ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 43 โอกาสรอดริบหรี่ (1)
ต้วนหลิงเซียวเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว แต่ด้วยฐานะของเขา หากข้าเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้วเขาลงมือทันที ถ้าเช่นนั้นย่อมเสียหน้าอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงยังยืนยิ่งไม่ไหวติง อยากดูให้ชัดว่าการโจมตีมาจากที่ใด หากมาจากด้านหลัง ถ้าเช่นนั้นระยะห่างสิบห้าจั้งก็เพียงพอให้เขาสังหารเจียงเจ๋อก่อน เวลานี้เขาไม่มีความคิดจะจับเป็นเจียงเจ๋ออีกแล้ว คนเช่นนี้ให้เขาตายเร็วขึ้นหน่อยย่อมเป็นการดี
สิ้นเสียงพูดของข้า ทันใดนั้นตำแหน่งที่อยู่ทางด้านหน้าขององครักษ์ทั้งสองนายและห่างจากข้าเพียงครึ่งก้าวก็พลันมีโคลนและทรายระเบิดปะทุขึ้นมา เงาร่างสองร่างโผล่ออกมาจากพื้นดิน เพียงพริบตาเดียวก็ปกป้องข้าไว้ด้านหลัง ต้วนหลิงเซียวผวาถอยหลังครึ่งก้าวโดยมิรู้ตัว เป็นไปได้เช่นไร ระยะห่างใกล้เพียงนี้แต่ตนกลับไม่สังเกตว่ามีคนซุ่มซ่อนอยู่
หลังจากดินทรายฟุ้งกระจาย ต้วนหลิงเซียงก็มองเห็นเงาสองร่างนั้นกระจ่างชัด พวกเขาคือพระสงฆ์อายุราวสามสิบห้าถึงสามสิบหกปีสองรูป แววตาลุ่มลึก หน้าตาธรรมดาดาษดื่น แต่สีหน้ากลับมีความแข็งแกร่งและเด็ดขาด ต้วนหลิงเซียวแค่นเสียงเหอะออกมาแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้ก็พระของวัดเส้าหลินหรอกหรือ”
เวลานี้เอง เสียงใสกระจ่างของเจียงเจ๋อก็ดังขึ้น “ฝ่าเจิ้งต้าซือ ฝ่าเหริ่นต้าซือเป็นสิบแปดอรหันต์แห่งวัดเส้าหลินรุ่นก่อนและเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รอดกลับมาจากการต่อสู้กับเจ้าสำนักเฟิงอี้เมื่อหลายปีก่อน หลังจากผ่านประสบการณ์ครั้งนั้น พลังสมาธิของต้าซือทั้งสองก็รุดหน้า ผนวกกับวรยุทธ์ของทางพุทธเชี่ยวชาญการเก็บซ่อนลมหายใจที่สุด จึงปิดบังหูตาของคุณชายใหญ่ได้ แต่คุณชายใหญ่โปรดวางใจ ต้าซือทั้งสองยอมรับเองว่ามิใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ดังนั้นผู้แซ่เจียงจึงเชิญยอดฝีมือผู้อื่นเดินทางมาช่วยรับศึกด้วย”
ในใจต้วนหลิงเซียวรู้สึกเคร่งเครียด พระสองรูปนี้เคยต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับเจ้าสำนักเฟิงอี้แล้วมีชีวิตรอดมาได้ พวกเขาย่อมเป็นคู่ต่อสู้ที่มิง่ายแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจียงเจ๋อยังมียอดฝีมือแอบซ่อนไว้อีก
เวลานี้เอง ด้านหลังของเขาก็มีเสียงทุ้มต่ำหนักแน่นเอ่ยว่า “อาตมาจางจิ่นสยง คารวะคุณชายใหญ่ต้วน”
หลังจากนั้นเสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นต่อ “หลิงเจินจื่อแห่งเอ๋อเหมยคารวะคุณชายใหญ่ต้วน”
ต้วนหลิงเซียวพลิ้วกายถอยหลังไปหนึ่งจั้งกว่า หลังจากนั้นจึงหันกายไปมองสองคนที่อยู่ด้านหลัง
ด้านหลังเส้นขวางเส้นนั้น คนสองคนกำลังเดินมาอย่างอ้อยอิ่ง คนหนึ่งเป็นนักพรตสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน หน้าตาเที่ยงตรงดุดัน เปี่ยมด้วยพละกังลัง สองมือว่างเปล่า อีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวสวมอาภรณ์ไหมสีดำ หน้าตางามแฉล้ม สีหน้าเรียบเฉย ในมือถือแส้ปัดฝุ่นด้ามหนึ่ง ต้วนหลิงเซียวถอนหายใจแผ่วเบาเอ่ยขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เจียงโหวจะหมายมาดจัดการให้ได้จริงๆ”
ข้าซ่อนตัวอยู่หลังฝ่าเจิ้งกับฝ่าเหริ่น เมื่อได้ยินคำนี้ มุมปากก็ยกโค้งขึ้นอย่างห้ามมิได้ แต่ไม่นานก็สำรวมสีหน้าใหม่อีกหน คนทั้งหลายเหล่านี้ข้าคิดแล้วคิดอีกกว่าจะเลือกมาได้ ครั้งนี้บุกตีชิ่นโจว ฉีอ๋องส่งหนังสือไปยังราชสำนัก เชิญยอดฝีมือจากสำนักในยุทธภพมาช่วยเหลือเพื่อรับมือกับศิษย์พรรคมารตั้งแต่แรกแล้ว
ยอดฝีมือผู้โดดเด่นที่สุดของแต่ละสำนักมักจะเก็บตัวฝึกปรือวิชาอยู่ในสำนัก เรื่องนี้ก็มิแปลก เมื่อฝึกปรือวรยุทธ์จนถึงขอบขั้นหนึ่ง การต่อสู้ในสนามรบก็มิมีส่วนช่วยฝึกฝนจิตใจอีกต่อไป ยอดฝีมือที่อยู่ในราชสำนัก หรือในกองทัพของต้ายงจึงมักจะมิใช่ยอดฝีมือที่ล้ำเลิศที่สุด ต่อให้มีผู้ที่วรยุทธ์ล้ำเลิศอยู่สักสองสามคน แต่พวกเขาก็ล้วนอยู่ในพระราชวัง ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงจงใจให้ฝ่าบาทเรียกยอดฝีมือจากยุทธภพจำนวนหนึ่งมาทำงานให้กองทัพ แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับอย่างยิ่ง ตัวตนของยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นความลับยิ่ง
วัดเส้าหลินส่งยอดฝีมือมามากที่สุด เพียงอรหันต์ทองคำที่เหลือรอดสิบสองคนในตอนนั้นก็มาแล้วหกคน ยังไม่นับศิษย์รุ่นอื่นแต่ละรุ่นอีก ครั้งก่อนสำนักคงต้งเข้าข้างรัชทายาท แม้ไม่ถูกหางเลขเพราะจางจิ่นสยงกลับตัวกลับใจทัน แต่ก็มิได้ผลประโยชน์อันใดไป ครั้งนี้จึงต้องรีดเลือดลงทุนเสียหน่อย ให้จางจิ่นสยงผู้เป็นศิษย์ของเจ้าสำนักนำลูกศิษย์ชั้นยอดของสำนักสิบสองคนติดตามมากับกองทัพ หลังจากจางจิ่นสยงกลับไปยังคงต้ง เพราะผ่านคลื่นลมมาหนักหนาพอสมควร เขาจึงปล่อยวางจากเรื่องทางโลก ออกบวชเป็นนักพรต วรยุทธ์ยิ่งรุดหน้าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังฝึกปรือวิชาลับที่ถ่ายทอดในสำนักคงต้งหลายวิชา ยามนี้วรยุทธ์จึงเหนือกว่ายอดฝีมือชั้นหนึ่งแล้ว แม้ยังมิเข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ก็ขาดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
สำนักเอ๋อเหมยก็มิน้อยหน้า หลิงเจินจื่อเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเอ๋อเหมย แม้อายุจะเกินสี่สิบปีแล้ว แต่รูปลักษณ์ประหนึ่งคนอายุยี่สิบ นางฝึกเคล็ดวิชาวาโยพัลวันของสำนักเอ๋อเหมยจนบรรลุแล้ว วิชาใช้แส้ล้ำเลิศจนสร้างชื่อในใต้หล้า
ข้าเขียนจดหมายถึงฉีอ๋อง บอกให้เขาส่งยอดฝีมือสองสามคนเดินทางตามแผนที่มายังสถานที่แห่งนี้ล่วงหน้าหนึ่งวัน หลังจากนั้นจึงวางกับดักไว้ รอให้ต้วนหลิงเซียวมาติดกับ แน่นอนว่าข้าก็คิดถึงกรณีที่ต้วนหลงเซียวอาจไม่มาด้วย แต่ข้าคาดคะเนว่าอย่างน้อยก็มีโอกาสถึงหกส่วนที่จะพบต้วนหลิงเซียว ยามนี้เขาเข้ามาติดกับแล้ว แม้ยอดฝีมือสี่คนนี้ยังมิก้าวเข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ แต่ก็แทบจะขาดอีกเพียงก้าวเดียว (นี่เป็นสิ่งที่เสี่ยวซุ่นจื่อประเมินเอาไว้) แล้วยังมีเสี่ยวซุ่นจื่อคอยคุมอยู่อีกชั้นหนึ่ง ต้วนเหลิงเซียวติดปีกก็ยากจะหนีรอด
ข้าคิดอย่างลำพอง จากนั้นเอ่ยเสียงกังวานว่า “หากคุณชายใหญ่ต้วนยอมให้จับกุมแต่โดยดี ผู้แซ่เจียงยินดีสาบานว่าจะมิทำร้าย มิทราบว่าคุณชายใหญ่ต้วนยินดีหรือไม่”
ดวงตาลุ่มลึกดั่งห้วงสมุทรของต้วนหลิงเซียวฉายแววเข้าใจในฉับพลัน จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “เกิดเมื่อใด ตายที่ใด ล้วนแล้วแต่ฟ้ากำหนด สถานที่นี้เงียบสงบดั่งสรวงสวรรค์อันตัดขาดจากโลก ผู้แซ่ต้วนได้ตายที่นี่ก็นับว่ามิมีสิ่งใดให้เคืองแค้นแล้ว เจียงโหวเล่ห์กลล้ำเลิศนัก ข้าขอนับถือ”
เมื่อข้าได้ยินคำนี้ ในใจก็ฉุกคิดบางสิ่งได้ สิ่งที่ก่อนหน้านี้ข้ามองข้ามไปผุดขึ้นในห้วงความคิด ข้าต้องการสังหารต้วนหลิงเซียวเพราะวรยุทธ์ของเขาสูงเกินไป เมื่อนึกขึ้นว่าหากซูชิงมิได้สืบพบแผนการใช้น้ำโจมตีของกองทัพศัตรู น่ากลัวว่าข้าก็คงยากจะหนีพ้นภัย ถูกน้ำกลบจมหาย ดังนั้นข้าจึงยิ่งกังวลเกี่ยวกับต้วนหลิงเซียวผู้นี้ วรยุทธ์ของเขาสูงส่ง หากวันหน้าเขาสืบพบแผนการของข้า ไฉนมิกลายเป็นแผนล่มก้าวเดียวก่อนสำเร็จ
ดังนั้นข้าจึงมิอนาทรว่าต้องเอาตัวเสี่ยงอันตราย ล่อเขามาสู่กับดัก เตรียมจะสังหารเขาเสีย แต่ในห้วงเวลาที่เป้าหมายกำลังจะบรรลุ ข้ากลับคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หลายวันนี้คำนึงถึงแต่ภัยคุกคามจากคนผู้นี้ แต่กลับลืมเลือนไปว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์เอกของประมุขพรรคมาร หากคนผู้นี้ตายอยู่ที่นี่ ถ้าเช่นนั้นจิงอู๋จี๋ย่อมก้าวออกมาลงมือเองได้อย่างสง่าผ่าเผย เช่นนั้นไยมิใช่ข้าหาเรื่องลำบากให้ตัวเอง
ขอเพียงต้วนหลิงเซียวไม่ตาย จิงอู๋จี๋ก็ลงมือเองมิได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่ว่าพวกเราจะบุกไปถึงจิ้นหยาง ดังนั้นต้วนหลิงเซียวจะตายมิได้ แม้แต่จะจับเป็นไว้ก็มิได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เขาเจ็บหนักกลับไป ทำเช่นนี้จึงจะเป็นประโยชน์กับกองทัพเรา
ระหว่างที่ข้าครุ่นคิดอยู่ ต้วนหลิงเซียวก็ลงมือแล้ว ร่างกายทะยานพุ่งมายังจุดที่ข้ายืนอยู่ คล้ายต้องการสังหารข้าในครั้งเดียว แน่นอนว่าฝ่าเจิ้งกับฝ่าเหริ่นตั้งท่ารอคอยอยู่ก่อนแล้ว ก่อนเดินทางมา ฉีอ๋องออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด หากฉู่เซียงโหวเป็นอันใดไป ผู้ใดก็อย่าคิดจะมีจุดจบที่ดี
เมื่อครู่ขณะซุ่มซ่อนอยู่ในหลุมคอยฟังเจียงเจ๋อสนทนากับต้วนหลิงเซียว ทั้งสองคนก็ใจลุ้นระทึกเฝ้าหวาดวิกตก ด้วยกลัวว่าเจียงเจ๋อจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันสักอย่างขึ้น แม้ทราบว่าเจียงเจ๋อสวมเกราะอ่อนอยู่บนร่าง ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนก็เตรียมตัวขัดขวางการโจมตีของต้วนหลิงเซียวไว้ดีแล้ว แต่ก็ยังอดหวาดหวั่นอยู่ในใจมิได้ เวลานี้ไฉนเลยจะปล่อยให้ต้วนหลิงเซียวลงมือสำเร็จ
ทั้งสองคนลงมือขัดขวาง ลมปราณสามสายปะทะกัน ต้วนหลิงเซียวถอยกลับหลังด้วยความเร็วที่มากยิ่งกว่ายามบุกมา ร่างกายพลิกหมุนกลางอากาศหมายหลบหนี ทว่าเวลานี้เสี่ยวซุ่นจื่อผู้เป็นคนเดียวที่วิชาท่าร่างเหนือกว่าต้วนหลิงเซียวกลับมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ปราดเข้ามาข้างกายข้าเพื่อปกป้องข้า ขณะที่ต้วนหลิงเซียวกำลังจะหลุดออกจากวงล้อมของทั้งสี่คนนั่นเอง แสงสีแดงสามสายก็สว่างวาบ ขวางทางไปของต้วนหลิงเซียวไว้อย่างพอดิบพอดี
ต้วนหลิงเซียวสะบัดมือกวาด แสงสีแดงฝ่าทะลุลมปราณแกร่งกล้าของเขา แต่กลับชะลอช้าแล้วร่วงหล่นลงเบื้องหน้า แม้เป็นเช่นนั้น ร่างกายของต้วนหลิงเซียวก็ชะงักวูบหนึ่ง จนถูกฝ่าเจิ้ง ฝ่าเหริ่น จางจิ่นสยงกับหลิงเจินจื่อล้อมไว้ตรงกลาง แสงสีแดงสามดวงนั้นก็คือหนามกระสุนโลหิตสามลูกที่จางจิ่นสยงใช้วิชาลับของคงต้งยิงออกไป มันคืออาวุธลับอันมีพิษร้ายที่ฝ่าทะลุลมปราณของผู้บรรลุขอบขั้นเป็นหนึ่งกับธรรมชาติได้