัพซูจะตัดความสัมพันธ์กับท่านแล้ว แต่วันนี้นางยังร้องขอความเมตตาแทนท่าน ยังมีไมตรีเก่าก่อนเหลืออยู่ หากท่านมิต้องการลากนางลงมาเคราะห์ร้ายด้วยก็จงอยู่โพ้นทะเลสักหลายปี ถึงยามที่เป่ยฮั่นล่มสลายแล้ว หากท่านปรารถนาจะกลับมาก็มิเป็นอันใด”
ต้วนอู๋ตี๋ยืนนิ่งอยู่ในห้องโถงร้าน หูได้ยินเสียงกีบเท้าม้าวิ่งห่างออกไป ในใจเขามีรสชาติแปร่งปร่าอันบอกมิถูก เขาค่อยๆ เก็บกระบี่ยาวกลับเข้าฝัก แล้วนึกสงสัยว่าแสงสว่างเสี้ยวหนึ่งท่ามกลางความมืดมิดนี้จะนำโลกใบใหม่มาให้หรือไม่
ข้านั่งอยู่บนหลังอาชา เหลือบมองผ่านปลายหางตา ซูชิงก้มหน้าเงียบงันมาตลอดทาง นางกับต้วนอู๋ตี๋คงยังมีความผูกพันหลงเหลืออยู่ เพียงแต่ระหว่างทั้งสองคนมีความแค้นต่อแว่นแคว้นและความแค้นส่วนตัวกั้นขวาง ความฝันที่จะครองคู่กันจึงยากจะเป็นไปได้
ข้ายิ้มละไมมองไปทางทิศเหนือ ไม่กี่วันก่อนฝ่าบาทออกราชโองการลับมาสี่ฉบับติดกัน ให้ข้าเดินทางไปซินโจวเพื่อเข้าเฝ้า ยามนี้กองทัพหลวงกำลังจะโอบล้อมสำเร็จแล้ว ขอเพียงจบเรื่องที่ไต้โจวก็จะเริ่มบุกตีจิ้นหยางได้ ค่ายใหญ่เจ๋อโจวฝั่งนี้แม่ทัพทั้งหลายปรองดองกันอย่างยิ่งแล้ว มิมีเรื่องภายในให้กังวลอีก หน้าที่ของข้าจึงสิ้นสุดลงแล้ว
มิได้พบหน้ากันหลายปีก็มิแปลกที่ฝ่าบาทจะร้อนพระทัย เรียกข้าไปเข้าเฝ้า การขัดพระราชโองการมีหนที่หนึ่งได้ มีหนที่สองได้ แต่มิอาจมีหนที่สามหนที่สี่ได้ ข้าสมควรรีบออกเดินทางจึงจะเป็นการดี ข้าเงยหน้ามองผืนนภา สายลมแผ่วเบาก้อนเมฆบางเบาชวนให้หัวใจปลอดโปร่ง มิรู้ว่าเจ้าเด็กโง่ชื่อจี้ตอนนี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่