ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 37 แม้นปราชัยก็น่ายินดี (1)
ปีอู้อิ๋น รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่ง เดือนสาม วันที่สิบสี่ ยอดแม่ทัพจิงฉือนำทหารม้าสามหมื่นกับพลทหารเจิ้นโจวสี่หมื่นกรีฑาทัพข้ามช่องเขาไป๋สิงของเขาไท่สิง บุกตีด่านหูกวนอย่างรวดเร็ว หลิววั่นลี่แม่ทัพผู้คุ้มกันด่านรีบแจ้งจิ้นหยางกับชิ่นโจว เดือนสาม วันที่ยี่สิบห้า ด่านหูกวนแตก จิงฉือนำทัพมุ่งหน้าสู่ชิ่นหยวนอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
เมฆแดงก่ำบดบังดวงตะวัน ท้องนภามืดครึ้มอึมครึมราวกับสายฝนจะโปรยปรายลงมาได้ทุกขณะ บนถนนหลวง ทหารม้าร้อยกว่านายบากบั่นควบอาชา เสียงกีบเท้าอาชาดั่งอสนีบาตคำราม ทหารม้าแต่ละนายบนหลังอาชาสีหน้าเคร่งขรึมดุจผืนน้ำ ชุดเกราะสีดำเต็มไปด้วยฝุ่นดิน มองดูแล้วสภาพน่าอเนจอนาถอยู่บ้าง อาชาชั้นยอดสีดำตัวหนึ่งถูกทหารม้าเหล่านี้คุ้มกันอยู่ตรงกลาง บนหลังม้ามีคนนั่งอยู่สองคน พวกเขาก็คือเจียงเจ๋อกับหลี่ซุ่นนั่นเอง
อึดใจเดียว ควบอาชาออกมาหกสิบถึงเจ็ดสิบลี้มิหยุดพัก เจียงเจ๋อขี่ม้าไม่เก่งนัก เพื่อเร่งความเร็วการเดินทางจึงต้องให้เขากับเสี่ยวซุ่นจื่อนั่งอาชาตัวเดียวกัน อาชาขนดำตัวนี้เป็นยอดอาชาที่เลือกมาจากหนึ่งในอาณาเขตพันลี้ แม้บนร่างเริ่มจะมีเหงื่อออกแล้วแต่ยังคึกอยู่มากนัก
สองข้างถนนหลวงมีพงหญ้าและป่าหนาทึบ เสี่ยวซุ่นจื่อประคองเจียงเจ๋ออย่างระมัดระวังพลางระแวดระวังการเคลื่อนไหวรอบด้าน ยามกองทัพแตกพ่ายต้องหลบหนีอยู่ในเขตแคว้นศัตรูเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องระวังอย่างยิ่ง ทันใดนั้นในป่าฝั่งขวาพลันมีเสียงกีบเท้าม้าแผ่วเบาพร้อมกับเสียงต้นไม้ใบหญ้าไหว เสี่ยวซุ่นจื่อยกมือขวาขึ้น อาชาศึกร้อยกว่าตัวหยุดนิ่งพร้อมกัน เงียบกริบไร้สุ้มเสียง มิเสียทีเป็นหนึ่งในกองทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ไม่นานซูชิงก็ขี่อาชาสีดำตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากราวป่า นางพบพวกเขาก็รายงานเสียงดัง “ใต้เท้า หาที่พักแรมคืนนี้พบแล้ว ทะลุป่าไปสิบลี้มีหมู่บ้านไร้ชื่ออยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นอยู่ห่างจากถนนหลวงไกลยิ่งนักและสงบอย่างยิ่ง ข้าตระเวนรอบนอกดูรอบหนึ่งแล้วแทบจะไม่พบเห็นร่องรอยฟืนไฟของผู้คน ชาวบ้านในหมู่บ้านน่าจะหลบหนีภัยสงครามไปก่อนแล้ว ต่อให้มีผู้คนยังไม่เดินทางจากไป อาศัยกำลังของพวกเราก็น่าจะคุมตัวทุกคนได้ แต่เพราะไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าจึงมิได้เข้าไปสำรวจดู”
ข้าตอบอย่างเหนื่อยล้า “กองทัพเรามาถึงอานเจ๋อก็บุกตีเมืองทันที มิได้กวาดล้างบริเวณโดยรอบ แต่ข่าวทางจี้ซื่อคงแพร่มาถึงแล้ว ชาวบ้านแถบนี้ไม่หนีก็คงหลบบเข้าไปอยู่ในอานเจ๋อแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้จะไม่มีคนอยู่ก็ไม่แปลก แต่ทุกคนยังต้องระวังตัวไว้หน่อย ประเดี๋ยวล้อมหมู่บ้านแห่งนี้ไว้ หากด้านในยังมีคนอยู่ก็ขังพวกเขาไว้ด้วยกัน
ทุกคนจงระวังตัว กองทัพเราเพิ่งพ่ายศึก กว่าจะรวบรวมกองทัพได้ใหม่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายวัน หากกองทัพเป่ยฮั่นมีกำลังเหลือจะต้องปูพรมค้นหาทั่วบริเวณ ตามจับกุมสังหารทหารที่พลัดอยู่ลำพังของกองทัพเราเป็นแน่ หลายวันนี้อันตรายที่สุด สถานที่ซ่อนตัวจะต้องระวังให้มั่นใจว่าไม่มีข่าวคราวเล็ดลอดออกไป”
ฮูเหยียนโซ่วชักม้าก้าวมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าโปรดวางใจ แม่ทัพซูเชิญนำทาง พวกเราจะล้อมหมู่บ้านไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยตรวจค้นทีละบ้าน ไม่ให้สักคนหลุดรอดไป”
ข้าพยักหน้าเล็กน้อย เรื่องเช่นนี้พวกเขาไม่มีทางพลาดเด็ดขาด หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอาจไม่มีคนอยู่ ต่อให้มีแปดสิบ หรือร้อยคน สำหรับพวกเขาแล้วก็กำราบได้ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
ฮูเหยียนโซ่วทิ้งองครักษ์สองสามคนไว้ติดตามอารักขาข้ากับเสี่ยวซุ่นจื่อ ส่วนพวกเขารีบเดินทางไปก่อน ข้าคิดว่าคงจะไม่มีปัญหาประการใดจึงให้เสี่ยวซุ่นจื่อชะลอความเร็ว เดินทางไปช้าๆ เส้นทางในป่าขรุขระ มิอาจเดินทางรวดเร็ว สองข้างทางมีต้นหญ้าแห้งเฉาขึ้นรก แทบจะบดบังเส้นทางเอาไว้หมด เห็นได้ว่านี่เป็นหมู่บ้านที่ยามปกติมีคนสัญจรผ่านทางน้อยครั้งนัก หากมิใช่เพื่อหลบเลี่ยงกองทัพต้ายง เกรงว่าชาวบ้านในที่แห่งนั้นคงไม่มีทางหลบหนีไปแน่ แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี หากมีคนมากเกินไป การสังหารคนปิดปากก็ออกจะวุ่นวายเกินไปอยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้น การเข่นฆ่าสังหารผู้บริสุทธิ์ก็เป็นการกระทำผิดต่อสวรรค์
เดินทางไปได้ครู่ใหญ่ หนทางด้านหน้าก็พลันขยายกว้าง ยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางยังราบเรียบขึ้นมาก เผยให้เห็นผิวของดินเปล่าเปลือย นี่น่าจะเป็นจุดที่คนในหมู่บ้านสัญจรไปมาบ่อยครั้งแล้ว ข้ามองไปด้านหน้าก็เห็นสุดปลายของป่าทึบดังคาด เสี่ยวซุ่นจื่อหวดแส้เร่งม้า บังคับม้าเดินออกจากป่า
ข้ารู้สึกว่าเบื้องหน้าพลันสว่าง พื้นที่เปิดโล่งกว้างขวาง ด้านหลังป่าทึบคือหุบเขาที่ลุ่มต่ำแห่งหนึ่ง ใจกลางหุบเขามีทะเลสาบน้อยขนาดไม่กี่หมู่แห่งหนึ่ง น้ำทะเลสาบใสกระจ่างจนเห็นก้น บนผิวทะเลสาบมีไอน้ำร้อยลอยกรุ่น ข้าสัมผัสได้ว่าที่แห่งนี้อุณหภูมิสูงกว่าที่อื่นอยู่มาก คิดว่าทะเลสาบแห่งนี้คงจะเป็นศูนย์รวมของธารน้ำพุร้อน
ริมทะเลสาบมีบ้านกระจายอยู่สามสิบกว่าหลัง เรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบ ระหว่างบ้านแต่ละหลังมีเส้นทางเดินทอดตัดกันไปมาให้ความรู้สึกสงบสุข นึกดูแล้วหากเป็นยามสงบ ที่แห่งนี้คงจะเสมือนแดนสวรรค์ที่ตัดขาดจากโลกแห่งหนึ่ง แม้นอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงไก่เสียงสุนัข แต่ตราบจนตายผู้คนก็มิจำเป็นต้องติดต่อดินแดนด้านนอก
เพียงแต่ยามนี้มันกลายเป็นสนามรบแห่งการเข่นฆ่า ราชองครักษ์หู่จีสี่สิบกว่านายล้อมรอบหมู่บ้าน หน้าบ้านหลังหนึ่งมีเสียงตะโกนโหวกเหวกและเสียงการต่อสู้ ในใจข้าตกตะลึง ราชองครักษ์หู่จีแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง จะพบคู่ต่อกรในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ได้เช่นไร ความสงสัยใคร่รู้พอกพูนในหัวใจข้า ข้ารีบส่งสัญญาณให้เสี่ยวซุ่นจื่อเข้าไปดู เสี่ยวซุ่นจื่อเองก็คงกังวลว่าจะเปิดเผยร่องรอยจึงควบม้ามาถึงหน้าบ้านหลังนั้นในเวลาเพียงครู่เดียว
บ้านหลังนั้นกินพื้นที่ราวครึ่งหมู่ เรือนหลักมีสามห้อง สองฝั่งมีเรือนข้างทั้งหมดสามหลัง ตัวเรือนก่อสร้างมาจากหินเขียว โอ่อ่าและสว่างไสวยิ่งนัก รอบด้านของบ้านมีรั้วไผ่โปร่งตา ภายในลานบ้านมีสวนผักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ปลูกผักกวางตุ้งอยู่เล็กน้อย แล้วยังมีดอกเบญจมาศอีกสองแถว บ่งบอกว่าเจ้าของสถานที่แห่งนี้มิใช่ชาวนาธรรมดา แม้อากาศจะหนาวเย็นยิ่ง แต่อาจเป็นเพราะทะเลสาบน้ำพุร้อนจึงทำให้อุณหภูมิของที่แห่งนี้ค่อนข้างสูง ผักกวางตุ้งแทงยอดออกจากดินแล้ว ดอกเบญจมาศเองก็ผลิใบเขียวออกมาแล้วเช่นกัน
เวลานี้ในลานบ้านมีราชองครักษ์หู่จีสองนายกำลังร่วมมือกันประมือกับชาวนาหนุ่มคนหนึ่ง ฮูเหยียนโซ่วยกมือไพล่หลังยืนตรงประตูลานบ้าน ราชองครักษ์หู่จีสิบกว่านายล้อมบ้านหลังนี้ไว้อย่างแน่นหนา เมื่อเห็นข้าหยุดอยู่นอกประตู ฮูเหยียนโซ่วก็รีบร้อนเดินเข้ามารายงานว่า “ใต้เท้า ตรวจสอบภายในหมู่บ้านหมดแล้ว ชาวบ้านที่นี่คงอพยพออกไปก่อนแล้ว มีเพียงบ้านหลังนี้ที่มีผู้อาศัย แล้วยังเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง”
ข้าพยักหน้าแล้วพิจมอง ชาวนาผู้นั้นอายุราวยี่สิบแปดถึงยี่สิบเก้าปี หน้าตาหล่อเหลา จมูกโด่งปากเป็นกระจับ เรือนร่างองอาจกำยำ มองปราดเดียวก็ทราบว่ามิใช่คนธรรมดา เขาป้องกันอยู่หน้าประตูเรือนหลักมิขยับเขยื้อน ในมือถือดาบเล่มหนึ่ง ขวางราชองครักษ์หู่จีสองนายเอาไว้ แม้จะยังมีท่วงท่าสบายๆ แต่สีหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดอยู่บ้างแล้ว เห็นชัดว่าว่าสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต
เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหตุใดมิให้คนเข้าไปทางหน้าต่าง กระหนาบหน้าหลัง รีบกำราบคนผู้นี้เสีย คุณชายยังต้องพักผ่อน”
ฮูเหยียนโซ่วตอบอย่างอับอาย “ผู้น้อยเห็นบ้านหลังนี้กว้างขวางที่สุดในหมู่บ้าน ทัศนียภาพก็น่ารื่นรมย์ แต่เดิมคิดจะให้คุณชายพักผ่อนที่นี่ จึงมิอยากทำลายตัวบ้านให้เสียหาย”
ในใจข้าฉุกคิดบางอย่าง บ้านหลังนี้สงบร่มรื่นจริงดังว่า ฮูเหยียนโซ่วก็อุตส่าห์คิดการรอบคอบ เวลานี้ฮูเหยียนโซ่วคงจะเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อสีหน้าไม่ดีแล้วจึงรีบกล่าวว่า “ใต้เท้าโปรดรอสักครู่ ผู้น้อยจะลงมือด้วยตนเองเดี๋ยวนี้” กล่าวจบก็ถอยไปสองสามก้าวแล้วหมุนตัวชักดาบเดินไปยังประตูของเรือนหลัก ท่าทางของเขาสุขุมหนักแน่น แววตาของชาวนาผู้นั้นฉายแววสิ้นหวัง กระบวนท่าที่ใช้จึงเริ่มสับสนเล็กน้อย
ฮูเหยียนโซ่วเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอันดับสองในหมู่ราชองครักษ์หู่จี วิชาดาบของเขาดุดันโหดเหี้ยม บีบชาวนาผู้นั้นจนรับมือไม่ทัน เพียงไม่กี่กระบวนท่า ชาวนาผู้นั้นก็หายใจหอบแฮ่ก อาจเพราะสู้มานานจนเรี่ยวแรงเริ่มถดถอย ชาวนาผู้นั้นจึงพลาดสะดุดล้มทรุดลงบนพื้น ดาบของฮูเหยียนโซ่วฟันใส่ชาวนาผู้นั้น ยอดฝีมือเช่นนี้หากปล่อยทิ้งไว้เกรงว่าคงจะมีปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้นเขาจึงไม่คิดใจอ่อนแม้แต่น้อย ตัดสินใจถอนรากถอนโคนให้สิ้น
ทันใดนั้นภายในบ้านก็มีคนตวาดเสียงดังว่า “โปรดละเว้นชีวิตด้วย!”
ฮูเหยียนโซ่วคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าในบ้านอาจมีคนอยู่ มิฉะนั้นชาวนาผู้นี้คงไม่เฝ้าเรือนหลักมิยอมหนีไปไหน แต่เสียงของคนผู้นั้นหนักแน่นทรงอำนาจจนทำให้จิตใจของฮูเหยียนโซ่วหวั่นไหว ดาบยาวในมือฉับพลันหยุดชะงัก คมดาบจ่ออยู่ตรงลำคอของชาวนา ชาวนาผู้นั้นหลับตาลงแล้ว แต่เมื่อรู้สึกว่าคมดาบหยุดนิ่ง แม้ไอเย็นยะเยือกจะคุกคามตนอยู่ แต่คล้ายจะไม่ได้เฉือนผิวจนเห็นเลือด เขาจึงลืมตาขึ้นมองฮูเหยียนโซ่วอย่างตกตะลึง