ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 42 เอาตัวมาติดกับ (3)
ข้ายิ้มเล็กน้อย ในใจคิดว่า ในที่สุดเจ้าก็มา ข้าทราบว่าคนผู้นี้น่าจะไม่ลงมือทันที จึงลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังกลับไป เห็นราชองครักษ์หู่จีสองนายที่เดิมอยู่ด้านหลังข้าต่างยืนนิ่งไม่ไหวติง ส่วนด้านหลังพวกเขามีบุรุษน่าเกรงขามสวมชุดเกราะของราชองครักษ์หู่จี แต่หน้าตาไม่คุ้นหน้าอย่างยิ่งคนหนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ สีหน้าท่าทางของเขาดูไม่ธรรมดายิ่งนัก องอาจแกร่งกล้ากล้าปานจะยิ้มเย้ยสวรรค์
ข้ายิ้มพลางเอ่ยตอบเสียงกระจ่างชัด “ที่แท้คุณชายใหญ่ต้วน ต้วนหลิงเซียวมาเยือนด้วยตนเอง เจียงเจ๋อมิได้ออกไปต้อนรับ เสียมารยาทแล้วจริงๆ”
เวลานี้เอง เงาร่างที่อยู่ไกลๆ ก็ขยับไหววูบ องครักษ์ที่พบว่าข้าตกอยู่ในอันตรายเหล่านั้นเร่งรีบวิ่งเข้ามา ทว่าเงาร่างสีเขียวร่างหนึ่งว่องไวที่สุด เพียงชั่วพริบตาก็มาอยู่ใกล้เพียงยี่สิบจั้ง กำลังมุ่งหน้ามาหา
ต้วนหลิงเซียวเอ่ยเสียงดุดัน “หากมีผู้ใดกล้าข้ามเส้นนี้มา ข้าจักสังหารฉู่เซียงโหวทันที” กล่าวจบก็หันกลับไปวาดมือครั้งหนึ่ง ลมปราณกล้าแกร่งสายหนึ่งแผ่ออกจากร่างวาดเส้นขวางเส้นหนึ่งบนพื้นดินห่างออกไปสิบห้าจั้ง เสี่ยวซุ่นจื่อหยุดยืนอยู่หลังเส้น ดวงตาสองข้างเผยจิตสังหารเย็นยะเยือก แต่สุดท้ายก็มิได้ก้าวข้ามเส้นมา เวลานี้ฮูเหยียนโซ่วกับซูชิงรีบเร่งมาถึงแล้ว หลังจากหยุดยืนอยู่หลังเส้นขวาง พวกเขาต่างก็มีสีหน้าร้อนรนและท่าทางลนลาน
ข้ากลับจิตใจนิ่งสงบ ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ได้ยินมานานแล้วว่าศิษย์เอกของประมุขพรรคมารใจกล้ามิธรรมดา ครั้งก่อนคุณชายใหญ่สังหารแม่ทัพและเหล่าทหารต้ายงของข้าไปมากมายนัก จวบจนวันนี้เจียงเจ๋อยังจำฝังใจ วันนี้คุณชายใหญ่คงจะมาเพื่อเอาชีวิตของเจียงเจ๋อกระมัง”
เวลานี้ต้วนหลิงเซียวกลับมิได้รีบร้อน เขาทราบมาก่อนแล้วว่ามิว่าทำเช่นไร เมื่อตนเองสังหารเจียงเจ๋อสำเร็จ ทุกคนย่อมรู้ตัว ดังนั้นเขาจึงมิรีบร้อนหนี ด้วยวรยุทธ์ของเขา ขอเพียงไม่บุ่มบ่ามและไม่ตกอยู่กลางกระบวนทัพ อีกทั้งมีศิษย์ร่วมสำนักของตนอีกหลายคนรอรับอยู่ด้านนอก การจะหนีย่อมมิใช่เรื่องยาก
ยิ่งไปกว่านั้นเขาอยู่ห่างจากเจียงเจ๋อเพียงหนึ่งจั้ง เงามารผู้วรยุทธ์สูงที่สุดกลับอยู่ห่างจากตนสิบห้าจั้ง ระยะห่างเช่นนี้ แม้แต่ท่านอาจารย์ลงมือด้วยตนเอง ก็อย่าคิดจะขวางตนจากการสังหารบัณฑิตอ่อนแอคนนี้ ดังนั้นเขาจึงมิรีบร้อนลงมือ ถึงอย่างไรเขาก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเจียงเจ๋อผู้นี้อยู่บ้าง
ข้าเห็นเขายังไม่ลงมือ หัวใจก็คลายความตึงเครียดเล็กน้อย หากประเดี๋ยวสู้กันขึ้นมา คงไม่มีโอกาสสนทนาอย่างสงบเช่นนี้อีก ข้ามององครักษ์ที่ยืนตัวแข็งอยู่ด้านข้างสองนายนั้น เห็นทั้งสองคนสีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ เหงื่อแตกพลั่กไหลชุ่มแต่มิอาจกระดิกได้ จึงถามว่า “คุณชายใหญ่ต้วน เหตุใดท่านจึงมิลงมืออำมหิตกับองครักษ์สองนายนี้เล่า แม้เจียงเจ๋อซาบซึ้งใจแต่กลับรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง”
ต้วนหลิงเซียวคลี่ยิ้ม ตอบว่า “ข้ามิได้เมตตาใจอ่อน เพียงได้ยินมาว่าฉู่เซียงโหวชำนาญการใช้พิษ ในอดีตเคยใช้สิ่งนี้ทำให้ผู้คนของสำนักเฟิงอี้ถูกกำราบมาแล้ว อีกทั้งข้ายังต้องการจะสนทนากับท่านโหวสักครู่หนึ่ง จึงไว้ชีวิตของสองคนนี้ หวังว่าจะห้ามฉู่เซียงโหวให้มิกล้าใช้พิษตามอำเภอใจได้สักครู่ เพื่อมิให้เป็นอันตรายต่อชีวิตของสองคนนี้”
ดวงตาข้าทอประกายวูบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ต้วนลืมไปแล้วหรือ พวกเขาล้วนเป็นองครักษ์ของข้า แต่แรกก็อยู่ข้างกายข้าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของข้า ต่อให้ข้าทำร้ายพวกเขาไปด้วย ก็คงมิมีผู้ใดต่อว่าข้าได้ แม้แต่ตัวพวกเขาเองถึงจะเดินทางไปยังปรโลกแล้วก็คงคิดเช่นนี้”
ดวงตาขององครักษ์สองนายนั้นทอประกายเจิดจ้า ดูท่าจะเห็นด้วยกับคำพูดของข้ายิ่งนัก แม้ต้วนหลิงเซียวมองไม่เห็นสีหน้าของพวกเขา แต่อาศัยเพียงลมหายใจที่เปลี่ยนไปของพวกเขาก็ทราบว่าองครักษ์สองนายนี้เป็นผู้มีจิตใจภักดีกล้าหาญดังนั้นจริง ทว่าเขากลับมิกังวลแม้แต่น้อย เอ่ยต่อว่า
“หากเป็นผู้อื่นอาจคิดเช่นนี้ แต่ผู้แซ่ต้วนกลับคิดว่านิสัยของเจียงโหว อำมหิตไร้น้ำใจต่อศัตรู แต่กับคนของตนกลับเมตตาใจอ่อน นี่เป็นข้อสรุปที่ผู้แซ่ต้วนได้มาจากการอ่านข้อมูลเกี่ยวกับท่านโหว และหากมิใช่เช่นนี้ อวี้เฟยก็คงมิอาจหนีเอาชีวิตรอดมาจากมือท่านโหวได้กระมัง ยามนี้หากบอกว่าท่านโหวลอบใช้พิษโดยมิสนใจชีวิตของสองคนนี้ได้ ผู้แซ่ต้วนมิเชื่อเป็นอันขาด”
ข้าไร้วาจาตอบโต้ไปชั่วครู่ แม้เรื่องของชิวอวี้เฟยที่เขากล่าวถึงเป็นเพียงความบังเอิญ แต่เมื่อครุ่นคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว ข้าก็มิใคร่ชอบใช้วิธีการอำมหิตกับคนข้างกายจริงๆ มิต้องพูดถึงเรื่องอื่นไกล หากข้ามิได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า แล้ววันนี้พานพบสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ข้าใช้พิษได้จริงก็คงยากจะตัดสินใจลงมือ มิว่าอย่างไรองครักษ์สองนายนี้ก็ล้วนเป็คนเก่าคนแก่ที่ติดตามข้ามาตั้งแต่อยู่ในสวนเหมันต์ ครั้งนี้ปล่อยให้พวกเขาเอาตัวมาเสี่ยงอันตราย ข้าก็ไม่สบายใจมากพออยู่แล้ว
ต้วนหลิงเซียวเห็นสีหน้าข้าแปรเปลี่ยนไปมาหลายหนก็ทราบว่าพูดแทงใจข้าเข้าให้แล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เจียงโหวช่วยเหลือยงอ๋องขึ้นสู่บัลลังก์จักรพรรดิ หลังจากนั้นก็ละทิ้งอำนาจเร้นตัวไปพำนักในตงไห่ ผู้แซ่ต้วนแต่เดิมนับถือยิ่งนัก เพียงแต่น่าเสียดายสุดท้ายแล้วเจียงโหวก็มิอาจละทิ้งบุญคุณของนาย จนทิ้งชีวิตปลีกวิเวกกลับมาช่วยฉีอ๋องทำสงครามกับพวกเราเป่ยฮั่น
แม้ข้าเลื่อมใสความสามารถของท่าน แต่วันนี้ได้แต่พบพานจากกันด้วยความตาย ทว่าหากเจียงโหวยินดีรับปากว่านับจากนี้จะปลีกตัวสันโดษ มิวางแผนการเพื่อต้ายงอีกต่อไป วันนี้ผู้แซ่ต้วนจะปล่อยท่านไปสักครั้งก็ย่อมได้”
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวว่า “ลาภยศสรรเสริญสำหรับข้าเป็นดั่งเมฆหมอกมลายในพริบตา แต่ผู้แซ่เจียงรักตัวกลัวตายมากที่สุด หากต้ายงมิอาจรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง ชีวิตนี้ของผู้แซ่เจียงคงมิมีวันอยู่อย่างสงบสุข เจตนาดีของคุณชายใหญ่ต้วนข้าทำได้พียงรับไว้ด้วยใจ คุณชายใหญ่แสร้งเอ่ยเช่นนี้ หวังจะลดทอนความมุ่งมั่นของลูกน้องทั้งหลายของข้าใช่หรือไม่ ความจริงตัวข้าไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่ คุณชายใหญ่มิจำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดเช่นนี้ก็ได้”
ต้วนหลิงเซียวถอนหายใจเอ่ยว่า “ท่านโหวคิดมากเกินไปแล้ว ผู้แซ่ต้วนเพียงทนไม่ได้ที่ศิษย์น้องสี่จะต้องเสียใจก็เท่านั้น ก่อนเขาเดินทางไปตงไห่เคยส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ข้า เล่าเรื่องที่ผูกพันเป็นสหายกับท่านโหว แม้วันนั้นเขาหมายมั่นจะสังหารท่านโหวให้ถึงที่ตาย แต่ท่านโหวกลับชื่นชอบเขายิ่งนัก ข้าทราบว่าอวี้เฟยมิค่อยสุงสิงกับผู้ใด ชีวิตเขาคบหาสหายน้อยนัก ดังนั้นจึงตัดใจทำลายชีวิตท่านโหวมิได้
แม้ครั้งนี้กองทัพท่านพ่ายศึก แต่กำลังหลักมิเสียหาย ยามนี้ท่านโหวพ้นจากการคุ้มครองของกองทัพใหญ่ เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่กองทัพเราจะบั่นทอนกำลังของกองทัพท่าน เดิมทีหากท่านโหวรับปากจะปลีกตัวจากไป ผู้แซ่ต้วนคิดว่าจะเชิญท่านโหวไปพักรักษาตัวที่จิ้นหยาง น่าเสียดายเจตนาดีของข้าท่านโหวมิรับ ตอนนี้คงทำได้เพียงจากเป็นจากตายกันแล้ว”
ข้ามิโกรธแต่กลับหัวเราะ หากฝั่งข้ารักตัวกลัวตายรับปากจะปลีกตัวหลบจริง ต้วนหลิงเซียวผู้นี้ก็คงเอ่ยต่อว่าจะให้ข้าตามเขากลับไปจิ้นหยาง อาจถึงขั้นใช้นามของประมุขพรรคมารสาบานว่าจะไม่ทำอันตรายชีวิตข้า แต่ข้าฉู่เซียงโหว ผู้ตรวจการกองทัพแห่งต้ายงและพระราชบุตรเขยผู้ทรงเกียรติ หากถูกข่มขู่จนยอมตามกลับไปนครหลวงของเป่ยฮั่นจริง ข้ายังจะมีหน้าอันใดไปพบองค์หญิงฉางเล่อกับฝ่าบาทอีกเล่า
คนพรรคมารนี่ช่างวาจาโอหังจริงแท้ น่าเสียดายแม้ข้าเจียงเจ๋อรักตัวกลัวตาย แต่มิใช่คนที่ยอมทำเรื่องอัปยศเพื่อเอาชีวิตรอด วันวานข้ายอมเสี่ยงชีวิตดื่มสุราพิษของยงอ๋องได้ วันนี้ข้าจะยอมปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่ความเป็นความตายขึ้นอยู่กับผู้อื่นได้เช่นไร ต่อให้ข้ามิได้วางกับดักล่วงหน้ารอต้วนหลิงเซียวมาติดกับ ข้าก็มิมีวันยอมถูกจับเป็นเชลยเป็นอันขาด
ข้าดึงจิตใจให้กลับมาสงบเยือกเย็น แล้วกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ต้วน ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดซูชิงจึงกลับมารับเพียงลำพัง”
ต้วนหลิงเซียวหัวใจสั่นไหววูบหนึ่ง ฉับพลันร่างกายอ่อนแอของชายหน่มผู้นี้ตรงหน้าก็แผ่อำนาจและจิตสังหารมากเหลือคณาออกมา ทำให้คนต้องมองดูเสียใหม่ เขาจับสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้าน พร้อมกับตอบว่า “กองทัพของท่านคงจะคิดว่าทหารสอดแนมกับสายลับของกองทัพเราถอนตัวออกไปหมดแล้วกระมัง”
ข้าส่ายศีรษะ เอ่ยว่า “หาใช่เช่นนั้นไม่ ชีวิตของเจียงเจ๋อคุ้นชินกับการโยนหินซ้ำผู้อื่นเป็นที่สุด ดังนั้นจึงคิดอย่างคนถ่อยแทนที่จะคิดอย่างวิญญูชนอย่างเลี่ยงมิได้ อีกทั้งเจียงเจ๋อยังเป็นผู้หยิ่งทะนง จึงคาดว่ากองทัพท่านต้องฉวยโอกาสลอบสังหารข้าเป็นแน่ แทนที่จะรอให้กองทัพท่านมาลอบสังหาร มิสู้ล่องูออกจากโพรงเสียดีกว่า ข้าคาดว่าผู้ที่จะมาลอบสังหารข้าย่อมเป็นคุณชายใหญ่ต้วน วรยุทธ์ของเซียวถงสู้เสี่ยวซุ่นจื่อมิได้ อีกทั้งเขายังต้องคอยคุมทหารสอดแนมของกองทัพ มิอาจมาเสี่ยงอันตรายได้โดยง่าย ดังนั้นย่อมต้องเป็นคุณชายใหญ่ลงมือ
แต่แผ่นดินกว้างใหญ่ สถานที่ซ่อนตัวของพวกเราก็ยากจะหาพบ หากข้าเป็นคุณชายใหญ่ข้าจะเฝ้าดูค่ายใหญ่ของกองทัพเรา แล้วก็ไม่ผิดจากที่ข้าคาด คุณชายใหญ่ตามรอยซูชิงมาจนถึงที่แห่งนี้ ข้าให้ราชองครักษ์หู่จีคุ้มกันรอบนอกอย่างแน่นหนา หากท่านต้องการลอบสังหารสำเร็จก็จำต้องรอจังหวะที่องครักษ์ข้างกายข้าน้อยที่สุด
ดังนั้นข้าจึงส่งเสี่ยวซุ่นจื่อหลบไป แล้วพาองครักษ์เพียงสองนายมายังริมทะเลสาบ แล้วท่านก็ทำไม่ผิดจากที่ข้าคิด หลังจากเปลี่ยนมาใส่เครื่องแบบองครักษ์ข้างกายข้าก็ปะปนมาถึงริมทะเลสาบหมายลอบสังหาร มิทราบว่าองครักษ์ที่ถูกท่านจัดการไปยังรอดอยู่หรือตายไปแล้วเล่า”
ต้วนหลิงเซียวรู้สึกหนาวยะเยือกในหัวใจ การกระทำตลอดวันที่ผ่านมาของตนเอง เจียงเจ๋อผู้นี้กลับประหนึ่งมองเห็นด้วยตา เขาเพ่งสมาธิสำรวจอย่างละเอียดอีกหน ก็ยังมิพบว่ารอบตัวบริเวณสองจั้งมีคนอยู่ ขณะที่เขาลอบครุ่นคิดในใจ ก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “ย่อมตายแล้ว แต่ราชองครักษ์หู่จีร้ายกาจจริง ข้าลงมือเองแท้ๆ แต่ก็ยังมีคนหนึ่งเกือบร้องตะโกนออกมาสำเร็จ เพียงแต่เพื่อมิให้ทุกคนรู้ตัว ข้าจึงสังหารไปเพียงสามคนเท่านั้น ท่านโหวคงมิปวดใจกระมัง”
ข้าปวดใจจริงๆ แม้ทราบก่อนแล้วว่าต้องมีผู้เสียสละ แต่ข้าก็ยังรู้สึกละอายใจ จนยกมือปิดหน้าอย่างห้ามมิได้ “พอแล้ว พวกท่านลงมือเถิด”