ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 11 สิ้นบุญคุณหมดเยื่อใย (2)
ต้วนอู๋ตี๋สีหน้าเคร่งขรึม กล่าวว่า “ชิงไต้ ที่นี่คือจวนแม่ทัพใหญ่”
ชิงไต้แค่นเสียงหยันแล้วหันหน้าหนี ต้วนอู๋ตี๋จึงกล่าวต่อว่า “วันนี้ข้าจะถือเสียว่าไม่เคยได้ยินคำพูดของเจ้า เจ้าสมควรทราบมาบ้างแล้ว ยามนี้เบื้องบนจากเชื้อพระวงศ์จดชาวประชาเบื้องล่าง นอกจากผู้มีอำนาจจำนวนน้อย ผู้ใดมิสู้ตาย ความรันทดของทาสสิ้นแคว้น ผู้ใดไม่ทราบ ต้ายงกับเป่ยฮั่นสั่งสมแค้นกันมาล้ำลึก หากเป่ยฮั่นสิ้นแว่นแคว้น ถ้าเช่นนั้นประชาชนของพวกเราคงมิอาจอยู่ดีมีสุขไปอีกหลายรุ่น
สงครามครานี้ต้องสู้ ต่อให้สุดท้ายพวกเราพ่ายแพ้ก็ต้องทำให้ต้ายงเสียหายสาหัส เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้ต้ายงทำลายเป่ยฮั่นได้ก็ย่อมมิกล้าทำร้ายประชาชนของพวกเรามากเกินไป พวกเขาจักกังวลตลอดไปว่าประชาชนของพวกเราจะจับหอกดาบลุกขึ้นสู้ ชิงไต้ สิ่งเหล่านี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น สถานการณ์เป่ยฮั่นในยามนี้วิกฤตจริงๆ มิสู้ก็ตาย สู้ก็อาจตาย แต่พวกเรามิสู้มิได้ หากพวกเราชนะย่อมดีที่สุด แต่หากปราชัยก็ต้องให้ต้ายงจดจำความน่ากลัวของทหารหาญเป่ยฮั่นเอาไว้ มีเพียงทำเช่นนี้จึงจะปกป้องประชาชนของพวกเรามิให้ถูกคนหยามหมิ่น
เจ้าเองก็อ่านตำราประวัติศาสตร์มามาก จำมิได้หรือว่ายามราชวงศ์ตงจิ้นก่อตั้งแคว้น ไต้โจว จิ้นหยาง ชิ่นโจวเข้าสวามิภักดิ์ ทว่าเป็นเวลาหนึ่งร้อยกว่าปีเต็มๆ ที่ดินแดนแห่งนี้ของพวกเราต้องจ่ายภาษีมากกว่าที่อื่นถึงสามส่วน ยามเผ่าคนเถื่อนรุกราน ขุนนางที่ตงจิ้นส่งมาก็เอาแต่จะขูดรีด จนกระทั่งร้อยปีให้หลังสถานการณ์จึงดีขึ้น ชิงไต้ เจ้าต้องการให้สหายร่วมภูมิลำเนาของพวกเราทุกข์ทรมานเฉกเช่นนั้นหรือ”
ชิงไต้ไม่มีคำใดจะโต้แย้ง หากเป่ยฮั่นพ่ายศึก วันหน้าต้ายงจะจัดการประชาชนเป่ยฮั่นผู้สิ้นแว่นแคว้นเช่นไร เรื่องนี้นางมิอาจตัดสินใจ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ต้ายงดูแลประชาชนเป่ยฮั่นเป็นอย่างดี แต่เชื้อพระวงศ์กับขุนนางบุ๋นบู๊ของเป่ยฮั่นก็คงมีจุดจบที่น่ากังวลนัก เพียงจุดนี้เป่ยฮั่นก็มิอาจยอมแพ้สงครามได้โดยง่ายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในยามนี้ ต้ายงก็ไม่แน่ว่าจะมีชัยแน่นอน
แต่สิ่งที่นางสนใจที่สุดก็คือ ต้วนอู๋ตี๋มองในทางร้ายเช่นนี้จริงหรือไม่ หากบุคคลเช่นแม่ทัพคนสำคัญของเป่ยฮั่นยังคิดเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นโอกาสชนะของต้ายงก็ย่อมมากขึ้นอีก เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจชิงไต้ก็ยิ้มขมขื่นอย่างห้ามมิได้ การฝึกวิชานานหลายปีทำให้ตนรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ตลอดเวลา แม้แต่ ‘การเสียกิริยา’ เมื่อครู่ก็เป็นเพียงการเสริมภาพลักษณ์หยิ่งทะนงของตนในสายตาต้วนอู๋ตี๋เท่านั้น ด้วยภาพลักษณ์เช่นนี้ย่อมทำให้ต้วนอู๋ตี๋มิคิดถึงความเป็นไปได้ที่ตนจะเป็นไส้ศึก
เห็นนางมิพูดต่ออีก ต้วนอู๋ตี๋จึงเอ่ยอย่างสำนึกผิด “ชิงไต้ ข้าทราบว่าเจ้าไม่มีทางให้อภัยข้า ผ่านไปอีกสองสามวันข้าจะขอร้องแม่ทัพใหญ่ให้ปล่อยเจ้าเป็นอิสระ สองสามวันนี้เจ้าพักผ่อนให้ดีก่อนก็แล้วกัน”
ชิงไต้ตกตะลึง การถูกรั้งตัวอยู่ที่นี่มิใช่สิ่งที่นางปรารถนา นางทราบว่าเซียวถงยังไม่เลิกล้มที่จะสืบเกี่ยวกับตนเอง แม้หลายปีที่ผ่านมาตนระมัดระวังรอบคอบ แต่ก็ยังมีร่องรอยบางอย่างที่มิอาจอธิบายให้กระจ่าง เพื่อความปลอดภัย ตนสมควรจากไปให้เร็วที่สุดจึงจะดี เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ฝังร่างของแม่ทัพสือแล้วหรือ”
ต้วนอู๋ตี๋ลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “แม่ทัพสือถูกฝังอยู่นอกกำแพงเมืองทิศเหนือ แม่ทัพใหญ่โกรธมาก ดังนั้นจึงสั่งให้คนฝังศพอย่างลวกๆ เท่านั้น”
ชิงได้ก้มหน้าลง “ยามอยู่ แม่ทัพสือรักข้าอย่างลึกซึ้ง ข้าต้องการไปเซ่นไหว้เขา มิทราบว่าจะได้หรือไม่”
หัวใจของต้วนอู๋ตี๋เจ็บปวด แม้หมดหวังที่จะคืนดีกับชิงไต้มานานแล้ว แต่เมื่อเห็นชิงไต้ดูมีใจให้สืออิงก็ยังทำให้หัวใจเขาขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ปล่อยวางเรื่องนี้มานานแล้ว หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ได้ วันพรุ่งนี้ข้าน่าจะไม่มีธุระ ให้ข้าไปเซ่นไหว้แม่ทัพสือเป็นเพื่อนเจ้าเถิด”
ชิงไต้พยักหน้าเล็กน้อย มีต้วนอู๋ตี๋ไปด้วยย่อมดีที่สุด นางอุ้มผีผาขึ้นมาใหม่อีกหน สิบนิ้วลูบไล้แผ่วเบา เสียงดนตรีเศร้าสร้อยดังขึ้น ต้วนอู๋ตี๋ทราบว่าชิงไต้ไม่ต้องการสนทนากับตนต่อแล้ว เขามองชิงไต้อย่างล้ำลึกครั้งหนึ่ง ต้องการจดจำดวงหน้าของสตรีนางนี้ไว้ในใจ หลังจากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป หุบเหวที่กั้นกลางระหว่างทั้งสองคนมิอาจถมให้เต็มได้ เขาได้แต่หวังว่าแม่ทัพใหญ่จะมิกล่าวโทษชิงไต้ ถึงอย่างไรในสถานการณ์ตอนนี้ การจะสังหารหญิงขับร้องที่มีความเคียดแค้นในใจคนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ผู้ใดมิอาจคัดค้าน
ชิงไต้มองแผ่นหลังของต้วนอู๋ตี๋แล้วถอนหายใจแผ่วเบา หากยามนั้นทั้งสองคนมิได้แยกจากกัน บางทีพวกเขาอาจมิได้เป็นศัตรูกันเช่นวันนี้ ตนจะกล่าวว่ามิคิดแค้นได้เช่นไร หากหัวใจมิคิดแก้แค้น ตนไยต้องเปลี่ยนแผนโดยพลการ
แต่เดิมคำสั่งที่เบื้องบนสั่งมาคือให้ตนจัดการยัดหลักฐานว่าสืออิงเข้ากับฝ่ายศัตรู จากนั้นปล่อยข่าวลือว่าต้วนอู๋ตี๋ลักลอบขนของเถื่อน ทรยศแคว้นเข้ากับศัตรู สุดท้ายให้จัดการโยงเงื่อนงำอย่างระมัดระวังไปที่ตัวของสืออิง ภารกิจนี้แม้ยาก แต่กำลังคนที่ซ่อนตัวอยู่ในชิ่นโจวของกองทัพต้ายงมีกำลังเพียงพอจะทำได้
ทว่าเมื่อชิงไต้เดินทางมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองก็ค้นพบอย่างไม่คาดคิดว่าสืออิงตกหลุมรักตนตั้งแต่แรกเห็น และหลังจากบังเอิญพบต้วนอู๋ตี๋ที่หอเฟยเยี่ยนก็ยิ่งกระตุ้นความเคียดแค้นในใจนาง ดังนั้นนางจึงเลือกแผนการที่แม้แต่ตนก็ยากจะควบคุม จงใจยุให้สืออิงริษยาต้วนอู๋ตี๋ หลังจากนั้นจัดการให้สืออิงได้รับข่าวที่นางมอบให้ แล้วปล่อยให้เขาเริ่มโจมตีต้วนอู๋ตี๋
เดิมทีสิ่งที่เบื้องบนต้องการคือให้สืออิงถูกสงสัยและทำให้ชื่อเสียงของต้วนอู่ตี๋เสียหายเล็กน้อยก็เพียงพอ แต่การกระทำของตนกลับทำให้ต้วนอู๋ตี๋เกือบจะถูกลงโทษ ส่วนสืออิงก็ตายอนาถอยู่ในหอเฟยเยี่ยน หากมิใช่เพราะนิสัยของสืออิงเป็นไปตามที่เบื้องบนกล่าวไว้จริงๆ เกรงว่าการกระทำครั้งนี้ของตนคงล้มเหลวเป็นแน่ โชคดีท้ายที่สุดแผนการยังสำเร็จ แต่ตนเองก็ถูกคุมตัวไว้ ยามนี้หวนนึกขึ้นมาก็ยังนึกหวาดหวั่นมิคลาย
ชิงไต้มิทราบว่าตนเองทำเกินไปหรือไม่ น่ากลัวว่าหลังกลับไปคงถูกตำหนิและลงโทษ แต่การได้เห็นต้วนอู๋ตี๋ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากกลับทำให้นางพอใจยิ่งนัก แต่ความรู้สึกนั้นก็เป็นเพียงดั่งหมอกควันลอยผ่าน ยามนี้เมื่อทั้งสองคนพบหน้ากัน ชิงไต้ก็ตระหนักว่าตนมิแค้นเคืองต้วนอู๋ตี๋อีกต่อไปแล้ว อุดมการณ์ที่แตกต่างกันมิใช่สิ่งที่จะใช้ความรักมากลบทับ ยามนั้นต่อให้ต้วนอู๋ตี๋ปลีกวิเวกไปด้วยกันกับตน สุดท้ายก็ต้องมีสักวันต้องแยกทางกันอยู่ดี
ชิงไต้ถอนหายใจแผ่วเบาแล้วนึกถึงใบหน้ายามยิ้มแย้มของสืออิง แล้วหวนนึกถึงยามตนเดินทางไปค่ายใหญ่เจ๋อโจวรายงานใต้เท้าเจียง ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนสงบนิ่งผู้นั้นวิเคราะห์ได้ตรงเผงอย่างยิ่ง
‘สืออิงผู้นี้ แม้เป็นยอดแม่ทัพที่มีจำนวนไม่มาก แต่พบเจออุปสรรคมาน้อย เขาเป็นทหารได้ไม่นานก็เป็นที่ถูกใจของหลงถิงเฟย นับแต่นั้นชีวิตก็ราบรื่นมาเกือบตลอด เมื่อหลงถิงเฟยคอยปกป้อง เรื่องราวดำมืดมากมาย เขาจึงมิรับรู้นัก
ยิ่งไปกว่านั้น นิสัยของคนผู้นี้มีข้อเสียอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือกล้ำกลืนความอยุติธรรมมิลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิอาจรับได้หากมีคนคลางแคลงมิเชื่อใจเขา ขอเพียงทำให้หลงถิงเฟยสงสัยว่าเขาอาจเข้ากับฝ่ายศัตรู คนผู้นี้ย่อมโกรธเกรี้ยวทนมิได้ เพียงชักนำอีกเล็กน้อยเขาก็จะก่อเรื่องที่เก็บกวาดมิได้ขึ้นมา ถึงเวลานั้นต่อให้หลงถิงเฟยมิอยากสงสัยเขาก็เป็นไปมิได้แล้ว’
ใต้เท้าเจียงผู้นั้นมองคนแม่นยำยิ่งจริงๆ หากมิใช่สืออิงมีนิสัยเช่นนี้ หากเขายอมโอนอ่อนอธิบายความจริงกับหลงถิงเฟย น่ากลัวว่าผู้ที่ตายคงเป็นตัวนางเอง ทว่าแม้แต่หัวใจดั่งหินผาของตนในยามนี้ก็ยังรู้สึกสงสารเวทนาเขาอย่างอดมิไหว แม้ครั้งนี้จะเป็นข้ออ้างที่ตนหยิบยกมาเพราะต้องการหลบหนี แต่ตนก็ต้องการเซ่นไหว้เขาจากใจจริงด้วยเช่นกัน คนเช่นนี้ แม้แต่ตนก็หวั่นไหวด้วยอย่างห้ามมิได้