ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 22 ศึกแรกบนลำน้ำชิ่นสุ่ย (1)
ปีอู้อิ๋น[1] รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง เดือนสอง วันที่สิบหก ไท่จงออกราชโองการ สั่งให้ฉีอ๋องหลี่เสี่ยน ฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อบุกชิ่นโจว สงครามระหว่างต้ายงและเป่ยฮั่นจึงอุบัติขึ้น
…พงศาวดารต้ายง พระราชประวัติไท่จง
รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง เดือนสอง วันที่ยี่สิบเจ็ด ณ ป้อมหลิงหยวน แนวป้องกันสุดปลายทิศใต้ของชิ่นโจว บรรยากาศตึงเครียดของสงครามแผ่ปกคลุมไปทั่ว ชายแดนต้ายงปิดตายมาตลอดเหมันต์ แม้แต่ทหารสอดแนมที่ชาญฉลาดและเก่งกาจที่สุดก็ยังไร้หนทางส่งข่าวคราวออกมา แต่ทุกคนต่างรู้ว่าต้ายงไม่มีทางเลิกราเช่นนี้ สงครามใกล้จะบังเกิดขึ้นแล้ว
ป้อมปราการหลังหนึ่งตั้งตระหง่านเดียวดายบนสันเขาเตี้ย ใต้สันเขาคือแม่น้ำชิ่นสุ่ยที่ไหลลงใต้ ทุกปีช่วงต้นวสันต์ น้ำแข็งที่ละลายจะทำให้แม่น้ำชิ่นสุ่ยสูงขึ้น บริเวณรอบแม่น้ำล้วนต้องคอยระวังแม่น้ำชิ่นสุ่ยเอ่อท่วม แต่ปีนี้ดูท่าระดับน้ำจะไม่สูงจึงไม่น่าจะมีปัญหา แถบนี้แม่น้ำกว้าง กระแสน้ำค่อนข้างนิ่ง ผืนดินอุดมสมบูรณ์ สองฝั่งมีหมู่บ้านอยู่สิบกว่าแห่ง ป้อมหลิงหยวนที่อยู่บนสันเขาคือจุดตั้งค่ายของกองทัพเป่ยฮั่น ที่แห่งนี้คือแนวรบหน้าสุดของชิ่นโจว ผ่านที่แห่งนี้ไปอีกห้าสิบลี้ก็จะเป็นเมืองจี้ซื่อ หากล่องทวนแม่น้ำชิ่นสุ่ยขึ้นไป ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ป้อมปราการกับกำแพงเมือง ป้องกันง่ายโจมตียาก เมืองอานเจ๋อ ชิ่นหยวนและชิ่นโจว คือด่านสำคัญที่สุดในนั้น
พลทหารเป่ยฮั่นกองหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมือง เฝ้าระวังการเคลื่อนไหวจากทางทิศใต้ นับตั้งแต่หลังผ่านพ้นวันตรุษ เบื้องบนก็มีคำสั่งลงมาให้พวกเขาเฝ้าระวังกองทัพต้ายงบุกโจมตีตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงมิกล้าหย่อนหยานแม้แต่น้อย พลทหารนายหนึ่งคงเริ่มเหนื่อยล้าอยู่บ้างแล้ว จึงหันกลับไปคิดจะคุยเล่นกับสหายร่วมรบสองสามประโยค
ทว่าเมื่อหันกลับไปก็เห็นสหายร่วมรบตาโตอ้าปากค้างมองไปด้านหน้าอยู่ เขาหันหลังกลับมาด้วยสัญชาตญาณ แล้วก็เห็นตรงแนวเส้นขอบฟ้าพลันปรากฏเส้นสีดำทะมึนเส้นหนึ่ง ทว่าเพียงพริบตาเดียว แนวสีดำทะมึนนั่นก็หนาขึ้น แม้จะอยู่ห่างไกลยิ่งนัก แต่ดวงตาของพลทหารนายนั้นคล้ายจะมองเห็นธงกองทัพของต้ายง เขาตะโกนสุดเสียง “รีบลั่นระฆังเตือนภัยเร็วเข้า”
พลหารที่ตะลึงอยู่คนหนึ่งได้สติกลับมา เขาวิ่งพรวดไปยังหอระฆัง แล้วตีระฆังทองแดงเสียงดังลั่น หลังจากนั้นเสียงแตรสัญญาณก็ดังขึ้นจากด้านในป้อมปราการ พลทหารเป่ยฮั่นผู้สวมเกราะเต็มยศมากมายวิ่งออกมาจากห้องพักแต่ละแห่งในค่าย หัวหน้าที่สวมเครื่องแบบรองแม่ทัพคนหนึ่งวิ่งมาบนกำแพงป้อมปราการ เขาตวาดอย่างตกตะลึงระคนเกรี้ยวกราด “ทหารสอดแนมที่ส่งออกไปเหตุใดจึงมิส่งข่าวกลับมา รีบไปจุดสัญญาณไฟเร็วเข้า”
ทหารคนสนิทของเขาผลุนผลันวิ่งไปยังจุดสูงสุดของป้อมปราการแล้วจุดสัญญาณไฟ ควันขโมงลอยตรงดิ่งสู่ท้องนภา กองทัพหลวงของต้ายงเหยียบย่างบนแผ่นดินเป่ยฮั่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสองของต้ายง ศึกใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดหรือล่มสลายของเป่ยฮั่นกำลังจะอุบัติขึ้นแล้ว
เซี่ยหนิง แม่ทัพคนสนิทของฉีอ๋องผู้นำทัพหน้าของกองทัพต้ายงมา มองเห็นควันสัญญาณลอยโขมงแต่ไกล เขาหัวเราะลั่นอย่างห้ามมิไหว กระตุกบังเหียนชูแส้ชี้ไปด้านหน้า “ต่อให้พวกเขาพบกองทัพเราแล้วจะทำเช่นไรได้ ป้อมปราการหลิงหยวนเล็กๆ แห่งหนึ่งจะต้านทานคมอาวุธของพวกเราที่หันเข้าใส่ได้หรือ ทุกคนจงฟังคำสั่ง ยึดป้อมหลิงหยวนให้ได้ในคราเดียว รับบัญชาฉีอ๋อง ถากถางทางให้ทัพหลวง” กล่าวจบก็ห้ออาชานำหน้าไปผู้เดียว กองทัพต้ายงในชุดเกราะสีครามเกือบดำโห่ร้องเสียงดังลั่นพุ่งตามเซี่ยหนิงไป
ป้อมหลิงหยวนอันเล็กกระจ้อยต่อต้านอย่างกล้าหาญอีกเท่าใดก็เป็นเพียงตั๊กแตนที่ยกขาหน้าขวางทางรถเท่านั้น เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม ป้อมหลิงหยวนก็ถูกตีแตก กองทัพต้ายงโอบล้อมรอบทิศ กองทัพเป่ยฮั่นมิมีผู้รอดชีวิตสักคน ป้อมหลิงหยวนแต่เดิมก็เป็นด่านหน้าของแนวรับที่รับหน้าที่สอดส่องสถานการณ์ของข้าศึก เมื่อต้ายงยกกองทัพใหญ่บุกมา ป้อมหลิงหยวนย่อมมิอาจรักษาไว้ได้ ดังนั้นทหารที่ถูกส่งมายังที่แห่งนี้ล้วนเตรียมใจตายมาแล้วทั้งสิ้น ฝ่ายกองทัพต้ายงออกรบศึกแรกก็มิมีเจตนาจะกล่อมให้ยอมจำนนเช่นกัน ใต้กีบเท้าเหล็ก กระดูกและเลือดเนื้อแหลกเละกลายเป็นโคลนเหลว
เซี่ยหนิงเห็นว่าตีป้อมหลิงหยวนแตกแล้ว จึงสั่งให้คนไปทำลายประตูป้อมกับอาวุธคุ้มกันป้อม หลังจากนั้นกองทัพใหญ่จึงออกเข่นฆ่าหมู่บ้านบริเวณรอบด้าน ครั้งนี้ฉีอ๋องออกคำสั่งอย่างเคร่งครัด มิอาจเหลือศัตรูทิ้งไว้ด้านหลัง หมู่บ้านแต่ละแห่งถูกเผาวอดวาย
แม้เด็กหนุ่มบุรุษฉกรรจ์มากกว่าครึ่งไปเข้าร่วมกองทัพแล้ว แต่ชาวบ้านเป่ยฮั่นล้วนห้าวหาญ แม้แต่สตรี เด็กน้อยและผู้เฒ่าชราก็ล้วนหยิบดาบและกระบี่โจมตีพลทหารของกองทัพต้ายงได้ตลอดเวลา ดังนั้นภายใต้คำสั่งของเซี่ยหนิง ทหารม้าของต้ายงจึงแทบจะบดขยี้แนวป้องกันของหมู่บ้านเหล่านี้จนเพียงซากปรักหักพัง ชาวบ้านที่โชคดีรอดมาต่างถูกดาบกระบี่ขับไล่ให้หนีไปยังจี้ซื่อกับอานเจ๋อ
กองทัพต้ายงมิได้ใช้ทัพเร็วบุกอย่างฉับไว แต่ประทับรอยเท้าทีละฝีก้าวรุดหน้าอย่างมั่นคง จุดที่เดินทัพผ่านหลงเหลือเพียงหมู่บ้านที่กลายเป็นซากกับแปลงนาร้างไร้ผู้คน สิ่งเดียวที่ทำให้ชาวบ้านเป่ยฮั่นรู้สึกยินดีก็คือ ฉีอ๋อง แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพต้ายงออกคำสั่งไว้ว่ามิให้เข่นฆ่าสังหารชาวบ้านส่งเดช ด้วยเหตุนี้ขอเพียงมิขัดขืน ไม่เพียงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่อาจมีโอกาสนำทรัพย์สินจำนวนหนึ่งติดตัวไปด้วยได้ ทว่านอกจากทิศเหนือ พวกเขาก็มิมีทิศทางอื่นให้ไปอีก
ริมฝั่งแม่น้ำชิ่นสุ่ย ผู้เฒ่าเด็กน้อยและเหล่าสตรีเสื้อผ้าขาดวิ่นกลุ่มหนึ่งประคองกันและกันเดินทางขึ้นเหนืออย่างยากลำบาก ในขบวนมีรถม้าเก่าๆ เพียงไม่กี่คัน บนนั้นขนข้าวสารและเสบียงจำนวนเล็กน้อยเอาไว้ เด็กน้อยกับคนชราผู้ไม่มีเรี่ยวแรงเดินจริงๆ หลายคนนั่งอยู่บนรถม้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าสลด
พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่ร่างกายอ่อนแอไร้กำลัง ในหมู่ชาวบ้านอพยพที่เดินทางขึ้นเหนือนับว่าเป็นกลุ่มสุดท้ายที่รั้งท้ายสุด ทหารม้าของกองทัพต้ายงเดินทางแซงไปแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขามักจะพบกับกองทัพต้ายงที่เข้ามาตรวจค้น แม่ทัพต้ายงที่ขับไล่พวกเขาออกจากบ้านกล่าวไว้ชัดเจนยิ่งนัก หากก่อนวันที่สิบเดือนสาม พวกเขายังเดินทางไปมิถึงจี้ซื่อ ถ้าเช่นนั้นจะถือว่าเป็นสายลับของกองทัพเป่ยฮั่นและถูกประหาร
สายลมวสันต์เย็นเฉียบพัดมาจากแม่น้ำ ทำให้บรรดาผู้เฒ่าเด็กน้อยที่สวมเพียงอาภรณ์ตัวบางขดตัวจนเป็นก้อนกลม ฤดูใบไม้ผลิในชิ่นโจวยังคงหนาวเย็นมาก การเดินทางรอนแรมไม่เห็นจุดหมาย เฝ้าคิดว่าอาจถูกกองทัพต้ายงสังหารในฐานะสายลับ ทำให้ผู้เฒ่าจำนวนหนึ่งในขบวนหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด
ผู้ใดเล่าจะคิดว่ากองทัพต้ายงจะใช้วิธีการเช่นนี้ หกปีก่อนกองทัพต้ายงก็เคยบุกชิ่นโจว ทว่าระหว่างทางมิรุกรานหมู่บ้านแต่อย่างใด มาวันนี้กลับเหยียบทุกสิ่งราบเป็นหน้ากลอง ผู้เฒ่าหลายคนแอบคุยกันว่าเรื่องนี้ก็มิแปลก ผู้ที่เป็นแม่ทัพใหญ่ในวันวานคือหลี่จื้อ องค์จักรพรรดิต้ายงในวันนี้ ในขณะที่ครั้งนี้คือฉีอ๋องหลี่เสี่ยน ผู้ใดมิรู้บ้างว่าหลี่จื้อจิตใจโอบอ้อม ส่วนฉีอ๋องโหดเหี้ยมอำมหิต
เด็กน้อยที่นั่งอยู่บนรถม้าคนหนึ่งมองผ่านแม่น้ำอย่างมิได้ตั้งใจ ทันใดนั้นเขาก็ชี้กลางแม่น้ำอย่างแปลกใจแล้วกล่าวว่า “ท่านปู่ ตรงนั้นมีเรือลำใหญ่” ผู้เฒ่าที่เดินกะโผลกกะเผลกตามอยู่ข้างตัวรถคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็นิ่งอึ้งเช่นกัน
กลางแม่น้ำชิ่นสุ่ยมีเรือลำน้อยใหญ่ร้อยกว่าลำกำลังแล่นทวนน้ำ เรือลำหนึ่งในนั้นขนาดมหึมาดูแข็งแรงเป็นที่สุด หัวเรือปักธงผืนใหญ่ไว้ผืนหนึ่ง บนนั้นมีตัวอักษรตัวใหญ่คำว่า ‘เจียง’ บนลำเรือพลทหารสวมเกราะยืนเรียงราย เรือรบยี่สิบกว่าลำรายล้อมคุ้มกันเรือลำนั้นอยู่ตรงกลาง ท้ายขบวนเป็นเรือขนสินค้าที่เต็มไปด้วยเสบียงของต้ายง
เสียงอุทานตกใจของผู้เฒ่าทำให้คนอื่นๆ หันหน้าไปมองบ้าง เมื่อเห็นกองทัพเรือเร็วของต้ายงและพลทหารผู้สวมเกราะวาววับบนลำเรือ พวกเขาก็แทบจะหมดเรี่ยวแรงก้าวเดินต่อ ครั้งก่อนกองทัพต้ายงบุกเป่ยฮั่นมิได้ใช้กองเรือมากมายเช่นนี้ ครั้งนี้ต้ายงคงจะหมายมุ่งตีเมืองให้จงได้แล้วกระมัง
เวลานี้เอง หัวเรือของเรือลำนั้นก็คล้ายจะมีความเคลื่อนไหววุ่นวายเล็กน้อย เด็กโตที่สายตาค่อนข้างดีหลายคนเห็นชัดเจนว่ามีคนสามคนเดินเอื่อยเฉื่อยออกมาจากห้องพักชั้นบนสุดของเรือ คนหนึ่งในนั้นก้าวออกมาจากกลุ่มคนแล้วหยุดยืนที่หัวเรือ มือจับราวกั้นมองมาทางชายฝั่ง
คนผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาวตลอดทั้งร่าง ด้านนอกสวมเสื้อคลุมตัวโคร่งสีเขียวทับ มองจากไกลๆ มิเห็นหน้าตา เห็นเพียงคนผู้นี้เส้นผมสีเทาอ่อน น่าจะมิใช่คนหนุ่มแล้ว นอกเหนือจากนี้ทุกคนก็มองเห็นเพียงดวงตาใสกระจ่างเยือกเย็นคู่หนึ่ง แม้จะห่างกันไกลนัก แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเหมือนมองทะลุไปถึงอวัยวะข้างในร่างของพวกเขา ทำให้ในใจพวกเขารู้สึกหนาวยะเยือกอย่างมิทราบสาเหตุ
พริบตาที่เห็นเรือลำนั้น แววตาของชาวนาวัยกลางคนหน้าตาซื่อคนหนึ่งในกลุ่มพวกเขากลับทอประกายเย็นยะเยือก ทว่าเขาก้มหน้าลงในทันใด แล้วยังคงทำท่าทางกลัดกลุ้มทุกข์ตรมพลางลูบคลำขาขวาเป็นระยะ บนนั้นพันผ้าพันแผลไว้อย่างลวกๆ ขาน่าจะบาดเจ็บ จึงมิแปลกที่เขาจะถูกทิ้งไว้ด้านหลัง
เวลานี้เอง เสียงฝีเท้าอาชาแผ่วเบาก็ดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่แรงสั่นสะเทือนจากผืนดินก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงอันตราย ชาวนาหลายคนถือจอบกับเคียวขึ้นมา คิดจะปกป้องครอบครัวของตนเองให้ถึงที่สุดเพราะมิรู้ว่ายามใดกองทัพต้ายงพวกนั้นจะลงมือสังหารคน
สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขาคือทหารม้ากองเล็กไม่เกินยี่สิบถึงสามสิบคนกองหนึ่ง ผู้ที่นำหน้ามาคือแม่ทัพหญิงสวมเกราะอ่อนสีครามเกือบดำคนหนึ่ง แม้ดูจากชุดเกราะที่สวมอยู่จะมิอาจแยกแยะเพศได้ แต่ดวงตางดงามทั้งสองข้างและคิ้วเรียวยาวจรดโคนผมของนางกลับทำให้ผู้คนเห็นเพียงคราเดียวก็ทราบว่านางเป็นขุนพลหญิงคนหนึ่ง นางผูกผ้าคลุมกันลมสีดำ ตรงเอวห้อยกระบี่ยาว บนแผ่นหลังสะพายหน้าไม้ ผู้ที่ติดตามมาด้านหลังนางต่างสวมเกราะอ่อน พกหน้าไม้ติดตัว แต่อาวุธคู่กายกลับมีมากมายหลากหลายแบบ แทบจะมีมิซ้ำกัน
[1]อู้อิ๋น ปีเสือ ปีที่ 15 ในรอบ 60 ปีตามแผนภูมิฟ้า