ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 113 โลหิตนองเยี่ยนเหมิน (3)
เมื่อคำนี้เอ่ยออกมา ใต้กำแพงพลันมีเสียงฮือฮา กองทัพไต้โจวบนกำแพงทนมิไหว ตะโกนด่าทอ หวันเหยียนน่าจินโบกมือ เสียงแตรสัญญาณดังขึ้น กองทัพคนเถื่อนเริ่มศึกบุกตีด่านครั้งรุนแรงที่สุด สิ่งที่ทำให้พวกหวันเหยียนน่าจินยินดีก็คือกำลังพลของกองทัพไต้โจวหนนี้อ่อนแอลงมาก ศึกยากลำบากหลายวันที่ผ่านมาคงผลาญกำลังของพวกเขาไปมากหลือเกิน แต่พวกเขายังดันทุรังต้านไว้ ศรถูกยิงจนหมดก็ใช้ดาบฟัน ดาบถูกฟันจนทื่อก็ใช้กำปั้นกับฟันคม แม้แต่พลทหารที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไปก็ยังกอดศัตรูที่บุกขึ้นมาบนกำแพงด่านแล้วกลิ้งลงไปใต้กำแพงด้วยกัน พลทหารบางคนแม้สิ้นใจแล้วก็ยังกัดคอของศัตรูไว้แน่น ทั้งที่ด่านเยี่ยนเหมินใกล้จะพังทลายอยู่รอมร่อ แต่ก็ยังตีด่านไม่แตก
ในที่สุดพลบค่ำวันนี้หวันเหยียนน่าจินก็อดทนมิไหว ส่งกองทัพหมาป่าหิมะ กองทหารฝีมือล้ำเลิศที่สุดของเผ่าเก๋อเล่อที่เก็บซ่อนไว้ออกไป กองทัพหมาป่าหิมะเป็นกองกำลังที่หวันเหยียนน่าจินฝึกปรือมาด้วยตนเอง แต่ละคนล้วนเป็นผู้กล้าหนึ่งในพันแห่งทุ่งหญ้า เผ่าเก๋อเล่อก็อาศัยกองทัพหมาป่าหิมะนี่เองจึงกำราบผู้กล้าของแต่ละเผ่า ผลักดันให้หวันเหยียนน่าจินขึ้นมาครองตำแหน่งข่านได้
เสียงออกคำสั่งดังขึ้น กองทัพหมาป่าหิมะไต่ขึ้นไปบนบันไดพาดกำแพง การเคลื่อนไหวของแต่ละคนรวดเร็วปานสายฟ้า ทหารที่คุ้มกันอยู่บนกำแพงด่านเหนื่อยล้าจนเกือบไม่ไหวแล้ว แทบจะในพริบตาเดียว ด้านบนกำแพงด่านก็ถูกกองทัพหมาป่าหิมะยึด หวันเหยียนน่าจินยินดียิ่งนัก ให้คนเป่าแตรสัญญาณบุกโจมตี กองทัพเผ่าคนเถื่อนทั้งหลายสำแดงพลัง รอเพียงกองทัพหมาป่าหิมะเปิดประตูด่านออกมาจากด้านใน พวกเขาก็จะแห่เข้าไปเอาโลหิตชโลมด่านเยี่ยนเหมิน หลังจากนั้นเหยียบเข้าสู่แผ่นดินจงหยวน เข่นฆ่าปล้นชิง
กองทัพหมาป่าหิมะที่บุกขึ้นมาบนกำแพงด่านเก็บออมแรงมาหลายวัน ทหารที่เหน็ดเหนื่อยบนกำแพงด่านจะเป็นคู่ต่อกรของพวกเขาได้เช่นไร แทบจะเพียงพริบตา พวกเขาก็ทะลวงฝ่าแนวป้องกันหลายชั้น พุ่งเข้าไปหาหลินหย่วนถิงผู้นั่งบัญชาการรบอยู่บนที่สูง
จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน หวันเหยีนน่าจินออกคำสั่งให้สังหารหลินหย่วนถิงแล้ว พวกเขาย่อมต้องการจะแย่งชิงความชอบนี้
ใบหน้าซีดเผือดของหลินหย่วนถิงปรากฏริ้วสีแดงขึ้นเลือนราง จากนั้นยกมือขึ้นโบก ทหารที่ซุ่มซ่อนอยู่ในที่ลับมาตลอดวันพุ่งออกมาขวางทางถอยของกองทัพหมาป่าหิมะไว้ ผู้ที่อยู่หน้าขบวนก็คือหลินหย่วนฉง ทหารกองนี้กอปรด้วยทหารกล้าฝีมือเยี่ยมที่สุดในด่านเยี่ยนเหมิน ตลอดหนึ่งวันนี้มิว่าบนด่านจะสู้รบยากลำบากเช่นไร พวกเขาล้วนทำเพียงซุ่มซ่อนอยู่ในที่ลับตามิลงมือช่วยเหลือ เฝ้ามองสหายร่วมรบและครอบครัวตายอย่างน่าเวทนา ในใจพวกเขาสาบานตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่าจักชำระแค้น
พริบตาที่พวกเขาปรากฏตัว พลทหารทั้งหลายก็จุดดินระเบิดที่เตรียมไว้ก่อนแล้ว หลังจากแรงสั่นสะเทือนมหาศาลและเสียงกัมปนาท เส้นทางขึ้นลงกำแพงด่านเยี่ยนเหมินทั้งหมดก็ถูกปิดตาย
นี่เป็นจุดจบที่หลินหย่วนถิงตระเตรียมไว้ เขาจะกำจัดกำลังรบที่เผ่าเก๋อเล่อใช้สยบทุกเผ่าให้สิ้นซาก ให้พวกคนเถื่อนเหล่านี้แตกแยกกันอีกหน ในเวลาเดียวกันนี้เอง ประตูด่านเยี่ยนเหมินก็เปิดออกอย่างเชื่องช้า เผยจุดอ่อนที่ไร้การป้องกัน
เมื่ออยู่ต่อหน้างานเลี้ยงมื้อใหญ่ หัวหน้าเผ่าทั้งหลายของพวกคนเถื่อนต่างก็ยินดีปรีดา พวกเขาคิดเพียงว่ากองทัพหมาป่าหิมะคงชิงด่านเยี่ยนเหมินสำเร็จแล้ว แม้แต่หวันเหยียนน่าจินก็มองข้ามสภาพผิดปกติบนกำแพงด่าน ควบอาชาทะยานนำหน้าพุ่งเข้ามาในด่านเยี่ยนเหมิน ไม่แม้แต่จะหันมองกองทัพไต้โจวที่สู้สุดชีวิตอยู่ตรงกำแพงเมืองแต่กำลังถูกกองทัพเผ่าคนเถื่อนบีบให้จนตรอก
เขาตวัดดาบหมายจะตรงดิ่งบุกขึ้นไปบนกำแพงเมือง ทว่าเมื่อเห็นเส้นทางที่ถูกเศษหินกองขวางอยู่ หวันเหยียนน่าจินพลันหนาวสะท้าน ไม่มีอารมณ์จะขบคิดว่าเหตุใดกองทัพไต้โจวจึงตัดเส้นทางระหว่างบนกำแพงเมืองกับด้านล่าง ตวาดเสียงดังทันที “ถอย ถอย”
ทว่าเสียงของเขาจมหายไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังสนั่นของกองทัพเผ่าคนเถื่อนที่กำลังตื่นเต้นยินดี หวันเหยียนน่าจินมิอาจบัญชาการกองทัพที่ถูกชัยชนะมอมเมาสติได้ดั่งแขนขาของตนอีกแล้ว เขาถูกกองทัพด้านหลังห้อมล้อมดันมาด้านหน้าอีกหลายร้อยจั้ง หวันเหยียนน่าจินเกือบจะสิ้นหวังยามเห็นทหารม้าสวมเกราะพร้อมรบกองหนึ่ง ผู้ที่จับสายบังเหียนอาชายืนอยู่ด้านหน้าสุดก็คือชื่อจี้และหลินถง สิ่งที่มาพร้อมกันกับพวกเขาคือห่าศรประหนึ่งสายฝนกระหน่ำ
กองทัพคนเถื่อนกับกองทัพไต้โจวรบกันมาหลายหน ทุกครั้งยามตกหลุมพรางของกองทัพไต้โจว พวกเขามักจะเสียหายอย่างหนักเสมอ นับประสาอะไรกับเมื่อยามนี้ที่ผู้บัญชาการกองทัพคุ้มกันด่านเยี่ยนเหมินอยู่คือหลินหย่วนถิงผู้ที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุด
กองทัพคนเถื่อนเริ่มสับสนวุ่นวายอย่างช่วยไม่ได้ กำลังพลที่อยู่ด้านหน้าพยายามถอยหลังสุดชีวิต ต้องการจะถอยกลับไปยังทุ่งหญ้าที่พวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทว่ากองทัพคนเถื่อนด้านหลังยังไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านหน้า พวกเขาจึงยังบุกตามเข้ามา
ในขณะที่กองทัพคนเถื่อนตกอยู่ในความโกลาหล หวันเหยียนน่าจินได้องครักษ์คนสนิทคุ้มกันถอยหลังออกมา ทันใดนั้นหูของเขาก็ได้ยินเสียงหน้าไม้ดังขึ้น เขาก้มตัวลงตามสัญชาตญาณ ตั้งใจจะหลบลูกศรของหน้าไม้ที่กำลังจะตามมา ทว่าทันใดนั้นเสียงผิวปากแหลมสูงครั้งหนึ่งก็ดังขึ้นกลางสนามรบอันชุลมุน เมื่ออาชาศึกที่เขาขี่อยู่ได้ยินเสียงนี้ก็ยกขาหน้าขึ้นตะกุยอากาศกะทันหัน
หวันเหยียนน่าจินไม่ทันระวัง ร่างกายจึงตกอยู่ในขอบเขตการโจมตีของหน้าไม้ ความเจ็บปวดแสนสาหัสเข้าจู่โจม เขาได้ยินเสียงลูกศรทะลุเสื้อเกราะของตน เสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจของคนสนิททั้งหลายลอยเข้ามาในหู หน้าไม้ขนาดใหญ่ที่กระหน่ำยิงมาในระยะประชิด นั่นคือเทียบเชิญจากยมบาลที่ยิงออกมาร้อยหนก็เกี่ยววิญญาณกลับไปได้ทั้งรอยหน
เรื่องราวในอดีตตบเท้าปรากฏขึ้นในสมอง หวันเหยียนน่าจินคำรามลั่นอย่างไม่ยินยอม “สวรรค์ช่างไร้ตา!” หลังจากนั้นท่านข่านหนุ่มที่เพิ่งก้าวขึ้นมาบนบัลลังก์อันเป็นที่เคารพสูงสุดในหมู่พวกคนเถื่อน ผู้เต็มไปด้วยความทะเยอะทะยานและมุ่งมั่นปรารถนาจะฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรข่านในวันวานคนนี้ก็หล่นร่วงลงบนฝุ่นดินเฉกเช่นนี้
เมื่อสูญเสียผู้นำ พวกคนเถื่อนที่แต่เดิมสับสนวุ่นวายอยู่กลับถูกจุดเพลิงโทสะ พวกเขาเริ่มตั้งขบวนทหารม้ากองเล็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นเริ่มโจมตีสวนกลับกองทัพไต้โจว เมื่อไม่จำเป็นต้องฝืนร่วมมือกัน พวกคนเถื่อนกลับสำแดงพลังของตนเองออกมาง่ายดายกว่า ทั้งด้านในและด้านนอกของด่านเยี่ยนเหมินล้วนได้ยินเพียงเสียงรบราฆ่าฟันดังขึ้นไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นชาวไต้โจวหรือพวกคนเถื่อนต่างแลกชีวิตเข้าเข่นฆ่าลืมเลือนสิ้นทุกสิ่ง
ไม่ทราบว่าคันธนูร่วงหายไปตั้งแต่เมื่อใด หอกยาวในมือชื่อจี้กวัดแกว่งประหนึ่งมังกร ปกป้องด้านข้างของหลินถงไว้อย่างแน่นหนา เวลานี้เขาดีใจยิ่งนักที่ในอดีตเคยร่ำเรียนวิชาการใช้หอกเข่นฆ่าบนหลังม้ามาจากหลี่ซุ่น ทั้งยังลงแรงฝึกฝนมาหลายปี
หลินถงเกิดมาในตระกูลแม่ทัพ หากกล่าวถึงวิชาหอก นางมีฝีมือเหนือกว่าชื่อจี้ หอกสีเงินประหนึ่งหิมะ เงาคนดั่งดอกสาลี่ เลือดเนื้อที่สาดกระเซ็นอยู่รอบด้านยิ่งช่วยขับเน้นคนงามคู่นี้ให้งดงามองอาจเสมอหยก
ทว่ากำลังของกองทัพไต้โจวอ่อนแรงเหลือเกินแล้ว แม้พวกเขาจะต่อสู้สุดชีวิตอย่างยากลำบาก แย่งชิงเอาชีวิตของพวกคนเถื่อนจำนวนมากกว่าหลายเท่าตัวมาได้ ทว่ากองทัพคนเถื่อนกลับทะลักเข้ามาภายในด่านมากกว่าเดิม กองทัพไต้โจวไม่มีกำลังเสริมอีกแล้ว สถานการณ์บนสนามรบเอนเอียงไปยังฝั่งกองทัพคนเถื่อนมากขึ้นทุกที
หลินถงเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้จึงออกคำสั่งถอยทัพด้วยไม่มีทางเลือก นี่เป็นความตั้งใจของหลินหย่วนถิง มาถึงตอนนี้ กองทัพไต้โจวที่เหลืออยู่มีแต่จะตกตายเป็นวิญญาณแค้นใต้กีบเท้าอาชาเหล็กของศัตรู ในเมื่อบรรลุเป้าหมายของการรบแล้ว แทนที่จะให้พวกเขารบจนตัวตายที่นี่ มิสู้เหลือสายเลือดกองทัพไต้โจวไว้ให้มากสักหน่อย
ทหารกล้าแห่งกองทัพไต้โจวทั้งหลายได้ยินเสียงแตรสัญญาณถอยทัพก็ก้าวถอยทั้งน้ำตา พวกเขาไม่มีกำลังเหลือจะสนใจการต่อสู้ด้านบนกำแพงด่านที่ถูกปิดกั้นไว้ ไม่มีแม้แต่กำลังจะสนใจแม่ทัพใหญ่ผู้เยาว์วัยของพวกเขา ชื่อจี้กับหลินถงนำทหารผู้กล้าพลีชีพแห่งตระกูลหลินคอยคุมท้ายขบวน พวกเขาใช้โลหิตและชีวิตปกป้องเส้นทางถอยทัพของทหารกล้าแห่งกองทัพไต้โจวให้ราบรื่นไร้อุปสรรค
คำสั่งกองทัพเสมือนหนึ่งขุนเขา ยิ่งไปกว่านั้น หากตนเองถอยทัพได้ทัน บางทีท่านหญิงกับท่านเขยอาจยังมีโอกาสรอดก็เป็นได้ พลทหารไต้โจวทุกคนต่างวิ่งอย่างสุดกำลัง พลทหารที่บาดเจ็บหนักมากมายมิยินดีเป็นตัวถ่วงของสหายร่วรบจึงตัดสินใจตวัดดาบปลิดชีพตน แล้วยังมีพลทหารที่อาชาศึกได้รับบาดเจ็บ หรือพลทหารที่มิอาจควบอาชาได้แล้วอีกจำนวนหนึ่งคอยคุมท้ายกองทัพด้วยกันกับหลินถง ภายในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป กองทัพไต้โจวที่เหลืออยู่ก็ฝ่าวงล้อมออกไปได้ เหลือเพียงหลินถงกับชื่อจี้ที่ยังบัญชาการกำลังพลร้อยกว่าคนที่หนีออกไปไม่พ้น
เรื่องนี้มิได้เป็นเพราะทั้งสองคนตั้งใจจะตาย แม้ความคิดเช่นนั้นจะซุกซ่อนอยู่ในใจมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาย่อมไม่ปรารถนาให้ทหารกล้าแห่งไต้โจวมากมายเช่นนี้ลงสุสานไปด้วยกัน เพียงแต่ว่าพวกคนเถื่อนล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่มีโอกาสฝ่าวงล้อมได้อีกแล้ว
ในหัวใจของหลินถงไม่มีความเสียใจหรือความสิ้นหวังแม้แต่น้อย เกิดมาเป็นคนตระกูลหลิน แม้แต่สตรีก็ยังตระหนักถึงการสละชีพในสนามรบ ห่วงเดียวในใจนางก็คือมารดาผู้อยู่ในไต้จวิ้น ไม่รู้ว่าท่านแม่จะทำอย่างไร สำหรับองค์หญิงแห่งเป่ยฮั่นผู้อ่อนนอกแข็งในผู้นี้ การเข้าไปอยู่ใต้การปกป้องของกองทัพต้ายงอาจเป็นการตัดสินใจที่มิอาจยอมรับก็เป็นได้
เสียงลมหายใจอันหนักอึ้งของชื่อจี้ลอยเข้าหู หลินถงผินหน้าไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสง่างามคนนั้นยามนี้ทั่วร่างอาบโลหิต บนกายมีแผลมากมาย ความซาบซึ้งและรสชาติหวานล้ำทะลักออกมาในห้องหัวใจอย่างมิอาจหักห้าม ชายหนุ่มผู้ละทิ้งหนทางอันรุ่งโรจน์ เลือกร่วมเดินทางไปยังปรโลกพร้อมกับตนคนนี้เป็นสามีของตนแล้ว
แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวัน แต่หลินถงกลับรู้สึกราวกับว่าทั้งสองคนแต่งงานกันมานานปี ไม่มีแบ่งแยกข้าและเจ้าอีกต่อไป ชื่อจี้หันกลับมามองหลินถงประหนึ่งหัวใจสื่อถึงกัน ดวงตาสี่ข้างสบประสาน ในนั้นมีแต่ความรักอันลึกซึ้งมิอาจประมาณ จากนั้นทั้งสองก็แทงหอกออกมา จู่โจมศัตรูของคนรักล้มคว่ำแทบจะในเวลาเดียวกัน
กองทัพคนเถื่อนที่อยู่รอบด้านแทบจะมองไม่เห็นสุดขบวน พวกเขาราวกับคลื่นสมุทรที่โถมมาอย่างเกรี้ยวกราด เพียงชั่วพริบตาก็ท่วมกองทัพไต้โจวที่เหลืออยู่กองนี้จนมิด ทว่าทั้งสองคนกลับเสมือนหนึ่งมองไม่เห็น ยามนี้ในที่สุดอาชาศึกของหลินถงก็ทรุดลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง บนร่างมีธนูปักอยู่หลายดอก มีรอยแผลถูกฟันมากมาย อาชาศึกตัวนี้อดทนมาจนถึงตอนนี้ได้ก็หายากอย่างยิ่งแล้ว
ชื่อจี้รีบเอื้อมมือมาดึงหลินถง นางอาศัยแรงดึงเหินร่างมาอยู่ด้านหน้าชื่อจี้อย่างว่องไวประหนึ่งนกนางแอ่น จากนั้นหันกลับมาคลี่ยิ้ม มือซ้ายของชื่อจี้กุมมือซ้ายของหลินถงไว้แน่นพร้อมกับโอบเอวบางของนางแล้วส่งยิ้มกลับไปให้ ทั้งสองคนไม่คิดจะแย่งชิงอาชาศึกที่ไร้เจ้าของสักนิด มีชีวิตรอดนานขึ้นอีกนิดแล้วจะทำอย่างไรได้อีก มิสู้เป็นหรือตายล้วนอยู่ด้วยกัน
ชื่อจี้รู้สึกว่าหัวใจมิเคยสงบนิ่งเท่าห้วงเวลานี้มาก่อน เขาตระกองกอดคนรักอยู่กลางสมรภูมิ แม้แต่ใบหน้าดุร้ายของพวกคนเถื่อนที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก็มิอาจทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวได้แม้แต่น้อย
เขากำหอกสีเงินแน่น รอคอยห้วงเวลาสุดท้ายที่กำลังจะมาเยือน ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่ส่งผ่านมาจากผืนดิน นั่นคือแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นยามทหารม้าที่ฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดกำลังควบอาชาทะยานเต็มกำลังเท่านั้น
ข้าสติเลอะเลือนไปแล้วหรือไร ชื่อจี้ยิ้มอย่างขมขื่น ทว่าไม่นาน เขาก็มองเห็นทหารกล้าตระกูลหลินด้านข้างกับกองทัพเผ่าคนเถื่อนที่กำลังโหมโจมตีอยู่ด้านนอกต่างมีความสับสนงุนงงปรากฏขึ้นในดวงตาดุจเดียวกัน พวกคนเถื่อนเหล่านั้นถึงขนาดชะลอการโจมตีลง เขายังไม่ทันขบคิดให้กระจ่าง หูก็ได้ยินเสียงแตรสัญญาณอันคุ้นเคยดังกระหึ่มกังวานขึ้นเรื่อยๆ
ชื่อจี้หลั่งน้ำตา กลั้นสะอื้นอยู่ในลำคอ แม้กระทั่งอ้าปากตอบหลินถงผู้มีคำถามอยู่เต็มแววตาก็ยังทำไม่ได้ ทำได้เพียงกอดเอวบางของหลินถงไว้ ราวกับว่าหากปล่อยมือก็อาจสูญเสียรักแท้ของเขา