ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 116 มองสกุลหลินสู่ปรภพ (3)
ทุกคนได้ยินหลินถงเอ่ยเช่นนี้ก็วิตกอยู่ในใจ แม้เรื่องที่กล่าวเป็นความจริง แต่ก็กังวลว่าจักรพรรดิต้ายงจะพิโรธ
หลี่จื้อกลับยิ้มละไม ตรัสว่า “องค์หญิงจยาผิงเป็นวีรสตรีในหมู่สตรี กองทัพไต้โจวที่ติดอยู่ในจิ้นหยาง ข้าย่อมมีหนทางจัดการเอง ขุนนางหลินมิต้องกังวล ส่วนมารดาของท่าน แม้เป็นองค์หญิงใหญ่แห่งเป่ยฮั่น ทว่ามิได้ข้องเกี่ยวกับราชกิจของแว่นแคว้น อีกทั้งยังเป็นภริยาม่ายของหลินโหว ข้าไฉนเลยจะลงโทษโดยไร้สาเหตุ”
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ หลินถงพลันรู้สึกว่าทั้งร่างคลายจากความตึงเครียด โขกศีรษะคำนับอย่างจริงใจ “ฝ่าบาทน้ำพระทัยกว้างขวาง หม่อมฉันหลินถงเป็นตัวแทนเหล่าทหารแห่งไต้โจว โขกศีรษะคารวะฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
ทุกคนล้วนก้มคำนับ โขกศีรษะคำนับเต็มพิธีการเก้าหน ไม่นานข่าวก็แพร่ออกไปนอกห้องโถงพิธี ได้ยินเสียงเหล่าทหารและประชาชนไต้โจวตะโกนว่า “หมื่นปี” ดังมาจากด้านนอก เสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จากใกล้ไล่ไปไกล เริ่มแรกมีเพียงทหารและประชาชนที่อยู่ใกล้กับจวนตระกูลหลินตะโกนเสียงดัง แต่ต่อมาทั้งเมืองก็ต่างตะโกนด้วย เสียงดังทะลุไปถึงชั้นเมฆ มาถึงตอนนี้ เหล่าแม่ทัพของกองทัพต้ายงที่ตั้งทัพเตรียมพร้อมอย่างจริงจังอยู่นอกเมืองไต้จวิ้นจึงวางก้อนหินหนักในใจลงได้ ยามนี้ในที่สุดไต้โจวก็สวามิภักดิ์ต่อต้ายงอย่างสมบูรณ์แล้ว
ชื่อจี้รู้สึกว่าในที่สุดเส้นประสาทที่ตึงเครียดมาหลายวันก็ผ่อนคลายลง หวนนึกถึงวันวานยามบอกลาคุณชายเดินทางมายังไต้โจวแทบจะเหมือนผ่านมาคนละชาติภพ คิดไม่ถึงว่าตนเองจะรอดมาได้ ตระกูลหลินแห่งไต้โจวก็ไม่ถูกกองทัพต้ายงกวาดล้าง ตนกับหลินถงกลายเป็นสามีภรรยาอย่างราบรื่น จนทำให้เขารู้สึกประหนึ่งอยู่ในห้วงฝันมายา
เขาอดมิได้ หันไปมองเจียงเจ๋อ เมื่อสบกับดวงตาอันลึกล้ำที่อ่อนโยนและสุขุมคู่นั้น ชื่อจี้พลันสัมผัสได้ว่าแววตาของเจียงเจ๋อแฝงความอบอุ่นและความชื่นชมห่วงใย น้ำตาร้อนไหลรินลงมาอย่างมิอาจหักห้าม
เดือนห้า วันที่ยี่สิบ ไต้โจวส่งผู้ส่งสารไปยังจิ้นหยาง ยามนั้นจิ้นหยางถูกกองทัพต้ายงล้อมไว้รอบทิศ หลินปี้ทราบข่าวบิดาสิ้นใจในสนามรบก็ร่ำไห้คุกเข่าคารวะจดพื้น ทหารทั้งกองทัพไต้โจวต่างห่มอาภรณ์ขาวไว้อาลัย เจ้าแคว้นหลิวโย่วมีพระบัญชาให้ตั้งห้องโถงพิธี เซ่นไหว้ดวงวิญญาณวีรบุรุษ หลังจากนั้นหลินเฉิงซาน หลินเฉิงยวนจึงรับบัญชาแม่ทัพหลินปี้ นำกองทัพไต้โจวออกจากเมืองสวามิภักดิ์ต่อกองทัพต้ายง
ในราชสำนักเป่ยฮั่น มีบางคนเสนอว่าอย่าให้กองทัพไต้โจวออกจากเมือง เพราะไม่ต้องการให้เหล่าทหารและประชาชนเสียขวัญ แต่ถูกเจ้าแคว้นห้ามไว้ กองทัพไต้โจวออกจากเมืองอย่างราบรื่น หลินปี้ออกจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพไต้โจว รั้งอยู่ในจิ้นหยาง ปรารถนาจะร่วมเป็นร่วมตายกับนครจิ้นหยาง
กองทัพต้ายงล้อมเมืองไว้แต่ไม่บุกตี จวบจนเดือนหก วันที่สิบห้า จักรพรรดิต้ายงส่งราชทูตมาเจรจาให้สวามิภักดิ์ถึงห้าหน สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเชื้อสายราชวงศ์เป่ยฮั่น ยามนั้นเป่ยฮั่นเหลือเพียงจิ้นหยางที่ยังคงเหลือรอด ทหารและประชาชนล้วนถูกล้อมอยู่ด้านใน แม้หลินปี้คอยจัดการกองทัพอยู่ กองทัพต้ายงจึงไม่มีช่องว่างให้ฉกฉวย แต่กองทัพไต้โจวก็ยอมสวามิภักดิ์ไปแล้ว เหล่าทหารเป่ยฮั่นทั้งบนล่างล้วนคลางแคลงว่าสุดท้ายพวกเขาก็คงต้องสวามิภักดิ์ต่อต้ายงด้วยใช่หรือไม่
เจ้าแคว้นปรึกษากับขุนนางใหญ่ พวกเขาล้วนไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้ ดังนั้นเขาจึงปรึกษาราชครูจิงอู๋จี๋บนหอกล้วยไม้ ทั้งสองคนหารือเป็นการลับตลอดทั้งคืน ไม่ว่าผู้ใดก็มิได้ร่วมฟัง
เดือนหก วันที่สิบแปด เจ้าแคว้นส่งราชทูตนำสาสน์ขอยอมจำนนไปยังค่ายของต้ายง วันต่อมาเ จ้าแคว้นจึงนำเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางทั้งหลายสวมอาภรณ์สีขาวออกมายอมจำนน บัดนี้แคว้นเป่ยฮั่นจึงสิ้นสลาย แว่นแคว้นดำรงอยู่มาเป็นเวลาทั้งสิ้นยี่สิบสี่ปี หลี่จื้อมีพระบัญชา พระราชทานบรรดาศักดิ์เจ้าแคว้นเป็นหย่งติ้งจวิ้นอ๋อง ส่งกลับไปพำนักในเมืองหลวงต้ายง เชื้อพระวงศ์เป่ยฮั่นล้วนถูกถอดบรรดาศักดิ์ อพยพไปยังเมืองหลวงต้ายง
มีเพียงองค์หญิงจยาผิงหลินปี้ หลี่จื้อชื่นชมความภักดีและความสามารถในการรบของนางจึงพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิงเช่นเดิม ฝั่งตระกูลหลินแห่งไต้โจว แม้นหลินหย่วนถิงวายปราณ แต่ยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นไต้จวิ้นโหว ให้บุตรชายคนโตของเขาหลินเฉิงอี๋สืบทอดบรรดาศักดิ์ ให้บุตรีของเขาท่านหญิงหงสยาหลินถงคุมตราแม่ทัพแห่งไต้โจว เฝ้าพิทักษ์ด่านเยี่ยนเหมิน
หลังจากนั้นหลี่จื้อจึงแต่งตั้งเซวียนซงเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งจิ้นหยาง แต่งตั้งสามัญชนนามจ้าวเหลียงเป็นเจ้าเมืองจิ้นหยางคอยช่วยเหลือเขา แล้วยังก่อตั้งกองทัพผิงเป่ยขึ้นในจิ้นหยาง แต่งตั้งจิงฉือเป็นแม่ทัพใหญ่ บัญชาการกองทัพสองแสนนาย คุมอดีตเมืองและมณฑลต่างๆ ของเป่ยฮั่น มีเซวียนซงเป็นผู้คอยควบคุม แดนเหนือเริ่มสงบ ขุนนางในราชสำนักต้ายงส่งหนังสือกราบเรียนหลายหนเร่งรัดให้หลี่จื้อหวนคืนราชสำนัก
เดือนเจ็ด วันที่สอง หลี่จื้อนำทัพหวนคืนฉางอัน ฉีอ๋องหลี่เสี่ยน องค์หญิงจยาผิงหลินปี้ ฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อล้วนตามเสด็จมุ่งสู่ประจิมเดินทางไปยังนครฉางอัน
บนราชรถ หลี่จื้อชูจอกพร้อมกับคลี่รอยยิ้ม “สุยอวิ๋น มิได้พบหน้ากันนานหลายปี ฝีมือเดินหมากของท่านไม่ก้าวหน้าขึ้นสักนิดเลยนะ”
ข้ามองเม็ดหมากที่เดินได้เละเทะอย่างยิ่งแล้วยักไหล่ “ฝีมือการเดินหมากของกระหม่อมมิใช่ไม่ก้าวหน้า เพียงแต่ฝีมือเดินหมากของฝ่าบาทล้ำเลิศขึ้นทุกที หนนี้ฝ่าบาทกับฉีอ๋องคงสลายความบาดหมางแต่เก่าก่อนจนหมดสิ้นแล้ว มิทราบว่างานมงคลที่กระหม่อมเสนอ ฝ่าบาทคิดเห็นเช่นไร”
หลี่จื้อสรวลตรัสตอบว่า “หากน้องหกมีความสามารถนั้นจริงๆ ข้าจะเป็นประธานงานมงคลให้เขาก็ย่อมได้ สรุปก็คือจะหักหาญน้ำใจองค์หญิงปี้ไม่ได้ แต่งานแต่งของชื่อจี้กับหลิงถงนี่สิ ข้าคิดไม่ถึงเลย เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นยอดฝีมือใต้บัญชาของท่าน แต่กลับทิ้งหนทางอันรุ่งโรจน์ไปร่วมเป็นร่วมตายกับท่านหญิงน้อย แล้วยังได้รับอนุญาตจากตัวหลินหย่วนถิงให้แต่งงานกันได้อีก มีเขาอยู่ที่ไต้โจว ข้าย่อมวางใจได้มากแล้ว ต่อให้ตระกูลหลินหยิ่งยโสไม่ยอมเชื่อง ข้าก็มีสายบังเหียนคอยชักจูง”
ข้ากล่าวตอบอย่างเฉยเมย “นี่เป็นสิ่งที่ชื่อจี้ใช้ชีวิตของตนแลกมา แม้วันนั้นข้าปล่อยเขาจากไป แต่ในใจมิใช่ว่าไม่โกรธเคือง ทว่าถึงอย่างไรเขาก็ยังมีนายคนนี้อย่างข้าในหัวใจ ดังนั้นข้าจึงให้โอกาสเขาสักหน หากเขาตายที่ด่านเยี่ยนเหมิน ถ้าเช่นนั้นก็ถือว่าจบเท่านี้ แต่หากมีวันที่ได้หวนมาพบกันอีก ข้าก็จะยอมให้ความรักอันยากลำบากของเขาสมปรารถนา มิเช่นนั้นต่อให้เขากลายเป็นลูกเขยของไต้โหวแล้ว ข้าก็ยังเอาชีวิตเขาได้ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ”
หลี่จื้อมองข้าหนหนึ่งแล้วส่ายศีรษะ “ท่านอย่าปากแข็งไปเลย ที่ท่านส่งสาสน์มาบอกข้าให้ข้านั่งดูไต้โจวเผชิญศึกยากลำบากอะไรนั่น มิใช่เพราะอยากให้ข้ารีบตัดสินใจไปช่วยเหลือไต้โจวเร็วขึ้นสักหน่อยหรือ แล้วยังจดหมายที่ท่านส่งให้หลี่เชวี่ยอีก จะอธิบายว่าอย่างไร เกรงว่าท่านคงเป็นห่วงความปลอดภัยของชื่อจี้ยิ่งกว่าผู้ใด
เหตุที่ให้เขาเผชิญศึกอันยากลำบากที่ด่านเยี่ยนเหมิน ก็เป็นเพียงการให้โอกาสเขาได้ต่อสู้คว้าหัวใจคนงามเท่านั้น สุดท้ายเจ้าหนูคนนี้กล้าหาญพอ ไม่ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าจึงแต่งตั้งเขาให้ครองตำแหน่งแม่ทัพ ให้เขาเฝ้าด่านชายแดนที่ไต้โจวให้ข้า”
ข้ายิ้มอย่างเก้อเขิน ไม่พูดต่อ
หลี่จื้อรินสุราหนึ่งจอกส่งให้ข้า แล้วว่า “สุยอวิ๋น เพราะได้ท่านตรากตรำวางแผนการ ราชวงศ์เป่ยฮั่นจึงสูญเสียที่พึ่งสุดท้าย มิอาจมิขอยอมจำนนต่อข้า หากสุดท้ายต้องอาศัยการทำศึกนองเลือดแย่งชิงจิ้นหยางจริง ไม่เพียงกองทัพของข้าจะเสียหายอย่างสาหัส แม้แต่จิ้นหยางเอง ภายในเวลาหลายสิบปีก็ยากจะฟื้นฟูรากฐานกลับมาอีกหน
ยามนี้เป่ยฮั่นยอมสวามิภักดิ์แล้ว ต้ายงได้ครอบครองทหาร แผ่นดิน เงินทองและเสบียงของพวกเขาจนสิ้น ขอเพียงสั่งสมกำลังอีกเพียงไม่กี่ปีก็ยกพลลงใต้บุกตีหนานฉู่ได้ ความดีความชอบของท่านใหญ่หลวงนัก ขอเชิญท่านดื่มหมดจอกนี้”
ข้ารับสุราพระราชทานมาดื่มคำเดียวหมดแล้วคลี่ยิ้ม “ฝ่าบาท เป่ยฮั่นสงบแล้ว สาสน์ขอสวามิภักดิ์ของตงไห่ก็มาถึงราชสำนักแล้ว เรื่องลงใต้บุกตีหนานฉู่คงมิจำเป็นต้องถึงมือกระหม่อมแล้ว พระองค์จะอนุญาตให้พระหม่อมกลับไปพักรักษาตัวที่ตงไห่สักระยะหนึ่งได้หรือไม่”
หลี่จื้อได้ยินก็หน้าบึ้งตอบว่า “เรื่องนี้คงมิได้ ยังมิต้องพูดถึงว่าข้าไม่มีทางยอมให้ท่านไปจากราชสำนัก ตัวท่านเองตบแต่งกับฉางเล่อมาหลายปี ยังจะมิไปคารวะพ่อตาแม่ยายอีกหรือไร ไทเฮารอท่านเดินทางไปคารวะอยู่นั่น นางมักกังวลว่าท่านสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง กลัวว่าฉางเล่อจะลำบาก ไม่พบหน้าท่านสักหนคงไม่ยอมวางใจเป็นแน่ ส่วนเสด็จพ่อ ตอนข้าออกจากเมืองหลวงมา พระองค์ถูกสาวน้อยโหรวหลันคนนั้นใช้วาจาหวานปานน้ำผึ้งตะล่อมจนใจอ่อน ตัดสินพระทัยว่าจะมิตำหนิท่านอีกต่อไปแล้ว
หากท่านพลาดโอกาสหนนี้ไป อย่าคิดว่าจะทำให้เสด็จพ่อยอมรับท่านได้อีก แล้วอีกประการหนึ่ง ท่านมิอยากพบหน้าฉางเล่อ โหรวหลันกับเซิ่นเอ๋อร์หรือไร เสด็จพ่อกับเสด็จแม่คงไม่มีทางยอมปล่อยพวกเขาจากไปแม้แต่คนเดียว หากท่านไม่ได้อยากกลับตงไห่ไปเพียงลำพัง ชีวิตนี้ท่านก็อย่าคิดไปจากฉางอันเลย”
ข้าทำหน้าระทมทุกข์ ความหวังสุดท้ายปลิวหายไปกับสายลม หวนคิดถึงจวนจิ้งไห่อันเงียบสงบและสุขสบายหลังนั้นของข้า ช่างรู้สึกเสียดายนักจริงๆ
เห็นข้าทำหน้าหม่นหมอง หลี่จื้อก็รู้สึกทนมิได้ กำลังคิดจะเอ่ยปลอบสักสองสามคำ ตอนนี้เองด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น มีคนรายงานอย่างตระหนกลนลานจากนอกหน้าต่าง “ฝ่าบาท มีข่าวด่วนจากกองทัพ”
ข้ากับหลี่จื้อต่างขมวดคิ้ว หลี่จื้อรับสารมา เพียงกวาดตามองแวบเดียวก็ถอนหายใจ หันมามองข้าอย่างมีความนัยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สุยอวิ๋น ลูกศิษย์ของท่านมิมีผู้ใดรับมือง่ายเลยสักคน”
ข้าใจสะท้าน นี่หมายความเช่นไร ข้ารีบฉวยสารฉบับนั้นมาอ่าน แล้วก็หัวเราะฝืดเฝื่อนออกมาอย่างอดกลั้นมิไหว บนสารฉบับนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน
เดือนหก วันที่ยี่สิบเจ็ด ลู่ช่านยกพลทหารม้าเกราะเบาบุกชิงด่านจยาเหมิง นับจากนี้ประตูระหว่างตงชวนกับสู่จงตกอยู่ในกำมือของหนานฉู่ หากต้องการบุกตีหนานฉู่ ไม่ลงใต้ตามฉางเจียงผ่านสู่จงก็ต้องข้ามฉางเจียงทำศึก
ยามนี้แผ่นดินจิงเซียงกลายเป็นป้อมปราการเหล็กแล้ว ฉางเจียงชัยภูมิสำคัญตามธรรมชาติแห่งนี้กลายเป็นของที่ทั้งสองฝั่งมีร่วมกัน
ลู่ช่าน เจ้าเด็กคนนี้ร้ายกาจนัก ฉากหน้าทำเป็นถูกซั่งเหวยจวินกดดันจนทำสิ่งใดมิได้ แต่แล้วกลับฉวยโอกาสที่ต้ายงมองข้าม กรีฑาทัพบุกตงชวนอย่างกะทันหัน เจ้าเด็กคนนี้จักต้องสมคบกับพรรคพวกที่เหลือรอดของชิ่งอ๋องเป็นแน่ ถึงได้บุกยึดด่านจยาเหมิงสำเร็จโดยที่ดาบไม่เปื้อนเลือด
ยามนี้หนานฉู่ยึดครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งทางฝั่งเจียงหนานได้อย่างมั่นคงแล้ว การรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งคงต้องใช้เวลาอีกยาวนาน แล้วยามใดข้าจึงจะได้บรรลุหน้าที่กลับไปปลีกวิเวกกันเล่า
ข้าหักห้ามตนเองมิไหว ต้องถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง แล้วชูจอกสุราขึ้น ดื่มสุราใสกระจ่างเย็นฉ่ำอย่างเชื่องช้า สายตามองทะลุม่านโปร่งบาง มองออกไปยังแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลด้านนอกราชรถ เรื่องราวในใต้หล้าล้วนมิอาจเป็นดั่งใจคนได้ทุกสิ่ง แล้วไยข้าต้องกลัดกลุ้มเพราะเรื่องนี้ด้วยเล่า