ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 54 ความลับอันน่าตกตะลึง (3)
แสงไฟส่องกระทบอาภรณ์ คนชุดเทาผู้นั้นจุดตะบันไฟแล้วก่อกองไฟขึ้นอีกหน จากนั้นจึงเก็บเสื้อคลุมที่ร่วงอยู่บนพื้นขึ้นมาสวม ลั่วเจี้ยนเฟยกลับไปนั่งที่เดิม ทำท่าทางบอกให้คนผู้นั้นนั่งลงข้างกายเขา ใบหน้าเย็นชาเผยรอยยิ้มอบอุ่น “หัวหลิว ไม่พบหน้ากันหลายปี ยามนี้เจ้าตำแหน่งสูงมากอำนาจ คิดไม่ถึงว่าจะยังจำสหายเก่าอย่างพวกเราเหล่านี้ได้”
บุรุษชุดเทาผู้นั้นถอนหายใจ “หากมิใช่โชคชะตากลั่นแกล้ง ข้าก็อยากจะทำงานใต้บัญชาของคุณชายเช่นพวกเจ้า ยามนี้ชื่อจี้ทำงานให้คุณชายอยู่ชายแดนเหนือ เต้าหลีบริหารกิจการอยู่ตงไห่ กิจการของลี่ว์เอ่อร์ก็กระจายไปทั่วหล้า ไป๋อี้ ซานจื่ออยู่สู่จง อวี๋หลุน ฉวีหวงอยู่หนานฉู่ พี่น้องคนอื่นไม่ว่าอยู่ที่ใดล้วนอยู่ใต้ปีกของคุณชายทั้งสิ้น มีแต่ข้า แม้เป็นขุนนางอยู่ข้างพระวรกายจักรพรรดิ แต่กลับช่วยงานของคุณชายไม่ได้ เฮ้อ!”
ลั่วเจี้ยนเฟยยิ้มน้อยๆ “เจ้าพูดอะไรเล่า ตอนนั้นหากมิใช่เพราะเจ้าช่วยคุณชายคุมแม่ทัพฉินไว้ น่ากลัวว่ารัชทายาทคงกลายเป็นจักรพรรดิไปแล้ว ตอนนี้เจ้าอยู่ในกรมวินิจการณ์กับเซี่ยโหวหยวนเฟิง ก็นับว่าเป็นตำแหน่งสำคัญยิ่งยวด หากเซี่ยโหวหยวนเฟิงคิดร้ายต่อคุณชาย เจ้าจะได้ค้นพบทันเวลา ท่านหลี่เคยบอกว่าหากเบื้องบนต้องการสังหารคุณชาย เซี่ยโหวหยวนเฟิงย่อมต้องเป็นผู้ทราบเรื่องคนแรกสุด ดังนั้นขอเพียงเจ้าจับตาเซี่ยโหวไว้ก็เท่ากับจับตาดูฝ่าบาท อีกประการหนึ่งยามนี้เจ้าทิ้งแม่บุญธรรมกับพี่บุญธรรมของเจ้าลงหรือไร”
แม้กู้อิงจะไม่รอบรู้มากนัก แต่ฟังมาถึงตรงนี้ ในหัวใจเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ลั่วเจี้ยนเฟยผู้นี้เป็นคนสำคัญในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว แต่คิดไม่ถึงเขากลับเป็นสายลับของต้ายง ในใจกู้อิงย่อมไม่คิดว่าเฉินเจิ่นเองก็เป็นพวกเดียวกัน แต่เขาคิดว่าหากเปิดโปงเรื่องนี้ เฉินเจิ่นต้องไม่มีที่ยืนเป็นแน่ เพียงเท่านั้นริมฝีปากก็เผยรอยยิ้มอย่างอดไม่อยู่ จากนั้นคิดต่อไปว่าตั้งแต่คนผู้นี้เป็นไส้ศึกในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว มิรู้ว่าแอบส่งสายลับของกรมวินิจการณ์ของต้ายงเข้ามาเท่าใดแล้ว ต้องรีบรายงานผู้คุมกฎหม่าจึงจะสมควร
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังอายุน้อย เมื่อจิตใจร้อนรนกว่าปกติ ลมหายใจจึงเสียงดังขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว โชคดีที่ทั้งสองคนนั้นจดจ่อสมาธิขยับเข้าไปกระซิบกระซาบกันอยู่จึงเหมือนจะไม่ทันสังเกต กู้อิงรีบผ่อนลมหายใจให้เบาลงอีกหนแล้วพยายามเงี่ยหูฟัง ทว่าเสียงของทั้งสองคนเบายิ่งนัก กู้อิงได้ยินถ้อยคำกระท่อนกระแท่นเลือนรางเพียงไม่กี่คำ แต่ทั้งสองคนเอ่ยถึง ‘ชิ่งอ๋อง’ กับ ‘กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว’ อยู่เป็นระยะ ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดทั้งสองคนนั้นก็หยุดเจรจา พวกเขายิ้มให้กัน จากนั้นลั่วเจี้ยนเฟยจึงลุกขึ้นกล่าวว่า “เอาละ คุยธุระเสร็จแล้ว เจ้าก็กลับไปเถิด ประเดี๋ยวฟ้าสว่างแล้วจะเคลื่อนไหวลำบาก”
บุรุษชุดเทาผู้นั้นคล้ายลังเลเล็กน้อย แต่แล้วก็เอ่ยว่า “มีเรื่องหนึ่ง ใต้เท้าเซี่ยโหวไหว้วานข้ามาบอกต่อ เขาหวังว่าคุณชายจะลองพิจารณาส่งมอบกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมาไว้ในมือเขาหลังตงชวนสงบแล้ว”
การเคลื่อนไหวของลั่วเจี้ยนเฟยเหมือนจะชะงัก ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ใต้เท้าเซี่ยโหวหมายความเช่นไร กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเป็นอาวุธอันร้ายกาจของคุณชาย ไฉนจะมอบให้ผู้อื่นได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุไฉนพวกเราจะต้องยอมยกประโยชน์ประการนี้ให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงด้วย”
บุรุษชุดเทาถอนหายใจ “ใต้เท้าเซี่ยโหวกล่าวว่า ผืนดินใต้แผ่นฟ้า มิมีที่ใดมิใช่ของจักรพรรดิ ตงชวนเองก็อยู่บนแผนที่ของต้ายง ไม่ว่าอย่างไรกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็เป็นกบฏ เขาควบคุมกรมวินิจการณ์อยู่ จึงมิอาจปล่อยให้กลุ่มอำนาจเช่นนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของราชสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้คุณชายได้รับบรรดาศักดิ์เป็นโหวแล้ว วันหน้าจะยิ่งก้าวสูงขึ้นไปอีก เรื่องไม่สง่าผ่าเผยเหล่านี้มอบให้เขาจะดีกว่า หากกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วยังมีคุณค่าในการดำรงอยู่ ถ้าเช่นนั้นก็สมควรให้ใต้เท้าเซี่ยโหวเป็นผู้ควบคุม”
ลั่วเจี้ยนเฟยหัวเราะหยัน แล้วตอบว่า “เจ้าช่างกล้าพูดไม่ละอาย เจ้าสมควรรู้ชัดแจ้งว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเป็นเช่นไร หากเป็นเมื่อสองปีก่อน คุณชายจะส่งมอบกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วให้ผู้อื่น ข้าคงเห็นด้วยอย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วคุมกิจการห้าส่วนในตงชวนกับซีสู่ของพวกเราไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังร่วมมือกับฝั่งหนานฉู่ หอกลไกสวรรค์และพวกที่เหลือของสำนักเฟิงอี้ เจ้าน่าจะทราบดีว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมีความสำคัญต่อคุณชาย ครั้งนี้เพื่อต้ายง คุณชายยอมสละขุมกำลังมากกว่าเจ็ดส่วนของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว คิดไม่ถึงว่าเซี่ยโหวหยวนเฟิงกลับละโมบเช่นนี้ แม้แต่ขุมกำลังที่เหลือไม่ถึงสามส่วนก็ยังไม่ปล่อย ส่วนเจ้ากลับมาพูดแทนเขา หัวหลิว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าผู้ใดมอบลาภยศในวันนี้ให้แก่เจ้า”
ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาของบุรุษชุดเทาไม่มีรอยยิ้มสักนิดอีกต่อไปแล้ว เขายกมือขวาขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าสาบานต่อฟ้า หากมีจิตคิดร้ายทำผิดต่อคุณชาย ขอให้ข้าชีวาวาย ตายศพไม่ครบร่าง”
ลั่วเจี้ยนเฟยได้ยินคำพูดท่อนนี้ของเขา สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงมีท่าทางขุ่นเคืองอยู่ “ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าจะฟังเจ้าอธิบายว่าเหตุใดเจ้าจึงมาพูดแทนเซี่ยโหวหยวนเฟิง”
หัวหลิวถอนหายใจ “ตอนข้าได้ยินใต้เท้าเซี่ยโหวกล่าวเช่นนี้ยามแรกก็เคยเอ่ยปากตำหนิเช่นกัน แต่ใต้เท้าเซี่ยโหวกล่าวว่าก่อนหน้านี้ตงชวนอยู่ในการครอบครองของชิ่งอ๋อง ดังนั้นคุณชายควบคุมกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วไว้จึงไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะ แต่หลังจากปราบตงชวนสงบแล้ว หากคุณชายยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วที่มีจุดประสงค์จะฟื้นฟูแว่นแคว้น เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงกังวลพระทัย คุณชายมีพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทาน ในมือยังกุมขุมกำลังมหาศาล หากบอกว่าเพื่อปกป้องตนเองก็ออกจะมากเกินไป
แต่หากคุณชายยอมเป็นฝ่ายส่งมอบกลุ่มพันธิมตรจิ่นซิ่วมาให้เอง ถ้าเช่นนั้นประการที่หนึ่งได้แสดงความจงรักภักดี ประการที่สองตัดความสัมพันธ์กับกบฏอย่างเด็ดขาด เมื่อเทียบกับความเสียหายเล็กน้อยจนไม่ควรค่าเอ่ยถึง การได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทและการกำจัดขุมกำลังที่อาจถูกคลางแคลงไม่มีสิ่งใดไม่ดี
ข้ารู้สึกว่าใต้เท้าเซี่ยโหวก็พูดมีเหตุผล อีกทั้งต่อให้สละกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วแล้ว คุณชายก็ยังมีขุมกำลังเพียงพอปกป้องตนเอง หากพวกของเราผละตัวออกมาจากกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วย่อมรวมกำลังกันอารักขาคุณชายได้ ดังนั้นข้าจึงหวังให้เจ้าอธิบายเรื่องนี้กับพวกท่านเฉิน หลังจากนั้นบอกต่อให้คุณชายรับทราบ ใต้เท้าเซี่ยโหวมิต้องการเจรจาโดยตรงกับคุณชาย ทำเช่นนี้ต่อให้ไม่สมประสงค์ก็ไม่เกิดความบาดหมาง เจ้าคิดว่าข้าพูดถูกต้องหรือไม่”
ลั่วเจี้ยนเฟยสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับท่านเฉิน แต่สุดท้ายจะตัดสินใจเช่นไรก็ยังต้องดูความคิดของคุณชาย”
หัวหลิวตอบว่า “หากคุณชายไม่ตกลง ข้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมใต้เท้าเซี่ยโหวสุดกำลัง”
ลั่วเจี้ยนเฟยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหมุนตัวออกจากประตูศาลเจ้า ไม่นานบุรุษชุดเทาผู้นั้นก็ตามออกไปด้วย ตอนนี้กู้อิงเพิ่งค้นพบว่าตนเองแทบจะลืมหายใจ เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร ที่แท้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเป็นเพียงหมากของผู้อื่น คุณชายที่พวกเขาพูดถึงคนนั้นมิทราบว่าเป็นผู้ใด มือหนึ่งกุมกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว แล้วยังมีความเกี่ยวพันกับกรมวินิจการณ์ของต้ายง
กู้อิงไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันนัก หากเป็นบิดาของเขา หรือซั่งกวนเยี่ยนพี่ชายบุญธรรมที่อยู่ตรงนี้จักต้องคาดเดาได้สองสามส่วนเป็นแน่ ทว่าตัวเขากลับสับสนมิทราบว่าเรื่องที่ตนเองได้ยินเป็นข่าวที่น่าตกตะลึงเพียงใด
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาคาดว่าทั้งสองคนนั้นน่าจะจากไปไกลแล้ว เขาจึงมุดออกมาจากโต๊ะบูชา เตรียมตัวจะกลับไปหาหม่าเฉิงเพื่อบอกความลับที่เขาได้ฟังในวันนี้ ผู้ใดจะคิดว่าเขาเพิ่งเดินออกมาจากประตูศาลเจ้า กลางแผ่นหลังก็ชาหนึบ ร่างกายถลาล้มลงกับพื้น หลังจากนั้นก็มีคนใช้เท้าเหยียบแผ่นหลังของเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ข้ามิได้ฟังผิดจริงๆ ในศาลเจ้ามีคนแอบซ่อนอยู่ เจี้ยนเฟย เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่”
กู้อิงรู้สึกว่าทั้งร่างเย็นยะเยือก คนอายุเท่าเขายังมิหวาดกลัวความตาย หากอายุมากกว่านี้อีกสักสองสามปี ได้สัมผัสความสุขนานาประการของชีวิตมนุษย์สักหน่อย บางทีอาจรักตัวกลัวตายเป็นบ้าง แต่ตอนนี้เขายังอายุน้อยเลือดลมพลุ่งพล่าน โยนชีวิตทิ้งง่ายดายเป็นที่สุด สิ่งที่เขากังวลกลับเป็นบิดาและครอบครัวที่เหลือ หากตนตายตรงนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีโอกาสรอดแล้วเช่นกัน
บุรุษชุดเทาผู้นั้นเตะร่างเขาพลิกหงาย ดวงหน้าซีดเผือดของกู้อิงตกอยู่ในสายตาของลั่วเจี้ยนเฟย ม่านตาของเขาหดเล็กลงฉับพลัน มือขวากุมบนด้ามกระบี่ ทว่าไม่ทันไรสีหน้ายุ่งยากใจก็ปรากฏบนใบหน้าของลั่วเจี้ยนเฟยวูบหนึ่ง แล้วสุดท้ายกระบี่ยาวเล่มนั้นก็มิได้ชักออกจากฝัก